ประวัติหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร พระดีพระแท้ พรหมของชาวพุทธ เป็นพรหมของชาวอุบลราชธานี เป็นพรหมของพี่น้องชาวลาว เป็นที่พึ่งของชาวพุทธที่แท้จริง เกียรติคุณเกริกเกรียงไกร ไพบูลย์ ด้วยคุณธรรม มีชื่อเสียงขจรขจายโดยมิต้องมีประชาสัมพันธ์ใดๆแต่วัตถุมงคลทุกรูปแบบที่สร้างแจกจ่ายแก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิดสร้างปาฏิหาริย์มากมายส่วนมากที่สร้างมักเป็นฤๅษี เพราะหลวงปู่ศรัทธาฤๅษีเป็นอย่างมาก และฤาษีที่สร้างนั้นมักจะเป็นเนื้อว่าน หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 12 ปี อยู่กับสมเด็จลุนที่เวินไซ นครจำปาสัก ประเทศลาวเป็นเวลา 6 ปี สมเด็จลุนก็มรณภาพ จากนั้นหลวงปู่พรหมมา ได้แสวงหาความวิเวกปฎิบัติธรรมในสถานที่สงบทั้ง ลาว เขมร และไทย ชอบช่วยเหลือชาวชนบทที่แร้นแค้นตามป่าเขาลำเนาไพร มีความเมตตากรุณาต่อมวลมนุษยชาติที่ด้อยโอกาสเพื่อนำความรุ่งเรืองไปให้ หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร นามเดิมว่า แก้ว เป็นบุตรของพ่อแก้ว อ่อนจันทึก กับ แม่สีดา อ่อนจันทึก เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2440 ที่บ้านกุศกร อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2452 อายุได้ 11 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่สมเด็จลุน เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สมเด็จลุน ศึกษาวิชาอาคมต่างๆอยู่ 6 พรรษาเมื่อปี 2458 หลวงปู่สมเด็จลนถึงแก่มรณภาพหลังจากได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลเก็บอัฐิหลวงปู่สมเด็จลุนเรียบร้อยแล้ว ได้ออกเดินทางไปยัง จ.สกลนคร พ.ศ. 2460 อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่พระบาโพนสัน อ.ท่าพระบาท บริคำไชย ประเทศลาว และได้สร้างวัดอยู่ที่นั่น พ.ศ. 2461 ไปสร้างวัดป่า สอนวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่บ้านหินบักเปงร่วมสำนักเดียวกันกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์วิโจน์ รันโนบล และพ่อแม่ศรีทัศ ท่าอุเทน หลังจากนั้นได้ออกธุดงค์ไปประเทศลาว ไปธุดงค์ตามป่าตามภูเขาและพำนักอยู่ที่ภูเขาควาย ได้ศึกษาศาสตร์และศิลป์ กับปู่ฤาษีอาจารย์ใหญ่ที่นั่น เป็นเวลา 45 พรรษา จึงได้ออกวิเวกรุกขมูลเพียงลำพังไปจำพรรษาอยู่ที่ภูเห็ดละโงก ประเทศกัมพูชา ซึ่งบริเวณนั้นเรียกว่า สามเหลี่ยมนกแขก จำพรรษาอยู่ที่นั่นประมาณ 9 พรรษา ก็ออกธุดงค์ไปตามเขตชายแดนประเทศไทย-ลาว เข้าไปจนถึงประเทศพม่า ไปจำพรรษาอยู่ภูเขาพนมฉัฐ(สามเหลี่ยมทองคำ) เป็นเวลา 3 พรรษา จากนั้นออกธุดงค์ไปทั่วประเทศไทย ลาว พม่า กัมพูชา และประเทศอินเดีย พ.ศ. 2518 ได้มาปักกลดชั่วคราวอยู่ที่วัดบุปผาวัลย์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ได้สร้างเหรียญรุ่นแรก ชื่อเหรียญ สำเร็จพรหมมา พ.ศ. 2519 ได้เดินทางจาก อ.โขงเจยมไปตั้งสำนักสงฆ์อยู่ที่เวินเพาะ ปากห้วยไร่ บ้านสำโรง ได้ออกโปรดสัตว์แผ่เมตตาให้แก่พวกลาวอพยพที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น พ.ศ. 2526 เดินทางออกจากเวินเพาะ ปากห้วยไร่ ออกธุดงค์ไปปักกลดที่บ้านม่วง ช่วยสร้างโบสถ์ พ.ศ.2529 เมื่อช่วยสร้างโบสถ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ออกวิเวกรุกขมูลไปอยู่ที่วัดถ้ำแสงธรมพรหมมาวาส บ้านแก้งปลาปก อ.ปากชม จ.เลย พ.ศ. 2531 ออกเดินทางจาก จ.เลย มาจำพรรษาที่บ้านดงนา อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี ได้สร้างวัดถ้ำสวนหินผานางคอย และบำเพ็ญธรรมอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยกุศลแห่งธรรมแผ่ไพศาลไปทั่ว มีพุทธศาสนิกชนให้ความเชื่อถือและศรัทธา จนมีศิษยานุศิษย์มากมาย เป็นมี่รู้จักไปทั่วประเทศ หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร เดินธุดงควัตรมาอยู่ถ้ำสวนหินภูกระเจียว บ้านดงนา อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี เมื่อต้นปี2531 หลวงปู่บอกว่าเป็นคืนเดือนหงายคืนพระจันทร์เต็มดวง คืนวันนั้น สัตว์ป่านานาชนิดออกวิ่งขวักไขว่ประหนึ่งว่า “เจ้าที่ต้อนรบหรือขับไส” เพราะชาวบ้านบอกว่าเจ้าที่ของเขาลูกนี้แรงมาก ไม่มีพระธุดงค์รูปใดหรือใครมาอยู่ได้ แต่หลวงปู่บอกว่าเขาออกมาแสดงความชื่นชมยินดี ท่านยังนั่งสมาธิพบว่า เจ้าที่ อาราธนา“ให้พักที่เขาลูกนี้เถิด ท่านต้องการอะไร ท่านจะได้ พวกเขาจะจัดหามาถวาย” จากนั้นหลวงปู่ก็ออกบิณฑบาต แผ่ส่วนกุศลให้แก่เจ้าที่เจ้าทาง และได้นำความผาสุกมาสู่ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง มีความรมเยนเป็นสุขกว่าแต่ก่อน แม้แต่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ก็ทรงเสด็จเพื่อนมัสการหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร มาแล้วถึง 2 ครั้ง ในขณะนั้นหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร มีสุขภาแข็งแรง ปฎิบัติธรรมเป็นนิจ โปรดญาติโยมสม่ำเสมอ และช่วยดูแลชาวบ้านดงนาและหมู่บ้านใกล้เคียง ขณะนั้นบนลานยอดเขาภูกระเจียวได้ก่อสร้างโบสถ์กึ่งศาลาการเปรียญมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท ซึ่งหลวงปู่พรหมมาเจริญพรว่า ฟ้าประทานให้ และยังบอกด้วยว่า เรื่องประวัติส่วนตัวแม้จะมีคนมาจ่ายห้าแสนก็ไม่เปิดเผย หรือใครจะจ่ายสักล้านก็จะบอกว่าตัวเองเก่งหรือมีอภินิหารอะไร ใครอยากรู้อยากให้ไปดูเองที่ ถ้ำสวนหินผานางคอย ภูกระเจียว หลวงปู่พรหมมา เป็นห่วงคนเรื้องการพัฒนาชาติแผ่นดินยิ่งกว่าชีวิต ซึ่งหลวงปู่พรหมมาบอกว่าจะพัฒนาชาติแผ่นดินได้ต้องพัฒนาคนก่อน พัฒนาคนก็ต้องพัฒนาด้านการศึกษา หลวงปู่พรหมมาจึงยินดีอนุญาตให้คณะศิษย์ที่ทำงานเพื่อการศึกษา จัดตตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษาจังหวัดอุบลราชธานีขึ้น หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร จึงตั้งชื่อให้ว่า รุ่น รวมใจ-เสาร์ห้า การจัดสร้างวัตถุมงคล ร่น รวมใจ-เสาร์ห้า หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร เน้นเรื่องการปลุกเสกวัตถุมงคลเป็นอย่างมากโดยได้นำวัตถุมงคลรุ่นรวมใจ-เสาร์ห้า มาปลุกเสกที่สำนักสงฆ์สวนหินผานางคอย เพราะเป็นที่ที่มีเครื่องสักการบูชาครบสมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะที่นั่นมีอาสนะเป็นสีผึ้งบริสุทธิ์น้ำหนักถึง 15 ตัน ซึ่งถ้าได้เสกในวันเสาร์ห้า วัตถุมงคลก็จะเกิดความเข้มขลังเป็นทวีคูณ ยินดี ส่งออกบัตรรับรอง และ โอนเงินผ่านเว็บดีดีพระ พุทธคุณเหนือ คำบรรยาย พิธีใหญ่ครับ ไม่ผ่านการล้าง ไม่ผ่านการใช้พุทธคุณเหนือคำบรรยาย ศิษย์สายตรง ไม่ควรพลาด!! หายากๆ สร้างน้อยๆ พระดี พระสวย ไว้ใจผม พันธุ์ทิพย์ครับ โอนเร็ว ส่งไว ทันใจแน่นอนครับๆๆๆๆๆๆๆๆ ผู้ชนะการประมูลโอนเงินแล้วรบกวนฝากข้อความในกล่องข้อความหรือโทร.แจ้งก็ได้นะครับ บริหารงานโดย พันธุ์ทิพย์ ครับ ชื่อนี้ ไม่มีผิดหวัง รายการวัดใจ มีเรื่อยๆ ฝาก คลิ๊ก !! หลังชื่อด้วยนะครับ
รูปหล่อพระพุทธชินราช เสาร์ ๕ ปี 2553 เนื้อทองเหลือง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก พิธีมหาพุทธาภิเษกใหญ่ในวิหารพระพุทธชินราช เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นฤกษ์ดีปีขาลเสาร์ 5 100 ปีมีหนเดียว ตอกโค้ต 3 โค้ด 1. โค้ตธรรมจักร 2. โค้ตอกเลา 3. โค้ตเสาร์ ๕ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือวัดใหญ่ วัดหลวงพ่อพระพุทธชินราช เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ก็เพราะพระอารามหลวงแห่งนี้มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และสวยงามที่สุดในโลก คือ "พระพุทธชินราช" เชื่อกันว่า ในชีวิตนี้ควรหาโอกาสไปกราบไหว้องค์จริงของท่านให้ได้สักครั้งหนึ่ง "พระพุทธชินราช" เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัย หล่อด้วยทองสำริด ปางมารวิชัย ในราวปี พ.ศ.1900 พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก หรือพระ มหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) หลังจากทรงสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุแล้ว ทรงรับสั่งให้หาช่างฝีมือดีจากเมืองศรีสัชนาลัย เชียงแสน และหริภุญชัย มาหล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เป็นอมตะของพระพุทธชินราช จึงมีการจัดสร้างวัตถุมงคลแทนองค์ท่านขึ้นจำนวนหลายรุ่น ทั้งที่ออกโดยตรงที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดใหญ่) และวัดอื่นๆ รวมไปถึงหน่วยงาน องค์กรมากมายที่เลื่อมใสศรัทธา ซึ่งหลายๆ รุ่นได้รับความนิยม มีมูลค่าในการสะสมบูชาสูง ล่าสุดทางวัดใหญ่โดยพระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาส และรองเจ้าคณะภาค 5 ได้จัดสร้างวัตถุมงคล พระพุทธชินราช-พระเหลือ รุ่นเสาร์ห้า (เหลือกินเหลือใช้) ปี 53 เพื่อนำรายได้ก่อสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช และบูรณปฏิสังขรณ์โบราณวัตถุภายในวัด โดยประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 20 มี.ค.53 (เสาร์ห้า) เวลา 13.09 น. ภายในวิหารพระพุทธชินราช โดยมีพระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาส และรองเจ้าคณะภาค 5 เป็นประธานจุด และดับเทียนชัย พระอาจารย์ไพรินทร์ เป็นเจ้าพิธี และร่วมปลุกเสกกับพระเกจิอาจารย์ดังภาคเหนือตอนล่างหลายรูป อาทิ หลวงพ่ออั้น วัดธรรมโฆษก (โรงโค) จ.อุทัยธานี พระราชรัตนาภรณ์ (แวว) วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา ครูบาสายทอง วัดท่าไม้แดง จ.ตาก เป็นต้น วัตถุมงคลชุดนี้ ทางวัดจัดสร้างโดยตรง รายได้เข้าวัดชัดเจน เน้นส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาตามนโยบายของ "พระธรรมเสนานุวัตร" เจ้าอาวาสนักพัฒนาที่สร้างสรรค์วัดใหญ่จนใหญ่โตงดงาม
สุดยอดเหรียญประสบการณ์ ที่โดนฟันมามาจนเสื้อขาดกระจุย เเต่ไม่ระคายผิว ปลุกเสกพิธีใหญ่ มีของเลียนแบบออกมาเเล้วครับ วันนี้พร้อมบัตรรับรอง
หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง เกจิชื่อดังแห่งอยุธยา ท่านเรียนวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก , หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค , หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ และเกจิดังๆอีกมาก หลวงพ่อเชิญ เกิดในตระกูล กุฎีสุข ที่หมู่บ้านดงตาล ตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2450 มีโยมบิดาชื่อ นายเคลือบ โยมมารดาชื่อ นางโล่ โดยที่หลวงพ่อเชิญเป็นบุตรของพี่น้องทั้งหมด 3 คน น้องสองคนเป็นฝาแฝดหญิงทั้งคู่ ชื่อ นางเจียม และ นางจอม หลวงพ่อเชิญอายุได้ 5 ขวบ โยมมารดาก็ถึงแก่กรรม ยามใดที่โยมบิดาไปทำไร่ไถนา ท่านต้องรับภาระเลี้ยงดูน้องสาวฝาแฝดแทนถึง 2 คน นับเป็นความยากลำบากมากเพราะขณะนั้นท่านเองเพิ่งจะมีอายุ 5-6 ขวบเท่านั้น พออายุได้ 8 ขวบ โยมบิดาพาไปฝาก หลวงพ่อขาบ วัดฤาชัย ขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลกุฎี ในอำเภอผักไห่ หลวงพ่อเชิญเล่าเรียนหนังสืออยู่กับหลวงพ่อขาบ 2 ปี จนสามารถอ่านออกเขียนได้ หลวงพ่อขาบ วัดฤาชัย จึงนำไปฝาก พระครูบวรสังฆกิจ หรือ หลวงพ่อเพิ่ม วัดโคกทอง ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอเสนา หลวงพ่อเพิ่มองค์นี้เป็นพระอาจารย์ที่มีความรู้ด้านปริยัติธรรมทั้งสมถกรรม ฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพียงพร้อมด้วยศีลาจารวัตรเคร่งครัดพระธรรมวินัย เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนโบราณ และเรืองวิทยาคมขลัง เนื่องจากเป็นศิษย์หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ และ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเพิ่มมีชื่อเสียงด้านแก้คุณแก้การกระทำทางไสยศาสตร์และรักษาโรคภัย ไข้เจ็บต่าง ๆ ชื่อเสียงของหลวงพ่อเพิ่มสมัยนั้นโด่งดังไม่ต่างกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นสหธรรมิกที่มีอายุแก่กว่าหลวงพ่อเพิ่ม 5 ปี ในสมัยนั้นหลวงพ่อปานท่านมาพำนักที่วัดโคกทองเสมอ เมื่อปี พ.ศ.2467 หลวงพ่อเพิ่มสร้างศาลาการเปรียญ หลวงพ่อปานยังมาช่วยยกเสาเอกให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเพิ่มไม่เคยสร้างพระเครื่องไว้เลย ชนรุ่นหลังจึงไม่มีใครรู้จักท่าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อเพิ่มทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์เพียงอย่างเดียวคือ แผ่นอิฐลงอาคมที่ก้นบ่อน้ำมน 2 แผ่น อีกแผ่นหนึ่งเป็นของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งกล่าวกันว่าน้ำมนต์ในบ่อนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก หลวงพ่อเชิญท่านนำมารดให้กับลูกศิษย์ลูกหาอยู่เสมอ หลวงพ่อเชิญบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 16 ปี ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2466 หลวงพ่อเพิ่มเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทต่อโดยมิได้ลาสิกขา ณ พัทธสีมาวัดโคกทอง ในวันที่ 1 มิถุนายน 2470 โดยมีพระอาจารย์องค์แรกคือ หลวงพ่อขาบ วัดฤาไชย เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเพิ่ม วัดโคกทอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดแจ่ม วัดโคกทอง เป็นพระอนุสาสนาจารย์ ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลีจากพระอุปัชฌาย์ว่า ปุญญสิริ หลวงพ่อเชิญอุปสมบทแล้วอยู่ช่วยหลวงพ่อเพิ่มบูรณะวัดโคกทองเรื่อยมา พร้อมกันนั้นได้ศึกษาพระปริยัติธรรมโดยสอบได้นักธรรมตรีตั้งแต่เมื่อยังเป็นสามเณร สอบได้นักธรรมโท และสอบได้นักธรรมเอก ได้รับการแ่ต่งตั้งเป็น พระปลัด ท่านจึงต้องทำหน้าที่ทุกอย่างด้วยความเรียบร้อยเสมอมาจวบจนหลวงพ่อเพิ่มมรณภาพในปี พ.ศ.2491 พ.ศ.2492 หลวงพ่อเชิญดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโคกทอง ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก สำนักนายกรัฐมนตรี ถวายพัดชั้นพิเศษในฐานะที่เป็นผู้อุปการะโรงเรียนวัดโคกทอง (บวรวิทยา) และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ประทานพัดพัฒนาที่มีผลงานดีเด่นแก่หลวงพ่อเิชิญ หลวงพ่อเชิญเป็นพระอาจารย์ที่มีมากครูมากอาจารย์ เพราะท่านมีใจรักทางด้านพระเวทวิทยาคมมากกว่าการศึกษาด้านพระปริยัติธรรม การท่องบ่นมนต์คาถา การลงอักขระเลขยันต์ แพทย์แผนโบราณ ยาแก้กันกระทำคุณไสย์ นั่งเจริญสมาธิภาวนาพระกรรมฐาน ตลอดทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน มาตั้งแต่หลวงพ่อเชิญมีอายุเพียง 10 ขวบ ครั้นบวชเณรแล้วได้ติดตามหลวงพ่อเพิ่มไปชัยนาท ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อเพิ่ม เมื่ออุปสมบทในพรรษาแรกก็ไปขึ้นพระกรรมฐานกับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก แล้วเดินทางไป ๆ มา ๆ ร่ำเรียนวิชากับหลวงพ่อจงมากมายเป็นระยะเวลาหลายปี หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค สหายทางธรรมของหลวงพ่อเพิ่ม ชอบมาพำนักที่วัดโคกทอง หลวงพ่อเชิญก็ฝากตัวเป็นศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้แล้วติดตามพายเรือไปส่งและพักเรียนวิชาที่วัดบางนมโคเป็นประจำ พ.ศ.2473 หลวงพ่อเพิ่มพาท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งของท่านคือ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อกลั่นชราภาพมากแล้ว พ.ศ.2482 หลวงพ่อเชิญเกิดอาพาธด้วยโรคตาอักเสบจึงเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อพักรักษาตัวอยู่กับ หลวงปู่กล้าย วัดหงษ์รัตนาราม บางกอกใหญ่ เลยได้รับการแนะนำวิชาการต่าง ๆ จากหลวงปู่กล้ายอีกรูปหนึ่ง ขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เวลานั้นวัสดุก่อสร้างขาดแคลน การบูรณะวัดก็หยุดชะงักลง หลวงพ่อเชิญจึงถือโอกาสเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณว่าด้วยสาขาเวชกรรมกับ ครูนพ ที่โรงเรียนประทีป ตลาดพลู เป็นเวลา 2 ปีด้วยกัน นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์เรืองวิชาที่มีชื่อเสียงในอยุธยาที่หลวงพ่อเชิญ เคยไปขอศึกษาวิชามาก็มี หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน หลวงพ่อแจ่ม วัดบัวหัก และหลวงพ่อแพ วัดกลางคลอง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอาจารย์ยุคเก่าที่เรืองวิชาทั้งสิ้น หลวงพ่อเชิญ ปุญญสิริ วัดโคกทอง ได้มรณะภาพลงเมื่อวันที่ 21 มค.2543 อายุ 93 ปี พรรษา 73 ยังความเศร้าโศกเสียใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง นับเป็นเกจิที่มีวิชาความรู้มากซึ่งหาได้ยากในยุคนี้ อิทธิวัตถุมงคลต่างๆที่ท่านสร้างและปลุกเสกขึ้นย่อมเ้ข้มขลัง เปี่ยมไปด้วยพุทธคุณและมีพุทธานุภาพสูงส่งในทุกๆด้าน และคงความอมตะตลอดกาล
สมเด็จหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี รุ่นแพ 4 พัน เนื้อผง จัดสร้าง พ.ศ. 2534 ด้านหลังมีตรายาง และรอยจารหมึก สภาพสวยแท้ ครบสูตร รับประกันพระแท้ตลอดไป พระอยู่ในสภาพเดิม ไม่ชำรุดหักบิ่น เสียสภาพ
เหรียญกลม หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร หลังพระปิดตา รุ่นสร้างโบสถ์ วัดสันติสังฆาราม จ.สกลนคร พ.ศ.2520 สองเหรียญ สวย เดิม พร้อมกล่อง รับประกันตามกฎ
หลวงพ่อแพ หรือ พระธรรมมุนี เป็นพระที่มากด้วยเมตตาบารมี และมีชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนปี 2500 หลวงพ่อแพ ตลอดชีวิตของท่านสร้างแต่คุณงามความดีเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน วัดต่างๆ หลวงแพ เป็นพระที่มีอายุยืนยาวมากถึง 94 ปี มรณภาพเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 สำหรับหลวงพ่อแพ ในเรื่องของวิทยาคมก็เก่งไม่เป็นรองใคร หลวงพ่อแพ เคยไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งแถวพัทยา ในปี 2512 ในพิธีนั้นมีพระดังๆจากตะวันออกมาหลายท่าน เช่นหลวงพ่อหอม วัดชากหมาก หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า เป็นต้น เมื่อเสร็จงาน หลวงพ่อหอม ได้บอกกับคนพื้นที่แถวนั้น ให้เข้าไปกราบหลวงพ่อแพ ซึ่งขณะนั้นชาวบ้านไม่รู้จักท่าน เดิมที หลวงพ่อแพ ท่านเรียนด้านปริยัติ เข้ามาศึกษาพักอยู่ที่วัดชนะสงคราม หลายปี ต่อมา เมื่อหลวงพ่อแพ ได้เป็นเจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ท่านได้หันมาให้ความสนใจด้านวิทยาคม เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ต่อมาหลวงพ่อแพ ได้ไปขอเรียนวิชากับ หลวงพ่อเกลี้ยง วัดสุทัศน์ และ ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ สิงห์บุรี และหลวงพ่อจุ้ย วัดสามปลื้ม นอกจากนี้หลวงพ่อแพ ยังมีความสนิทสนมกับพระเกจิดังๆในอดีตหลายท่าน เช่น เจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์ หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ เป็นต้น หลวงพ่อแพ เป็นพระที่น่าเคารพกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจรูปหนึ่ง แม้ว่าหลวงพ่อแพ จะออกวัตถุมงคลมาจำนวนนับร้อยรุ่น แต่ถ้าเป็นพระยุคแรกๆของหลวงพ่อก็ไม่ค่อยได้พบให้เห็นบ่อยนัก โดยเฉพาะพระแท้ๆ เนื่องจากพระของหลวงพ่อแพ มีปลอมเยอะ บางครั้งคนที่คิดจะสะสมไม่กล้าซื้อก็มีครับ เท่าที่ทราบพระเครื่องของหลวงพ่อแพ จะเด่นด้านเมตตา แคล้วคลาด ค้าขาย
หลวงพ่อเพิ่ม ท่านเป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยกำเนิด เดิมชื่อนายเพิ่ม บำรุงสุขท่านเกิดในวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีขาล พ.ศ. 2469 โยมบิดาชื่อนายเล็ก บำรุงสุข โยมมารดาชื่อนางแพร บำรุงสุข หลวงพ่อเพิ่ม ท่านได้อุปสมบทในปี พ.ศ. 2493 ณ วัดสีกุก อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีท่าน "พระครูประโชติวุฒิกร (หลวงพ่อโชติ) วัดป้อมแก้ว" เป็นพระอุปัชฌาย์ "พระครูถาวรธรรมคุณ วัดสีกุก" เป็นพระกรรมวาจาจารย์ "พระครูไพโรจน์ วัดเสาธง" เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "อตฺตทีโป" แปลว่า "ผู้มีประทีปแห่งตน" การศึกษาพุทธาคม หลวงพ่อเพิ่มได้รับการถ่ายทอดสรรพเวทวิทยาคมต่างๆ จาก "หลวงพ่อโชติ" อุปัชฌาย์ของท่าน และจาก"หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท" ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อโชติด้วย โดยหลวงพ่อห่วงท่านได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมมาจาก "หลวงปู่ปั้น แห่งสำนักวัดพิกุล" ดังนั้นเท่ากับว่า หลวงพ่อเพิ่มท่านได้สืบทอดสรรพเวทวิทยาต่างๆ เป็นสายตรงของสำนักวัดพิกุลเช่นกัน มีหลายท่านเข้าใจว่าหลวงพ่อเพิ่มได้เรียนวิชามาจากหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกด้วยนั้น ในความเป็นจริงแล้วนั้นหลวงพ่อเพิ่มท่านบอกว่า ท่านเรียนจากหลวงพ่อโชติองค์เดียวเท่านั้น ไม่เคยเรียนจากองค์อื่นเลย หลวงพ่อเพิ่มท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป้อมแก้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 จนถึงปัจจุบัน พระสังกัจจายน์พิมพ์จัมโบ้เนื้อผงเกสร 108 ตะกรุดทองคำ 3 ดอก 72 องค์ ตะกรุดทองคำ 1 ดอก 300 องค์ ตะกรุดเงิน 2,542 องค์
พระปิดตา รุ่นเก้าฤทธิ์ ของหลวงปู่ฤทธิ์ ปี 2542 อ.เปล่ง ได้มอบมวลสารมาให้ในการจัดสร้างด้วย มีแร่กับผงพราย 59 ตน และ อ.เปล่ง ร่วมเสกให้ด้วยค่ะ มั่นใจได้ครับว่าเข้มขลังสุดๆ เมื่อ อ.เปล่ง กับหลวงปู่ฤทธิ์ ได้เสกร่วมกันถือว่าสุดๆในยุคนั้นแล้ว ท่านที่หาพระปิดตาของ อ.เปล่ง ยังไม่ได้ ลองใช้รุ่นนี้ดู รับรองไม่ผิดหวัง