TeacherD

ข้อมูลสมาชิก – TeacherD

เริ่มเป็นสมาชิก: August 03, 2014 03:58:53 , สถานะ: ปกติ , ตั้งประมูล: 0 รายการ , รายการที่ยังไม่ปิด: 0 รายการ , คำชม: 799 รายการ , คำติ: 2 รายการ

ประวัติ Feedback

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/หลวงพ่อคูณ-ปี-2512-2539/7174425


พิธีปลุกเศกมีพระเกจิอาจารย์หลายท่านได้แก่  -หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, -หลวงพ่อสุด วัดกาหลง -หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ ฯลฯ  *หลวงพ่อคูณ เมตตาลงเหล็กจารด้วยตัวเองและปลุกเศกตลอดไตรมาส*  เหรียญหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ปี ๒๕๑๙ ออกที่วัดใหม่พิเรนทร์ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๙ เหรียญกะไหล่ทองเดิมๆ มีจารมือหลวงพ่อ  -เนื่องจาก..เจ้าอาวาสวัดใหม่พิเรนทร์ พื้นเพป็นคนด่านขุนทด และมีความศรัทธาต่อหลวงพ่อคูณเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาติสร้างเหรียญขึ้นเมื่อปี 2519 โดยหลวงพ่อคูณเมตตาลงเหล็กจารด้วยตัวเองและปลุกเศกให้ตลอดไตรมาส  ปัจจุบัน..เป็นเหรียญพิมพ์นิยมอีกหนึ่งรุ่นเหรียญของหลวงพ่อคูณ..ออกปีเดียวกันกับเหรียญสร้างบารมี ปี 2519 อันโด่งดัง


เขียนโดย :เฮียตุ้ย เจ้าของรายการ January 31, 2017 05:59:29

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระสมเด็จทั่วไป/7076303


สมเด็จวัดประสาท พิมพ์มีหน้ามีตา สภาพสวยมากๆๆๆ ปี 2506


เขียนโดย :thomas_fc เจ้าของรายการ January 10, 2017 18:00:04

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/เครื่องราง-ล็อกเก็ต/6943410


พญาจระเข้จักรพรรดิ์เศรษฐี รุ่นที่ 12 วัดสุมนาวาส (เขากะโหลก) ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ #10#


เขียนโดย :anurach เจ้าของรายการ November 11, 2016 13:19:46


หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง พระเกจิอาจารย์อาคมขลังแห่ง จ.ระยอง วัตถุมงคลของท่านเป็นที่นิยม หมูมหาลาภ เนื้อปลอกลูกปืน สร้างประมาณ พ.ศ.2538 มีขนาดเล็กสวยงามง่ายแก่การพกพา เหมาะสำหรับเป็นเครื่องรางนำโชคลาภติดตัวโดยเฉพาะคนที่เกิดปีเสือพกไว้แก้ชงดีนักแล พุทธคุณดีทางด้านโชคลาภ เรียกเงินทอง ค้าขาย หมูมหาลาภ โภคทรัพย์ เป็นสัตว์มงคล 1 ใน 12 ราศี ปีเกิด ของวงรอบประจำ โหราศาสตร์ จันทรคติ ทั้งไทยและจีน “เชื่อกันว่าหมูเป็นสัตว์นำมาซึ่งความสำเร็จความอุดมสมบูรณ์กินดีอยู่ดี นำความร่ำรวยมาให้ ซึ่งเป็นเครื่องรางที่มีอิทธิฤทธิ์สูง สามารถช่วยเหลือ ผู้ครอบครองให้มีแต่ความเจริญ รุ่งเรืองก้าวหน้า ทั้งด้านการเงิน การค้า ทำการใดก็ดี ทำการใดก็หมูๆ พลิกชะตาจากร้ายกลายเป็นดีขับไล่เสนียดจัญไร ศัตรูหมู่มารออกพ้นจากตัวเรา พร้อมอธิษฐานขอโชคลาภตามประสงค์ทั้ง 8 ทิศจะสำเร็จมุ่งมั่นทุกประการ อีกทั้งยังเป็นของเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเภทภัยต่าง ๆ คุ้มครองให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข และเป็นสื่อนำโชคลาภมาสู่ผู้บูชา หมูมหาลาภ โภคทรัพย์ ประวัติหลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับ จ.ระยอง พระครูมนูญธรรมวัตร หรือ หลวงพ่อสาคร ศิษย์เอกผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงปู่ทิม อิสริโก หลวงพ่อสาครเป็นผู้ฝักใฝ่ในด้านเวทย์มนต์คาถาอาคมและวิชาแพทย์แผนโบราณมาตั้งแต่เด็กๆ นามเดิมว่า สาคร ไพสาลี เกิดในกระกูลชาวไร่-ชาวนา เมื่อวันอังคาร แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ซึ่งตรงตามคติโบราณที่ว่าบุคคลนั้นจะมีความพิเศษอยู่ในตัว หากถือปฏิบัติก็จะพบกับความสำเร็จเจริญยิ่งๆขึ้นไปหากร้ายก็จะร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้และบุคคลที่เกิด ในราศีนี้จิตจะฝักใฝ่ด้านไสยศาสตร์เวทย์มนต์คาถา ชาติกำเนิด หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ  โยมบิดาชื่อ นายกุ โยมมารดาชื่อนางนิด หลวงพ่อสาครเกิดที่บ้านท้ายทุ่ง หมู่สอง๒ ต.หนองกรับ อ.บ้านค่าย (บ้านท้ายทุ่งแห่งนี้เป็นสถานที่เดียวกับบ้านเกิดของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่) หลวงพ่อสาคร มีพี่น้องทั้งหมด2คนคือ 1.นางอยู่ ไพสาลี 2.หลวงพ่อสาคร ประวัติการศึกษาของ หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ หลวงพ่อสาคร ได้เข้าศึกษาเบื้องต้นในชั้นประถมปีที่ 1 เมื่ออายุได้5ปีที่โรงเรียนวัดหนองกรับจนจบชั้นประถมปีที่4 เมื่อพ.ศ. 2490ได้ออกมาช่วยโยมบิดา-มารดาประกอบอาชีพทำนาและเมื่อมีเวลาว่างก็จะออกเดินทางไปบ้านละหารไร่ เพื่อศึกษาวิชาไสยศาสตร์กับโยมหล่อและโยมทัต ซึ่งทั้งสองถือว่าเป็นผู้เรืองวิชาอาคมในสมัยนั้น และเข้าปฏิบัติหลวงปู่ทิมอยู่เป็นนิจซึ่งนับว่าเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่หลวงปู่ให้ความเมตตาเรียกใช้อยู่เสมอ ด้วยนิสัยและความสนใจด้านไสยศาสตร์มาแต่เด็กและโตขึ้นจึงเป็นคนหนุ่มที่มีวิชาอาคมติดตัวแต่ก็ได้ใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาไปทำร้ายใครกลับมีแต่ช่วยเหลือเพื่อนๆรุ่นเดียวกันมาตลอด อุปสมบท เมื่ออายุครบ 20ปี โยมมารดาและญาติพี่น้องจึงได้ร่วมกันจัดพิธีอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุที่วัดหนองกรับเมื่อวันพุธที่ 4มิถุนายน 2501 โดยมีพระครูจันทโรทัย(หลวงพ่อดิ่ง)เป็นพระอุปัชฌายะเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอธิการเคียง วัดไผ่ล้อมเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า”มนูญโญ” เมื่ออุปสมบทแล้วได้เดินทางไปจำพรรษาที่ วัดละหารไร่ และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ลป.ทิมเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและพุทธาคมจากหลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ อย่างจริงจังจึงได้รับ การถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่ทิมจนหมดสิ้นโดยมิได้ปิดบังแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเรียนได้กระจ่างชัดรู้จริง สามารถปฏิบัติได้เมื่อมีความเชี่ยวชาญในพระคาถาต่างๆ ที่เรียนแล้วด้วยใจรักในด้านนี้จึงได้เสาะแสวงหาศึกษาวิชาอาคมจาก หลวงพ่อเพ่ง สาสโน วัดละหารใหญ่ ซึ่งหลวงพ่อเพ่งรูปนี้เดิมเป็นมหาดเล็กในเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ฯ จึงได้ศึกษาวิชาอาคมจาก หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า มีวิชาด้านคงกระพันเป็นเยี่ยมเขียนอักขระลงบนแผ่น ตะกั่วเพียงตัวเดียวให้คนทดลองยิงก็ยิงไม่ออกเมื่อ หลวงพ่อสาคร ได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อเพ่งเป็นอย่างดีแล้ว ก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่ทิมให้ไปศึกษาวิชาจาก หลวงปู่หิน วัดหนองสนม ซึ่งหลวงพ่อสาครก็ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่หินถ่ายทอดวิชาให้เป็นอย่างดีหลังจากศึกษาวิชาอาคมจากหลวงปู่หินแล้ว หลวงพ่อสาคร ก็เดินทางไปศึกษาวิชากับหลวงปู่โสม วัดบ้านช่อง อ.พานทอง จ.ชลบุรีซึ่งเป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้าอีกองค์หนึ่งของภาคตะวันออก หลวงพ่อสาคร ก็ได้ศึกษาจนกระทั่งจบวิชาความรู้ต่างๆ ด้วยนิสัยใฝ่รู้หมั่นศึกษา หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากบรรดาเกจิอาจารย์ต่างๆอีกหลายองค์ อาทิ พ.ศ. 2503 ได้เดินทางไปศึกษากับอาจารย์เชียงคำ ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า พ.ศ. 2506 ศึกษากับอาจารย์สิน วัดนาวัง อ.บางละมุง ชลบุรี พ.ศ. 2518 เดินทางไปศึกษากับอาจารย์สุพจน์ ที่ประเทศเขมร พ.ศ. 2523 ศึกษากับพระอาจารย์สุมล คำเสียง ที่จังหวัดศรีษะเกษ พ.ศ. 2525 ศึกษากับหลวงพ่อบุญเย็น วัดแจ้งนอก จ.นครราชสีมา พ.ศ. 2526 ศึกษากับหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา พ.ศ. 2527 ศึกษากับหลวงพ่ออาคม วัดดาวนิมิตร จ.เพชรบูรณ์ พ.ศ. 2528 ศึกษากับหลวงพ่อบึม วัดปราสาทกิน จ.ปราจีนบุรี ฯลฯ หลวงพ่อสาคร ยังได้ศึกษากับพระเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยเวทย์ต่างๆอีกหลายท่านทั้งพระภิกษุและฆราวาส ในปีพ.ศ. 2508 พระครูเกลี้ยงธรรมถีโยเจ้าอาวาส ลำดับที่9 วัดหนองกรับได้มรณภาพลง ทายกทายิกาชาวบ้านหนองกรับได้เดินทางไปหา หลวงปู่ทิม ที่วัดละหารไร่เพื่ออาราธนา หลวงพ่อสาคร มนูญโญ ให้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับ หลวงปู่ทิมได้อนุญาต หลวงพ่อสาคร จึงมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงแม้ว่า หลวงพ่อสาคร ท่านจะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับก็มิได้ทอดทิ้ง หลวงปู่ทิม ผู้เป็นอาจารย์ยังคงเดินทางไปกราบนมัสการดูแลหลวงปู่อยู่เสมอจนกระทั่งหลวงปู่ทิมได้มรณภาพ ลงในปี 2518 หลวงพ่อสาคร ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในการจัดบำเพ็ญกุศลศพ หลวงปู่ทิม อย่างเต็มที่สมกับที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิอย่างแท้จริงจนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาอื่นๆของหลวงปู่ทิมกล่าวยกย่องชมเชย หลวงพ่อสาคร กันทั่วหลวงพ่อสาครนอกจาก จะสนใจศึกษาวิชาอาคมต่างๆแล้วท่านก็มิได้ทอดทิ้งในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย และเมื่อรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองกรับซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 200ปีและเคยถูกไฟไหม้เผากุฏิเสนา สงฆ์จนวอดวายท่านก็มิได้ดูดายเมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสก็ได้บูรณะและสร้างเสนาสนะใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ภิกษุสงฆ์ สามเณรและพุทธศาสนิกชนได้ใช้ปฏิบัติศาสนกิจต่อไปด้วย ความสามารถพิเศษของหลวงพ่ออีกอย่างหนึ่ง คือมีความชำนาญในด้านปฏิมากรรมและวิจิตรศิลป์ การแกะสลัก การปั้นลวดลายและวาดภาพฝาผนัง ตลอดจนการลงรักปิดทอง ท่านจึงได้ลงมือบูรณะและก่อสร้างเสนาสนะถาวรวัตถุต่างๆด้วยตัวท่านเอง ในปีพ.ศ.2524 ได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นโท “พระครูมนูญธรรมวัตร” หลวงพ่อสาคร ได้สร้างพระเครื่อง วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2508 มีด้วยกันสองพิมพ์พิมพ์แรกเป็นสมเด็จรัศมีมีเนื้อผงใบลานเก่าสีดำหลวงพ่อได้ นำใส่บาตรแล้วเผาไฟ ทำให้มีเนื้อแกร่งและอีกพิมพ์หนึ่งเป็นรูปปั้นหลวงปู่ทิม เนื้อผงใบลานสีดำเนื้อเดียวกับสมเด็จพิมพ์รัศมีหลวงพ่อสาครได้นำออกมาแจกแก่ญาติโยมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2510 ในงานทอดผ้าป่า พระชุดนี้ได้ก่ออภินิหารอย่างมากมาย ช่วยคุ้มครองชีวิตแก่ผู้นำติดตัวมาแล้วหลายราย ต่อมาใน ปี 2524 หลวงพ่อสาคร ได้นำผงปัถมัง,ผงอิทธิเจที่ท่านเขียนเลขยันต์อักขระต่างๆ ผงของของหลวงปู่ทิม,ผงอิทธิเจหลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่,ผงปัดตลอดอาจารย์ภูเมือง,ผงพุทธคุณหลวงพ่อสิม วัดถ้ำผาปล่อง,ผงพุทธคุณครูบาคำหล้า จ.เชียงใหม่,ผงพุทธคุณอาจารย์มั่น,ผงวิเศษหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกและผงของเกจิอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อได้ไปศึกษามาหลวงพ่อสาคร ได้นำผงเหล่านี้มาสร้างเป็นสมเด็จพุทธนิมิต ซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถวัดหนองกรับหลังจากสร้างออกมาแล้วก็เป็นที่ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อทหารนาวิกโยธินนายหนึ่งได้เหยียบกับระเบิดจนตัวลอยละลิ่วเมื่อเพื่อนๆวิ่งไปดูทหารคนนั้น กลับไม่เป็นอะไรเลยในคอคล้องสมเด็จพุทธนิมิตองค์เดียวเท่านั้นจึงยกโขยงมาขอ สมเด็จพุทธนิมิตจาก หลวงพ่อสาคร ไปเป็นจำนวนมากหลังจากนั้นหลวงพ่อได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นอีกหลายพิมพ์ ซึ่งก็ล้วนมีประสบการณ์ทั้งสิ้นจนทำให้วัตถุมงคลเหล่านี้ หมดไปจากวัดอย่างรวดเร็ว ในปี2524 หลวงพ่อสาคร ได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นโท หลวงพ่อสาคร ได้สร้างเหรียญปิดตารุ่นฉลองสมศักดิ์ ขึ้นด้านหลังเป็นยันต์ห้าเหรียญรุ่นนี้เป็นที่โจษขานกันมาอีก รุ่นหนึ่งในบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดระยองเพราะทำให้มีฐานะดีขึ้นมาทุกวันนี้เพราะ เหรียญปิดตาหลวงพ่อสาคร นี่แหละหลวงพ่อสาครนับว่าเป็นที่เจริญรอย ตามคณาจารย์โดยแท้ด้วยศีลลาจารวัตรที่งดงามอีกรูปหนึ่งท่านเป็นพระที่สมถะมากด้วยพระธรรมวินัยมีอาคมอันแก่กล้า หลวงพ่อสาคร มนูญโญ วัดหนองกรับ นับว่าเป็นเพชรน้ำเอกอีกรูปหนึ่งที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ ท่านเป็นพระผู้สืบสานอาคมจากหลวงปู่ทิมผู้เป็นอาจารย์มิขาดตกบกพร่อง


เขียนโดย :พันธุ์ทิพย์ เจ้าของรายการ November 10, 2016 08:24:52

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระชุดภาคเหนือ/6972926


     เหรียญพระปางลีลา หลังพระนางพญา สร้างเมื่อ ปี 2514 พร้อมกับพระนางพญา จัดสร้างโดย วัดนางพญา จ.พิษณุโลก สมัย พระอาจารย์ถนอม เขมจาโร และพระครูบวรชินวัฒน์ โดยมี สมเด็จพระวันรัต (ปุน ปุณณสิริ) ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่17แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และทรงจุดเทียนชัย พระอาจารย์ไสว สุมโน เป็นเจ้าพิธี พระครูวามเทพมุนี เป็นประธานฝ่ายพราหมณาจารย์ และพลโทสำราญ แพทยกุล แม่ทัพภาคที่3 เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ทำพิธีดับเทียนชัย วัตถุประสงค์ เพื่อจัดหาจตุปัจจัยในการสร้างพระอุโบสถวัดนางพญา โดยเริ่มดำเนินการเมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม 2512 เวลา 9 นาฬิกา 12 นาที เป็นปฐมฤกษ์ตามพระฤกษ์สร้างพระอุโบสถที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และได้ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกมหาจักรพรรดิตราธิราชตามจารีตประเพณีโบราณาจารย์ เมื่อวันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2514 ในวิหารวัดนางพญา จ.พิษณุโลก พิธีนี้เป็นอภิมหาพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น โดยนิมนต์ยอดเกจิอาจารย์จากทั่วประเทศ 108 รูป มาร่วมพิธีมหาพุทธาภิเศกอาทิเช่น -หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม -หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี -หลวงปู่ฝั้น อาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำขาม สกลนคร -หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขตต์ จ.ขอนแก่น -หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ -ครูบาพรหมจักรสังวร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน -หลวงพ่อทบ วัดช้างเผือก เพชรบูรณ์ -หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง -หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว สุพรรณบุรี -หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี -หลวงพ่อโอด วัดจันเสน นครสวรรค์ -หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี  ..และคณาจารย์อื่นๆอีกมากมาย พระดีมีคุณค่าน่าเช่าบูชามากครับ  


เขียนโดย :พันธุ์ทิพย์ เจ้าของรายการ November 10, 2016 08:24:45

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระชุด-จ.นครปฐม/6972923


หลวงปู่หลิว วัดไร่วัดแตงทอง   ประวัติย่อหลวงปู่หลิว ปณฺณโก          นามเดิม “หลิว” นามสกุล “แซ่ตั้ง” (นามถาวร)  บุตร คุณพ่อเต่ง แซ่ตั้ง คุณแม่น้อย แซ่ตั้ง  อาชีพ ทำไร่ ทำนา  เกิด วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2448  ขึ้น 11 ค่ำ เดือนอ้าย (ปีมะเส็ง) ณ หมู่บ้านหนองอ้อ ตำบลบ้านสิงห์  อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี พี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งสิ้น 9 คน ชาย 5 คน หญิง 4 คน สมรส นางหยด มีบุตรชาย 1 คน ชื่อ  นายกาย นามถาวร   อุปสมบท อายุ 27 ปี ณ พัทธสีมาพระอุโบสถ วัดโบสถ์ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี (ประมาณเดือน 7 ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. 2475 ปีวอก)   หลวงพ่อโพธาภิรมย์ แห่งวัดบำรุงเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่ออินทร์ วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีพระอาจารย์ห่อ วัดโบสถ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า “ปณฺณโก”  เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงปู่หลิว ได้มาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ หลังจากนั้นท่านได้ไปเรียนวิชาอาคม จากอาจารย์หม่ง ชาวกระเหรี่ยง, หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี, หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช, หลวงพ่ออุ้ม จังหวัดนครสวรรค์ และคณาจารย์อีกหลาย ๆ ท่าน ทั้งที่เป็นภิกษุ และฆราวาส หลวงปู่หลิว ท่านเป็นพระที่ไม่หยุดนิ่ง ท่านได้ไปจำพรรษา และบูรณะปฏิสังขรณ์ ยังวัดต่าง ๆ ดังนี้ คือ วัด โศก จังหวัดสุพรรณบุรี วัดท่าเสา, วัดสนามแย้, วัดไทรทองพัฒนา จังหวัดกาญจนบุรี, วัดไร่แตงทอง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม, วัดหนองอ้อ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี, สำนักสงฆ์ประชาสามัคคี ตำบลบ้านฆ้องน้อย อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี          หลวงปู่หลิวได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2540 จนท่านละสังขารด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ.2543 เวลา 20.35 น. รวมอายุ 95 ปี 74 พรรษา          หลวงปู่หลิว ปณฺณโก นับเป็นผู้ทรงอภิญญา และมีพุทธาคมสูงส่ง ท่านเป็นผู้มีเมตตา พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านพร้อมจะสร้าง พร้อมจะเสียสละ ให้กับบวรพุทธศาสนา ท่านไปอยู่ยังที่แห่งใด ก็เปรียบเหมือนดวงประทีปของที่นั้นจนท่านได้ชื่อว่า “พุทธบุตร” ทุกคนยกย่องในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ใช้ความสามารถต่าง ๆ ที่ท่านมีบูรณะปฏิสังขรณ์สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัด เช่น โบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ โดยมิได้หยุด หลวงปู่หลิว เคยตั้งปฏิธานด้วยสัจจะ 2 ประการ คือ 1. เลิกอบายมุข ทุกชนิด 2. เมื่อมีโอกาสจะสั่งสมบารมี ด้วยการสร้างเสนาสนะภายในวัด เช่น โบสถ์ วิหาร กุฏิ ศาลาการเปรียญ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความ ปรารถนาอันแรงกล้าของหลวงปู่หลิว ปณฺณโก เป็นผลให้อำนาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่สถิตทั่วจักรวาล ดลบันดาลให้ท่านมี “วาจาสิทธิ์” กับ “ญาณทิพย์” มาขจัดปัดเป่าความทุกข์โศก ของเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์ ได้อย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะยากดีมีจนท่านก็ช่วยเหลือจนหมดสิ้น          หลวงปู่หลิว ปณฺณโก เป็นพระที่ถือสันโดษ ไม่ลุ่มหลงทั้งทางโลกและทางธรรม ท่านไม่รับและไม่ยินดียินร้ายต่อสมณศักดิ์ทางสงฆ์ แม้จะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย อ้อนวอนให้หลวงปู่รับสมณศักดิ์ทางสงฆ์ หลวงปู่หลิวก็หายอมรับไม่   หลวงปู่หลิวขออยู่อย่างพระธรรมดาทั่วไป กุฏิหลวงปู่หลิว ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไม่มีที่นอนอย่างดี ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างดีราคาแพง ท่านอยู่แบบสมถะ เป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง  ท่านมีบุคคลต่าง ๆ จากทั่วทุกสารทิศมาพึ่งบารมีขอพร ขอให้ท่านช่วยคลายทุกข์มากมาย หลวงปู่หลิวมีลูกศิษย์ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และฮ่องกง  หลวงปู่หลิวนั้น เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าท่านสมถะไม่หวังในยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านพัฒนาทั้งทางธรรมและทางโลกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หลวงปู่หลิวนั้นท่านฉันอาหารอย่างง่าย อาหารที่หลวงปู่หลิวฉันทุกมื้อ คือ ผักต้มนิ่ม ๆ และมีมะระขี้นกทุกมื้อ น้ำพริก รสไม่เผ็ด แกงเลียง ข้ามต้ม ผัดหมี่ซั่ว ผลไม้ที่ท่านชอบมากคือ ทุเรียน นอกจากนั้น ท่านชอบฉันหมากเป็นประจำ  นอกจากหลวงปู่หลิวจะมีวัตรปฏิบัติที่เพียบพร้อมแล้ว หลวงปู่ยังมีอารมณ์ขัน จนเป็นที่ทราบของบุคคลใกล้ชิดทั่วไป และลูกศิษย์ลูกหาที่มาหา จนมีการรวบรวมอารมณ์ขันของหลวงปู่มาเป็นหนังสือได้ 1 เล่มทีเดียว   กลางปี พ.ศ. 2543 หลังจากพิธี พุทธาภิเษกวัตถุมงคลรุ่นเสาร์ 5 เป็นต้นมา หลวงปู่ก็เริ่มอาพาธ ด้วยโรคชรา หลวงปู่หลิวเคยปรารภกับลูกหลานว่า ท่านเกิดที่หนองอ้อ ท่านก็อยากตายที่หนองอ้อ และหากว่าเมื่อถึงเวลาที่ท่านต้องจากไป ก็อย่าได้หน่วงเหนี่ยวท่านไว้ เพราะวัฏสงสารเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์  ในค่ำคืนวันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2543 เวลา 20.35 น. หลวงปู่หลิวได้ละสังขารอย่าสงบท่ามกลางลูกหลานที่คอยมาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย ที่กุฏิของท่าน ณ วัดหนองอ้อ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี รวมอายุ 95 ปี พรรษา 74 พรรษา          ทำไมถึงต้องเป็นพญาเต่าเรือน หลวงปู่หลิวท่านเคยบอกไว้ว่า ต้องการทำวัตถุมงคลให้แปลกและดีจึงนึกถึงเต่า เพราะว่าเต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาว เต่าเป็นสัตว์ที่มีศีลธรรม นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังเคยเสวยพระชาติเป็นพญาเต่ามาแล้ว          หลวงปู่หลิวได้เล่าถึงตำนานพญาเต่าเรือนว่า  เมื่อสมัยพุทธกาลนั้นมีพญากาเผือกผัวเมียคู่หนึ่งอาศัยอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ พญากาเผือกตัวเมียได้ออกไข่มา 5 ฟองในรังบนต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนั้น   อยู่มาวันหนึ่งพญากาเผือกทั้งสองได้บินออกไปหากิน ปล่อยให้ไข่ทั้ง 5 ฟองอยู่ในรังโดยไม่มีใครเฝ้า   วันนั้นได้เกิดพายุรุนแรงขึ้บริเวณริมฝั่ง แม่น้ำแห่งนั้น ไข่ทั้ง 5 ฟอง   จึงถูกพายุพัดตกลงไปในแม่น้ำ แล้วลอยน้ำกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง   ไข่พญากาเผือกได้ถูกเก็บไปเลี้ยงโดยสัตว์ชนิดต่าง ๆ คือ           ฟองแรก      เต่านำไปเลี้ยงไว้ ฟองที่สอง   พญานาคนำไปเลี้ยงไว้ ฟองที่สาม   พญาราชสีห์นำไปเลี้ยงไว้ ฟองที่สี่        โคนำไปเลี้ยงไว้ ฟองที่ห้า      งูนำไปเลี้ยงไว้ ไข่แต่ละฟองนั้นเมื่อถูกนำไปเลี้ยงก็ได้มีพระโพธิสัตว์มาเสวยพระชาติเป็นสัตว์ตามผู้ที่เก็บมาเลี้ยงดูเช่น   ไข่ฟองแรกเต่าเก็บไปเลี้ยงพระโพธิสัตว์ก็มาเสวยพระชาติเป็นเต่า ไข่ฟองที่สองพญานาคเก็บไปเลี้ยง พระโพธิสัตว์ก็เสวยพระชาติเป็นพญานาค ไข่ฟองที่สามพญาราชสีห์เก็บไปเลี้ยง  พระโพธิสัตว์ก็เสวยพระชาติเป็นพญาราชสีห์ ไข่ฟองที่สี่ โคเก็บไปเลี้ยง  พระโพธิสัตว์ก็เสวยพระชาติเป็นโค ไข่ฟองที่ห้า งูเก็บไปเลี้ยง   พระโพธิสัตว์ก็เสวยพระชาติเป็นงู            ในกาลต่อมาพระโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองค์ได้มาเกิดใหม่ในชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าตามลำดับดังนี้            พระพุทธเจ้าพระองค์แรกทรงพระนามว่า  กะกุสันโธ            พระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ทรงพระนามว่า พระโกนาคมโน            พระพุทธเจ้าองค์ที่สาม ทรงพระนามว่า กัสสโป            พระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ ทรงพระนามว่า โคตาโม            พระพุทะเจ้าองค์ที่ห้า ทรงพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรโย (ซึ่งยังไม่ประสูติ)           พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก่อนจุติต้องเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์เพื่อบำเพ็ญบารมีมาแล้ว   เป็นร้อยชาติ    เป็นพันชาติหรือเป็นหมื่นชาติเลยทีเดียว  พญาเต่าเรือนจึงเป็นชาติหนึ่งของพระโพธิสัตว์ที่เสวย พระชาติเพื่อบำเพ็ญบารมี           หลวงปู่หลิวท่านเล็งเห็นว่า  พญาเต่าเรือนนี้เป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล    ท่านจึงได้นำมาเป็นแบบในการสร้างวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมอย่างสูง        พญาเต่าเรือนใช้บูชากันได้ร้อยแปด ทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี สู้คดีความ ประกอบการธุรกิจและอื่น ๆ อีกมากมาย                พระคาถาที่ใช้ในการอาราธนานั้นมีหลายบทด้วยกัน  ในกรณีที่ตกอยู่ในอันตราย มีคดีความให้ท่าน นึกถึงหลวงปู่หลิวแล้วสวดมนต์ภาวนาคาถาดังนี้                “ ให้ตั้งนโม  3  จบ        นะมะพะทะ   นาสังสิโม สังสิโมนา   สิโมนาสัง   โมนาสังสิ  นะอุทะกะ  เมมะอะอุ    แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอพระบารมีพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่เสวยพระชาติเป็นพญาเต่าเรือน    ให้ช่วยพ้นภัยอันตรายที่ประสบอยู่ สำหรับตัวคาถา 4 ตัวคือ    นาสังสิโม  นั้นท่านว่าเป็นหัวใจของพญาเต่าเรือน


เขียนโดย :พันธุ์ทิพย์ เจ้าของรายการ November 10, 2016 08:24:39


ชีวิตของหลวงพ่อจง  หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว  ได้ปรากฎเหตุอันน่าแปลกมหัศจรรย์เด่นชัดขึ้น  เพราะนอกจากจะหายป่วยหายไข้แล้ว  เมื่อได้มาศึกษาหาความรู้ในด้านธรรมะ คือได้ศึกษาพระปริยัติธรรมและธรรมสิกขา  พร้อมทั้งฝึกฝนในด้านการเขียนอ่านอักษรทั้งไทยและขอมจากท่านพระอาจารโพธิ์  เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน  ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์          พระภิกษุจงได้แสดงออกถึงความในอัจฉริยะ  ด้วยการเรียนรู้จดจำสิ่งที่ได้รับถ่ายทอดมาอย่างแม่นยำและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง  จนใคร ๆ ทั้งหลายที่รู้พื้นความเป็นมาต่างพากันอดแปลกใจสงสัยเสียมิได้ว่า "เอ๊ะ..ทำไมภิกษุจงจึงมิยักงมโข่งหรืออุ้ยอ้ายอับปัญญา  เหมือนกับบุคลิกที่อ่อนแออมโรค  ที่ส่อแสดงว่าน่าจะเป็นไปในทางทึบหรืออับ เรียนรู้จดจำอะไรไม่แม่นยำ" และยิ่งเพิ่มความแปลกมหัศจรรย์แปลกไกลไปกว่านั้น  ภายหลังจากที่ได้กระจ่างแจ้งในพระธรรมและภาษาหนังสือพอสมควรแล้ว  พระอาจารย์โพธิ์ที่เล็งเห็นแววว่าน่าจะเป็นไปได้ของพระภิกษุจง  ได้ให้การถ่ายทอดวิชาในด้านเวทวิทยาคมที่ท่านเชี่ยวชาญจนเป็นที่เลื่องลือ  ถือกันว่า พระอาจารย์โพธิ์คือยอดแห่งผู้ทรงเวทในสมัยนั้นให้กับพระภิกษุจงด้วย ผลก็ปรากฎว่า พระภิกษุจงสามารถน้อมรับวิชาไว้ได้ทุกกระบวนมนต์ สำเร็จแตกฉานชนิดสิ้นภูมิผู้เป็นอาจารย์กันเลยทีเดียว  และด้วยการได้รับถ่ายทอดวิชาให้ชนิดไม่มีการปิดบังซ่อนเร้นภูมิรู้ใดไว้ของพระอาจารโพธิ์  จึงทำให้พระภิกษุจงได้ก้าวเข้ามาทำหน้าที่เป็นที่รวมใจ  ที่พึ่งพิงข


เขียนโดย :The Big เจ้าของรายการ November 09, 2016 15:50:47

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระเนื้อดิน/6957397


ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่ายุคก่อนสงคราม  หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดเงินบางพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดเงินบางพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นิมนต์ท่านให้มาเป็นเจ้าอาวาส ท่านจึงเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของ วัดราชโยธา และท่านเป็นศิษย์น้องของ สมเด็จโต วัดระฆัง  และเป็นศิษย์พระอาจารย์แสงวัดมณีชลขันธ์ ลพบุรี ผู้เป็นอาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์โต นอกจากนั้นท่านยังได้มีโอกาสศึกษาวิชาเพิ่มเติมกับสมเด็จโตอีกด้วย ส่วน เกจิอาจารย์ที่คุ้นเคยไปมาหาสู่กัน เช่น หลวงปู่ปั้นวัดเงิน ตลิ่งชัน หลวงพ่อปานวัดมงคลโคธาวาส สมุทรปราการ หลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่า ชัยนาท หลวงปู่ภูวัดอินทร์ กรุงเทพฯ และท่านเจ้ามาวัดสามปลื้ม กรุงเทพฯ สำหรับลูกศิษย์ของท่านก็มี หลวงปู่เผือกวัดกิ่งแก้ว สมุทรปราการ หลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา, หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม สมุทรสงคราม, หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ, หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์ นครศรีธรรมราช, หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพระองค์ สมุทรสาคร, หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ, หลวงพ่อเพชรวัดสามปลื้ม กรุงเทพฯ และศิษย์ที่เป็นฆราวาส เช่น อาจารย์แก้วคำวิบูลย์ อาจารย์แถว และอาจารย์เจ็ก ในสมัยก่อนหลวงปู่ทอง ท่านเป็นพระที่มีอาวุโสสูง และทรงไว้ซึ่งวิทยาคมแก่กล้า ดังนั้นไม่ว่าใครก็ล้วนมาขอเรียนวิชาต่างๆจากท่าน หลวงปู่ทองมีอายุยืนยาวถึง 117 ปี จึงมรณภาพด้วยโรคชราเมื่อปี 2480 ท่าน ได้สร้างพระเครื่องไว้มากมายหลายรุ่นหลายพิมพ์มีทั้ง พิมพ์สมเด็จยันต์ข้าง พิมพ์ปิดตายันต์ข้าง พิมพ์แม่ธรณีบีบมวยผมยันต์ข้าง พิมพ์ปิดตาหลังยันต์อุเนื้อเมฆพัด เป็นต้น สำหรับพระเครื่องวัตถุมงคลต่างๆ หลวงปู่ทองก็สร้างไว้พอสมควร แต่ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้เห็นกัน เพราะหายากมาก คนรุ่นนั้นต่างเก็บไว้ใช้กันหมด ที่เราพอจะได้เห็นกันบ้างก็คือ สมเด็จเขียวเหนียวจริง หรือพระสมเด็จกรุบึงพระยาสุเรนทร์ ซึ่งท่านสร้างและปลุกเสกให้ แม้แต่ตอนสงครามอินโดจีน พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังได้นิมนต์ท่านขึ้นเครื่องบิน ไปโปรยทรายเสก รอบวัดพระแก้ว และสนามหลวง รวมทั้งบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้คุ้มครอง มิให้เป็นอันตรายจากระเบิดของข้าศึก และยังได้ขอร้องให้ท่านสร้างเสื้อยันต์เพื่อแจกทหารไปใช้ในสงคราม ซึ่ง เสื้อยันต์นี้มีกิตติศัพท์เลื่องลือกันมาก ว่าแคล้วคลาดยิงไม่ถูกหรือโดนยิงแล้วไม่เป็นอะไร บางคนโดนยิงล้มลง ก็ยังลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ จนได้รับฉายาว่า ทหารไทยเป็นทหารผี ซึ่งตอนนั้น เสื้อยันต์ที่ท่านสร้าง จะจารเขียนด้วยดินสอดำ ท่านเองทำให้ไม่ทัน จึงได้ขอให้พระอาจารย์อีก 5 ท่าน มาร่วมสร้างด้วย คือ 1.หลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง นครปฐม, 2.หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม, 3.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา, 4.หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี, 5.หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว สมุทรปราการ หลวงปู่ทองท่านเป็นพระที่ความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ท่านมีอภิญญาปาฏิหาริย์มากมาย แม้แต่คนจะถ่ายรูปท่าน ก็ยังถ่ายไม่ติดเลยครับ ทำให้ปัจจุบัน จึงไม่ค่อยมีรูปท่านให้เห็นกัน จะ มีที่เห็นก็เพียงรูปเดียวก็คือ รูปที่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายร่วมกันไปอ้อนวอนขอถ่ายรูปท่าน ซึ่งเป็นรูปที่ท่านกำลังลงจากกุฏิไปฉันเพลเท่านั้น ส่วนวัตถุมงคลมีทั้ง เนื้อดิน เนื้อผง ดินผสมผง และเมฆพัด พระเครื่องของท่านมีพุทธคุณสูงทางด้านเมตตาแคล้วคลาด และคงกระพัน ขนาดที่ว่าพี่น้องชาวมุสลิมที่อาศัยบริเวณใกล้เคียงวัด ยังให้ความเคารพนับถือท่านอย่างสูงเลย   พระสวยบรรยายตามรูปเลยครับ สภาพนี้ก็หายากแล้วครับ มาพร้อมบัตรรับรอง พี่ๆท่านใดสนใจเคาะใส่ราคา ได้เลยครับ ขอบพระคุณมากครับผม


เขียนโดย :เหน่งบางคู้13 เจ้าของรายการ November 09, 2016 14:50:23

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระหล่อ-รูปเหมือนปั้ม/6899179


พิธีมหาพุทธาภิเษกใหญ่ ในวิหารพระพุทธชินราช เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นฤกษ์ดีปีขาลเสาร์ 5 "100 ปีมีหนเดียว" พระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาส และรองเจ้าคณะภาค 5 ได้จัดสร้างวัตถุมงคล พระพุทธชินราช-พระเหลือ รุ่นเสาร์ห้า (เหลือกินเหลือใช้) ปี 53 เพื่อนำรายได้ก่อสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช และบูรณปฏิสังขรณ์โบราณวัตถุภายในวัด  โดยประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 20 มี.ค.53 (เสาร์ห้า) เวลา 13.09 น. ภายในวิหารพระพุทธชินราช โดยมีพระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาส และรองเจ้าคณะภาค 5 เป็นประธานจุด และดับเทียนชัย พระอาจารย์ไพรินทร์ เป็นเจ้าพิธี  และร่วมปลุกเสกกับพระเกจิอาจารย์ดังภาคเหนือตอนล่างหลายรูป อาทิ  หลวงพ่ออั้น วัดธรรมโฆษก (โรงโค) จ.อุทัยธานี พระราชรัตนาภรณ์ (แวว) วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา  ครูบาสายทอง วัดท่าไม้แดง จ.ตาก  ฯลฯ เป็นต้น พร้อมบัตรรับรอง ที่อื่นเปิดเเพงเเล้วครับ สวยงามตามรูป


เขียนโดย :นำทรัพย์ เจ้าของรายการ November 06, 2016 15:20:04

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/หลวงพ่อคูณ-ปี-2512-2539/6899959


 วัดใจ !  แรงไม่มีหยุด ! ราคาฉุดไม่อยู่แล้วครับ ! อีกหน่อยแพงกว่านี้แน่  เหรียญ "หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ " รุ่น เกษตรร่ำรวยฎี ที่ระลึกวันสถาปนากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบ 103 ปี พ.ศ. 2538 เนื้อบรอนซ์ บล๊อกกองกษาปณ์ มาพร้อมกล่องเดิม ทั่วไปตามสนามพระ 300 - 500 บาท หนังสือลงเหรียญละ 1,000 บาท แต่นี่ผมเปิดให้ในราคาวัดใจ ! เก็บไว้มีแต่กำไรแน่นอนครับ


เขียนโดย :บุญยวีร์ เจ้าของรายการ November 02, 2016 21:26:11

หน้าที่ :  64