หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง เกจิชื่อดังแห่งอยุธยา ท่านเรียนวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก , หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค , หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ และเกจิดังๆอีกมาก หลวงพ่อเชิญ เกิดในตระกูล กุฎีสุข ที่หมู่บ้านดงตาล ตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2450 มีโยมบิดาชื่อ นายเคลือบ โยมมารดาชื่อ นางโล่ โดยที่หลวงพ่อเชิญเป็นบุตรของพี่น้องทั้งหมด 3 คน น้องสองคนเป็นฝาแฝดหญิงทั้งคู่ ชื่อ นางเจียม และ นางจอม หลวงพ่อเชิญอายุได้ 5 ขวบ โยมมารดาก็ถึงแก่กรรม ยามใดที่โยมบิดาไปทำไร่ไถนา ท่านต้องรับภาระเลี้ยงดูน้องสาวฝาแฝดแทนถึง 2 คน นับเป็นความยากลำบากมากเพราะขณะนั้นท่านเองเพิ่งจะมีอายุ 5-6 ขวบเท่านั้น พออายุได้ 8 ขวบ โยมบิดาพาไปฝาก หลวงพ่อขาบ วัดฤาชัย ขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลกุฎี ในอำเภอผักไห่ หลวงพ่อเชิญเล่าเรียนหนังสืออยู่กับหลวงพ่อขาบ 2 ปี จนสามารถอ่านออกเขียนได้ หลวงพ่อขาบ วัดฤาชัย จึงนำไปฝาก พระครูบวรสังฆกิจ หรือ หลวงพ่อเพิ่ม วัดโคกทอง ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอเสนา หลวงพ่อเพิ่มองค์นี้เป็นพระอาจารย์ที่มีความรู้ด้านปริยัติธรรมทั้งสมถกรรม ฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพียงพร้อมด้วยศีลาจารวัตรเคร่งครัดพระธรรมวินัย เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนโบราณ และเรืองวิทยาคมขลัง เนื่องจากเป็นศิษย์หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ และ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเพิ่มมีชื่อเสียงด้านแก้คุณแก้การกระทำทางไสยศาสตร์และรักษาโรคภัย ไข้เจ็บต่าง ๆ ชื่อเสียงของหลวงพ่อเพิ่มสมัยนั้นโด่งดังไม่ต่างกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นสหธรรมิกที่มีอายุแก่กว่าหลวงพ่อเพิ่ม 5 ปี ในสมัยนั้นหลวงพ่อปานท่านมาพำนักที่วัดโคกทองเสมอ เมื่อปี พ.ศ.2467 หลวงพ่อเพิ่มสร้างศาลาการเปรียญ หลวงพ่อปานยังมาช่วยยกเสาเอกให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเพิ่มไม่เคยสร้างพระเครื่องไว้เลย ชนรุ่นหลังจึงไม่มีใครรู้จักท่าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อเพิ่มทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์เพียงอย่างเดียวคือ แผ่นอิฐลงอาคมที่ก้นบ่อน้ำมน 2 แผ่น อีกแผ่นหนึ่งเป็นของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งกล่าวกันว่าน้ำมนต์ในบ่อนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก หลวงพ่อเชิญท่านนำมารดให้กับลูกศิษย์ลูกหาอยู่เสมอ หลวงพ่อเชิญบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 16 ปี ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2466 หลวงพ่อเพิ่มเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทต่อโดยมิได้ลาสิกขา ณ พัทธสีมาวัดโคกทอง ในวันที่ 1 มิถุนายน 2470 โดยมีพระอาจารย์องค์แรกคือ หลวงพ่อขาบ วัดฤาไชย เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเพิ่ม วัดโคกทอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดแจ่ม วัดโคกทอง เป็นพระอนุสาสนาจารย์ ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลีจากพระอุปัชฌาย์ว่า ปุญญสิริ หลวงพ่อเชิญอุปสมบทแล้วอยู่ช่วยหลวงพ่อเพิ่มบูรณะวัดโคกทองเรื่อยมา พร้อมกันนั้นได้ศึกษาพระปริยัติธรรมโดยสอบได้นักธรรมตรีตั้งแต่เมื่อยังเป็นสามเณร สอบได้นักธรรมโท และสอบได้นักธรรมเอก ได้รับการแ่ต่งตั้งเป็น พระปลัด ท่านจึงต้องทำหน้าที่ทุกอย่างด้วยความเรียบร้อยเสมอมาจวบจนหลวงพ่อเพิ่มมรณภาพในปี พ.ศ.2491 พ.ศ.2492 หลวงพ่อเชิญดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโคกทอง ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก สำนักนายกรัฐมนตรี ถวายพัดชั้นพิเศษในฐานะที่เป็นผู้อุปการะโรงเรียนวัดโคกทอง (บวรวิทยา) และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ประทานพัดพัฒนาที่มีผลงานดีเด่นแก่หลวงพ่อเิชิญ หลวงพ่อเชิญเป็นพระอาจารย์ที่มีมากครูมากอาจารย์ เพราะท่านมีใจรักทางด้านพระเวทวิทยาคมมากกว่าการศึกษาด้านพระปริยัติธรรม การท่องบ่นมนต์คาถา การลงอักขระเลขยันต์ แพทย์แผนโบราณ ยาแก้กันกระทำคุณไสย์ นั่งเจริญสมาธิภาวนาพระกรรมฐาน ตลอดทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน มาตั้งแต่หลวงพ่อเชิญมีอายุเพียง 10 ขวบ ครั้นบวชเณรแล้วได้ติดตามหลวงพ่อเพิ่มไปชัยนาท ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อเพิ่ม เมื่ออุปสมบทในพรรษาแรกก็ไปขึ้นพระกรรมฐานกับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก แล้วเดินทางไป ๆ มา ๆ ร่ำเรียนวิชากับหลวงพ่อจงมากมายเป็นระยะเวลาหลายปี หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค สหายทางธรรมของหลวงพ่อเพิ่ม ชอบมาพำนักที่วัดโคกทอง หลวงพ่อเชิญก็ฝากตัวเป็นศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้แล้วติดตามพายเรือไปส่งและพักเรียนวิชาที่วัดบางนมโคเป็นประจำ พ.ศ.2473 หลวงพ่อเพิ่มพาท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งของท่านคือ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อกลั่นชราภาพมากแล้ว พ.ศ.2482 หลวงพ่อเชิญเกิดอาพาธด้วยโรคตาอักเสบจึงเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อพักรักษาตัวอยู่กับ หลวงปู่กล้าย วัดหงษ์รัตนาราม บางกอกใหญ่ เลยได้รับการแนะนำวิชาการต่าง ๆ จากหลวงปู่กล้ายอีกรูปหนึ่ง ขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เวลานั้นวัสดุก่อสร้างขาดแคลน การบูรณะวัดก็หยุดชะงักลง หลวงพ่อเชิญจึงถือโอกาสเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณว่าด้วยสาขาเวชกรรมกับ ครูนพ ที่โรงเรียนประทีป ตลาดพลู เป็นเวลา 2 ปีด้วยกัน นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์เรืองวิชาที่มีชื่อเสียงในอยุธยาที่หลวงพ่อเชิญ เคยไปขอศึกษาวิชามาก็มี หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน หลวงพ่อแจ่ม วัดบัวหัก และหลวงพ่อแพ วัดกลางคลอง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอาจารย์ยุคเก่าที่เรืองวิชาทั้งสิ้น หลวงพ่อเชิญ ปุญญสิริ วัดโคกทอง ได้มรณะภาพลงเมื่อวันที่ 21 มค.2543 อายุ 93 ปี พรรษา 73 ยังความเศร้าโศกเสียใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง นับเป็นเกจิที่มีวิชาความรู้มากซึ่งหาได้ยากในยุคนี้ อิทธิวัตถุมงคลต่างๆที่ท่านสร้างและปลุกเสกขึ้นย่อมเ้ข้มขลัง เปี่ยมไปด้วยพุทธคุณและมีพุทธานุภาพสูงส่งในทุกๆด้าน และคงความอมตะตลอดกาล
พระสวยมาพร้อมกล่องเดิมครับ ปิดวัดใจ เคาะเดียวแดง รับประกันพระแท้ครับ
เหรียญเสมาสรงน้ำ หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา จัดสร้างปี พ.ศ.2536 เป็นอีกเหรียญที่น่าจับตามอง เพราะเริ่มเป็นที่นิยม จนมีเหรียญปลอมทำออกมาหลายฝีมือทั้งเก๊หน้าตาห่างไกล ไปจนถึงเก๊เฉียบ เหรียญนี้ไม่ผ่านการใช้ ผิวเนียนเดิม มาพร้อมบัตรรับรับรอง เพื่อยืนยันความแท้ และไม่มีแต่งซ่อมใดๆครับ
วัดใจ ! เหรียญนี้ทั่วไปนอกเวป 2,000-3,000 บาท เหรียญบาตรน้ำมนต์ " หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล " ปี 2519 เนื้อโลหะผสมตะกั่ว มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัยจัดสร้าง ปลุกเสกพิธีใหญ่ หายากมาก ๆ พิธีใหญ่ หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล , หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง , หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง , หลวงพ่อเมตตาหลวง วัดเทพพิทักษ์ , หลวงพ่ออ่อน วัดไพรธาราม , หลวงพ่อโสภณ วัดศรีไพนแท่น , หลวงพ่อเปลื่อง วัดบางแก้วผดุงธรรม , หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี , หลวงพ่อไพทูรย์ วัดโพธินิมิต , หลวงพ่อมา วัดวิเวกอาศรม , พระอาจารย์ศรี วัดประชาคมวนาราม , หลวงพ่ออ่อน วัดประชานิคม , หลวงพ่ออ่อนสี วัดพระงาม , หลวงพ่อขม วัดป่าบ้านบัวค่อม , พระอาจารย์สาม วัดไตรวิเวกการาม , หลวงปู่เหรียญ วัดป่าอรัญญาบรรพต , หลวงพ่อจ้อย วัดสุวรรณประดิษฐ์ , หลวงพ่อหัวพา วัดป่าพระพนิต , หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาละวัน , หลวงพ่อโชติ วัดภุเขาแก้ว , พระครูวินิตวัฒนกุล วัดบ้านนาเจริญ , พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม , หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม , หลวงพ่อถิร วัดป่าเลย์ไลย์ , หลวงพ่อสนิท วัดศรีขันธาราม , หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี , พระอาจารย์ผ่อง วัดจักรวรรดิราชาวาส , หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร , หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง , หลวงพ่อสา วัดราชนัดดาราม , หลวงพ่อช่วน วัดพนมสารคาม , หลวงพ่อบุญมา วัดอุดมมงคลคีรีเขต , พระอาจารย์ไสว วัดป่าสิริสาลวัน , หลวงปู่จันทร์ (อายุ 120 ปี ) วัดบ้านมะขาม , หลวงพ่อแช่ม วดดอนยายหอม ,หลวงพ่อสุด วัดกาหลง , หลวงพ่อเพิ่ม วัดสรรเพชญ์ , อาจารย์นอง วัดทรายขาว , หลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดจันทาราม , หลวงพ่อพล วัดหนองคณที , หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ร่วมปลุกเสก สร้างน้อย หายากมาก ๆ ๆ ๆ ๆ เหรียญมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 ซ.ม. ของดีน่าสะสม ผมเอามาพันกว่าบาท เปิดวัดใจเสี่ยง ๆ ลุ้น ๆ กันดู กับของหายาก พิธีดี เกจิปลุกเสกเพียบอย่างนี้ สภาพสวย ๆ อย่างนี้ อย่าพลาดกันเชียวนะครับ รายการนี้พระจัดส่งตรงตามภาพครับ
วัดใจ ! เหรียญนำรวย ปิดตามหาลาภ " หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ " อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ปี 2537 สวย ๆ " หลวง ปู่หยอด ชินวังโส" หรือ "พระครูสุนทรธรรมกิจ" อดีตเจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม มีนามเดิมว่า สุนทร ชุติมาศ ถือกำเนิดเมื่อวันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2454 ณ บริเวณตลาดบางน้อย จ.ราชบุรี เมื่ออายุได้ 18 ปีได้ฝากตัวเข้าบรรพชากับพระครูเปลี่ยน สุวัณณโชโต เจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ จนเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2474 โดยมีพระครูสุทธิสาร (หลวงปู่ใจ) เจ้าอาวาสวัดเสด็จ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาธรรมพร้อมทั้งได้รับถ่ายทอดวิชาอาคมจากหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ จนหมดสิ้น วัตถุมงคลของหลวงปู่หยอดที่ได้รับความนิยมสูง คือ ไหมเบญจรงค์ 5 สี ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ วัตถุมงคลที่หลวงพ่อหยอดสร้าง มีอานุภาพทางเมตตาและแคล้วคลาดจากภยันตราย เปี่ยมด้วยพุทธคุณอันเข้มขลัง เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว บรรดาศิษย์และผู้มีความเลื่อมใสต่างเสาะแสวงหามาพกติดตัวไว้คุ้มภัย ด้วยประสบการณ์และอภินิหารย์ที่เกิดแก่ผู้ใช้ จึงจัดเป็นของดีที่น่าเก็บสะสมเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่หยอดละสังขารไปนานหลายปี คงเหลือไว้เพียงสังขารที่ไม่เน่าเปื่อย ให้ได้กราบไหว้ ณ กุฏิวัดแก้วเจริญ เหรียญสวยแท้ ตอกโค๊ต ราคาวัดใจ !
หลวงพ่อเกษม เขมโก เดิมมีนามว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง ประสูติ เมื่อ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 เป็นบุตรใน เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ) รับราชการเป็นปลัดอำเภอ กับ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง และเป็นราชปนัดดาในมหาอำมาตย์โท พลตรีเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย สมัยตอนเด็กๆมีคนเล่าว่าท่านซนมากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านปีนต้นบ่ามั่น(ต้นฝรั่ง)เกิดผลัดตกจนมีแผลเป็นที่ศรีษะ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว 7 วันได้ลาสิกขาและท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ท่านได้ศึกษาด้านพระปรัยัติธรรมจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ. 2474 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีถัดมา โดยมี พระธรรมจินดานายก เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "เขมโก" แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม โดยพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ได้ศึกษาภาษาบาลีที่สำนักวัดศรีล้อม ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาแผนกนักธรรมที่สำนักวัดเชียงราย หลวงพ่อเกษม เขมโกสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 ท่านเรียนรู้ภาษาบาลีจนสามารถเขียนและแปลได้ รวมทั้งสามารถแปลเป็นภาษามคธได้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกรูปต่างเข้าใจว่าพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณะศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้น เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติธรรมแล้ว ท่านแสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนา จนกระทั่ง ท่านทราบข่าวว่ามีพระเกจิรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา คือ ครูบาแก่น สุมโน ท่านจึงฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านได้ตามครูบาแก่น สุมโน ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวกและบำเพ็ญเพียรตามป่าลึก จนถึงช่วงเข้าพรรษาซึ่งพระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราวท่านจึงต้องแยกทางกับพระอาจารย์ และกลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออก ก็ติดตามอาจารย์ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา ต่อมา เจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืน มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์ได้ประชุมกันเพื่อหาเจ้าอาวาสรูปใหม่และต่างลงความเห็นพ้องต้องกันเก็นควรว่า พระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย แต่ท่านก็ห่วงทางวัดเพราะท่านเคยจำวัดนี้ ท่านเห็นว่าถือเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านเองต้องการให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน หลังจากนั้นท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสหลายครั้งเนื่องจากท่านอยากจะออกธุดงค์ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น ท่านจึงออกจากวัดบุญยืนไปที่ศาลาวังทานพร้อมเขียนข้อความลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสไว้ด้วย หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ยึดติดแม้แต่สถานที่ ท่านได้ปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ตลอดชนชีพ เป็นพระที่เป็นที่เคารพสักการะของคนในจังหวัดลำปางและทั่วประเทศ ท่านปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ติดยึดในกิเลสทั้งปวง หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้ถึงแก่พิราลัย ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง จังหวัดลำปาง เมื่อเวลา 19.40 น. ของวันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ซึ่งตรงกับวันแรม 11 ค่ำ เดือน 2 ยังความอาลัยเศร้าโศกเสียใจมายังหมู่สานุศิษย์ทั่วประเทศ ส่วนสรีระของท่านนั้นก็ยังความอัศจรรย์ด้วยเนื่องจากไม่เน่าเปื่อยเหมือนอย่างสังขารทั่วไป ทั้งยังเขียนป้ายบอกผู้ที่มาเคารพสรีระ ท่านด้วยว่าให้พนมมือไหว้ที่หน้าอกเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ต้องกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์อย่างศพของพระเถระทั่วไปนับว่าท่าน นั้นถือสมถะเป็นอย่างมาก
เหรียญพระแก้วมรกต สร้างเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี ธนาคารศรีนคร จัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2523 ประกอบพิธีพุทธาภิเษก โดยมีพระเกจิชื่อดัง อาทิ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และเกจิมากมายร่วมปลุกเสก ด้านหน้า พระแก้วมรกต ( พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ) พระคู่บ้านคู่เมือง ด้านหลัง อะสังวิสุโลปุสะพุภะ พระพุทธคุณ 9 ประการนี้ ย่อเหลือพระคุณละ 1 อักษร ดังนี้ คือ อะ (อรหัง) เป็นพระอรหันต์ ไกลจากกิเลส สัง(สัมมา สัมพุทโธ) ตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เอง โดยถูกต้อง วิ(วิชชา จรณะสัมปันโน) ทรงสมบูรณืด้วยวิชาสมบัติและจริยาสมบัติ สุ(สุคโต) เสด็จไปดี โล(โลกวิทู) ทรงรู้เท่าทันโลกทั้งสาม ปุ(อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ) ทรงเป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน สะ(สัตถา เทวมนุสสานัง) ทรงเป็นครูสอนทั้งเทวดาและมนุษย์ พุ(พุทโธ) ทรงเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส ภะ(ภควา) เป็นผู้ทรงแจกพระอมตะมรดก ย่อเป็น 9 คำ อ่านได้ว่า "อะ-สัง-วิ-สุ-โล-ปุ-สะ-พุ-ภะ" โดยบทสวดเป็นอนุโลมตั้งแต่ 1-9 และสวดย้อนกลับเป็นปฏิโลมว่า "ภะ-พุ-สะ-ปุ-โล-สุ-วิ-สัง-อะ" ยันต์อะสังวิสุโลปุสะพุภะ เป็นพระพุทธคุณ 9 ประการของพระพุทธเจ้า ใช้เป็นพุทธานุสสติในการเจริญพระกรรมฐาน หมายถึงระลึกเอาคุณพระพุทธเจ้ามาเจริญภาวนา เจริญมากๆ จนกระทั่งจิตใจเป็นสมาธิ ก็จะระงับนิวรณ์ต่างๆในชั่วระยะอยู่ในฌาน สมเด็จพระพุฒาจารย์อาจ อาสภเถระท่านแนะนำว่า ต้องสวดมากๆ เพื่อทำให้พระพุทธคุณติดอยู่กับใจ หรือให้ใจติดกับพระพุทธคุณ เมื่อใจติดกับพระพุทธคุณดีแล้ว เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ พอจะนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ใจวิ่งไปหาพระพุทธคุณเลยทีเดียว หรือพระพุทธคุณมาปรากฏแก่ใจทันที อย่างนี้เรียกว่าเจริญได้ที่แล้ว ต้องสวดต้องท่องกันให้ได้ เพราะไม่ได้นี่แหละ เวลาภาวนา พระพุทธคุณ ก็ไม่มาคุ้มครองปกป้องรักษาเรา มีเหตุเภทภัย ก็คุ้มครองอะไรไม่ได้ และเพราะเราไม่เจริญพระพุทธคุณนี่แหละ เราก็ไม่รู้จักคุณพระพุทธเจ้าจริงๆ พระพุทธเจ้าก็เลยไม่รู้จักเรา เมื่อเราไปไหนมาไหน พระพุทธเจ้าก็ไม่ตามรักษา พระพุทธคุณนี้ ถ้าเจริญได้จริงๆ ใจรักจริงๆ ไปไหน พระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด ให้เราได้เล็ดลอดปลอดภัย ให้เราได้มีความสุขด้านจิตใจจริงๆ พระพุทธคุณ 9ประการนั้น คือ อิติปิโส ภควา สมเด็จพระผู้มรพระภาคพระองค์นั้น
หลวงพ่อเกษม เขมโก เดิมมีนามว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง ประสูติ เมื่อ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 เป็นบุตรใน เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ) รับราชการเป็นปลัดอำเภอ กับ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง และเป็นราชปนัดดาในมหาอำมาตย์โท พลตรีเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย สมัยตอนเด็กๆมีคนเล่าว่าท่านซนมากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านปีนต้นบ่ามั่น(ต้นฝรั่ง)เกิดผลัดตกจนมีแผลเป็นที่ศรีษะ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว 7 วันได้ลาสิกขาและท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ท่านได้ศึกษาด้านพระปรัยัติธรรมจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ. 2474 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีถัดมา โดยมี พระธรรมจินดานายก เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "เขมโก" แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม โดยพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ได้ศึกษาภาษาบาลีที่สำนักวัดศรีล้อม ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาแผนกนักธรรมที่สำนักวัดเชียงราย หลวงพ่อเกษม เขมโกสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 ท่านเรียนรู้ภาษาบาลีจนสามารถเขียนและแปลได้ รวมทั้งสามารถแปลเป็นภาษามคธได้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกรูปต่างเข้าใจว่าพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณะศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้น เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติธรรมแล้ว ท่านแสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนา จนกระทั่ง ท่านทราบข่าวว่ามีพระเกจิรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา คือ ครูบาแก่น สุมโน ท่านจึงฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านได้ตามครูบาแก่น สุมโน ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวกและบำเพ็ญเพียรตามป่าลึก จนถึงช่วงเข้าพรรษาซึ่งพระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราวท่านจึงต้องแยกทางกับพระอาจารย์ และกลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออก ก็ติดตามอาจารย์ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา ต่อมา เจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืน มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์ได้ประชุมกันเพื่อหาเจ้าอาวาสรูปใหม่และต่างลงความเห็นพ้องต้องกันเก็นควรว่า พระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย แต่ท่านก็ห่วงทางวัดเพราะท่านเคยจำวัดนี้ ท่านเห็นว่าถือเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านเองต้องการให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน หลังจากนั้นท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสหลายครั้งเนื่องจากท่านอยากจะออกธุดงค์ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น ท่านจึงออกจากวัดบุญยืนไปที่ศาลาวังทานพร้อมเขียนข้อความลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสไว้ด้วย หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ยึดติดแม้แต่สถานที่ ท่านได้ปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ตลอดชนชีพ เป็นพระที่เป็นที่เคารพสักการะของคนในจังหวัดลำปางและทั่วประเทศ ท่านปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ติดยึดในกิเลสทั้งปวง หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้ถึงแก่พิราลัย ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง จังหวัดลำปาง เมื่อเวลา 19.40 น. ของวันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ซึ่งตรงกับวันแรม 11 ค่ำ เดือน 2 ยังความอาลัยเศร้าโศกเสียใจมายังหมู่สานุศิษย์ทั่วประเทศ ส่วนสรีระของท่านนั้นก็ยังความอัศจรรย์ด้วยเนื่องจากไม่เน่าเปื่อยเหมือนอย่างสังขารทั่วไป ทั้งยังเขียนป้ายบอกผู้ที่มาเคารพสรีระ ท่านด้วยว่าให้พนมมือไหว้ที่หน้าอกเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ต้องกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์อย่างศพของพระเถระทั่วไปนับว่าท่าน นั้นถือสมถะเป็นอย่างมาก
พระสวยมาพร้อมกล่องเดิมครับ ปิดวัดใจ เคาะเดียวแดง รับประกันพระแท้ครับ
สมัยตอนเด็กๆมีคนเล่าว่าท่านซนมากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านปีนต้นบ่ามั่น(ต้นฝรั่ง)เกิดผลัดตกจนมีแผลเป็นที่ศีรษะ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว 7 วันได้ลาสิกขาและท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ท่านได้ศึกษาด้านพระปรัยัติธรรมจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ. 2474 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีถัดมา โดยมี พระธรรมจินดานายก เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "เขมโก" แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม โดยพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ได้ศึกษาภาษาบาลีที่สำนักวัดศรีล้อม ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาแผนกนักธรรมที่สำนักวัดเชียงราย พ.ศ. 2479 ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ท่านเรียนรู้ภาษาบาลีจนสามารถเขียนและแปลได้ รวมทั้งสามารถแปลเป็นภาษามคธได้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกรูปต่างเข้าใจว่าพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณะศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้น เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติธรรมแล้ว ท่านแสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนา จนกระทั่ง ท่านทราบข่าวว่ามีพระเกจิรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา คือ ครูบาแก่น สุมโน ท่านจึงฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านได้ตามครูบาแก่น สุมโน ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวกและบำเพ็ญเพียรตามป่าลึก จนถึงช่วงเข้าพรรษาซึ่งพระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราวท่านจึงต้องแยกทางกับพระอาจารย์ และกลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออก ก็ติดตามอาจารย์ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา ยินดี ส่งออกบัตรรับรอง และ โอนเงินผ่านเว็บดีดีพระ พุทธคุณเหนือ คำบรรยาย พิธีใหญ่ครับ ไม่ผ่านการล้าง ไม่ผ่านการใช้พุทธคุณเหนือคำบรรยาย ศิษย์สายตรง ไม่ควรพลาด!! หายากๆ สร้างน้อยๆ พระดี พระสวย ไว้ใจผม พันธุ์ทิพย์ครับ โอนเร็ว ส่งไว ทันใจแน่นอนครับๆๆๆๆๆๆๆๆ ผู้ชนะการประมูลโอนเงินแล้วรบกวนฝากข้อความในกล่องข้อความหรือโทร.แจ้งก็ได้นะครับ บริหารงานโดย พันธุ์ทิพย์ ครับ ชื่อนี้ ไม่มีผิดหวัง รายการวัดใจ มีเรื่อยๆ ฝาก คลิ๊ก !! หลังชื่อด้วยนะครับ