หลวงพ่อแพท่านเป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรี เกิดในราวปี พ.ศ.2452 ที่บ้านสวนกล้วย ต.ดอนสมอ อ.ท่าช้าง เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต จึงย้ายมาอยู่กับบิดามารดาบุญธรรมที่วัดใหม่ อ.ท่าช้าง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพิกุลทอง ตอนเด็กเรียนเขียนอ่านที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน แล้วเข้ากรุงเทพฯ เพื่อบวชเป็นสามเณรและศึกษาเล่าเรียนด้านพระปริยัติธรรมกับพระอาจารย์เขมร ที่วัดชนะสงคราม ท่านมีความใส่ใจและขวนขวายในการศึกษา อายุเพียง 14 ปีก็สามารถสอบได้เปรียญ 3 ประโยค เมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้รับฉายา "เขมังกโร" แปลว่า ผู้ทำความเกษมแล้ว ท่านเป็นพระภิกษุที่มีจิตมุ่งมั่นที่จะบำเพ็ญตนเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นหลายๆ รูป อาทิ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) พระครูภาวนา สำนักวัดโพธิ์ หลวงพ่อสี ผู้ทรงคุณวิเศษนานัปการ ฯลฯ ท่านจึงมีความเชี่ยวชาญและแตกฉานทั้งด้านคันถธุระ วิปัสสนาธุระ รวมทั้งไสยศาสตร์และวิทยาการต่างๆ ต่อมาได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ให้เดินทางกลับบ้านเกิดและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามในท้องถิ่นที่ชำรุดทรุด โทรม เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป ท่านจึงเดินทางกลับไปดูแลวัดพิกุลทอง ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของชาวบ้าน ด้วยบารมีและกุศลบุญของท่านและหลวงพ่อสี การบูรณะวัดพิกุลทองสำเร็จลุล่วงในเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น นอกจากนี้ ท่านยังพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญควบคู่ไปด้วย ชื่อเสียงของท่านเป็นที่ร่ำลือขจรขจาย มีศิษยานุศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมากราบนมัสการอย่างเนืองแน่น หลวงพ่อแพท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2542 เมื่อหลวงพ่อแพ มีบารมีมากขึ้นผู้คนเริ่มรู้จักตามลำดับ วัดหลายวัดต่างนิมนต์ หลวงพ่อแพท่านเป็นประธานในการก่อสร้างวัด วิหาร ถาวรวัตถุต่างๆมากมายหลายวัด และเมื่อ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 ทางวัด แถบ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ก้อได้นิมนต์ท่านร่วมงาน หลวงพ่อแพเล่าว่า ท่านเพลียมากจึงชวนศิษย์ไปจำวัด ที่หอสวดมนต์ โดยมีคนหลายนอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนนอนท่านเอาผ้าอาบน้ำฝนใส่ไว้ในย่าม จึงรู้สึกว่าย่ามใหญ่ คิดว่าคนที่นอนอยู่คงเข้าใจว่าเป็นเงิน ด้วยความอ่อนเพลียท่านจึงหลับไป พอท่านตื่นจากจำวัดเวลาเช้ามืด พบว่าย่ามหายไปแล้ว จึงแจ้งทางวัดทราบ สำหรับสิ่งของในย่าม มีเพียงของเล็กๆน้อยๆ แต่ของที่สำคัญก็คือ พระสมเด็จวัดระฆังฯ ซึ่งได้รับจากสมบัติของโยมวัดชนะสงคราม จึงเป็นของที่แท้ และทรงคุณค่าทางด้านจิตใจของหลวงพ่อมาก ท่านจึงเสียดายเป็นอย่างมาก ญาติโยมช่วยกันติดตาม ปรากฏว่าได้รับของอื่นคืนครบทุกชิ้น ยกเว้นพระสมเด็จ สอบถามผู้ขโมยได้ความว่าได้นำไปขายให้บุคคลไม่ทราบชื่อ ไม่สามารถติดตามคืนได้หลวงพ่อเล่าว่าท่านเสียดายมาก ระหว่างนั้นต้องไปขอยืมสมเด็จวัดระฆังจาก อาจารย์หยด ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาส มาติดตัวไปก่อนด้วยความเคารพในบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เป็นอย่างยิ่ง ทำให้หลวงพ่อแพ อธิษฐานขอบารมี ณ วัดไชโยวรวิหาร ขอสร้างพระโลหะพิมพ์สมเด็จ พระสมเด็จทองเหลืองขึ้นใช้เอง และแจกจ่ายให้กับผู้เคารพศรัทธา ในปี 2494 ประมาณเดือน 6 โดยนำช่างมาเททองหล่อ ที่ด้านใต้ โบสถ์หลังเก่า ได้รับโลหะจากผู้ที่มาร่วมพิธี นำมาหล่อเช่น เครื่องเงิน ขันลงหิน โต๊กทาน เชียนหมาก ตะบันหมาก สตางค์แดง สตางค์ข้าว สตางค์สิบ ทองเหลือง เป็นจำนวนมาก
หลวงพ่อแพท่านเป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรี เกิดในราวปี พ.ศ.2452 ที่บ้านสวนกล้วย ต.ดอนสมอ อ.ท่าช้าง เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต จึงย้ายมาอยู่กับบิดามารดาบุญธรรมที่วัดใหม่ อ.ท่าช้าง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพิกุลทอง ตอนเด็กเรียนเขียนอ่านที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน แล้วเข้ากรุงเทพฯ เพื่อบวชเป็นสามเณรและศึกษาเล่าเรียนด้านพระปริยัติธรรมกับพระอาจารย์เขมร ที่วัดชนะสงคราม ท่านมีความใส่ใจและขวนขวายในการศึกษา อายุเพียง 14 ปีก็สามารถสอบได้เปรียญ 3 ประโยค เมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้รับฉายา "เขมังกโร" แปลว่า ผู้ทำความเกษมแล้ว ท่านเป็นพระภิกษุที่มีจิตมุ่งมั่นที่จะบำเพ็ญตนเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นหลายๆ รูป อาทิ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) พระครูภาวนา สำนักวัดโพธิ์ หลวงพ่อสี ผู้ทรงคุณวิเศษนานัปการ ฯลฯ ท่านจึงมีความเชี่ยวชาญและแตกฉานทั้งด้านคันถธุระ วิปัสสนาธุระ รวมทั้งไสยศาสตร์และวิทยาการต่างๆ ต่อมาได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ให้เดินทางกลับบ้านเกิดและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามในท้องถิ่นที่ชำรุดทรุด โทรม เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป ท่านจึงเดินทางกลับไปดูแลวัดพิกุลทอง ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของชาวบ้าน ด้วยบารมีและกุศลบุญของท่านและหลวงพ่อสี การบูรณะวัดพิกุลทองสำเร็จลุล่วงในเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น นอกจากนี้ ท่านยังพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญควบคู่ไปด้วย ชื่อเสียงของท่านเป็นที่ร่ำลือขจรขจาย มีศิษยานุศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมากราบนมัสการอย่างเนืองแน่น หลวงพ่อแพท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2542
วัดใจ ! ผ้ายันต์ " หลวงปู่แหวน " วัดดอยแม่ปั๊ง จ.เชียงใหม่ ปี 2521 เก็บสภาพสวย ขนาด 20 x 20 ซ.ม. หายากครับ เจอที่อื่นผืนละหลายร้อย ... บุญยวีร์ ... เปิดวัดใจ ! ให้คุณกำหนดราคาเองเลยครับ
หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (บางตำราว่าวันที่ ๔ ตุลาคม) ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน เป็นบุตรชายคนหัวปี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ ๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส ๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า... เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขออำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย "ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง" การศึกษา เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย อุปสมบท หลวงพ่อคูณอุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หนังสือบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อคูณตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า... " เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด... หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้กับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน น้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า... "อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเราและของเขา”
วัดใจ ! ชุดกรรมการ ! พระปิดตาเนื้อว่าน 108 ฝังตะกรุดเงิน "หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร" วัดสวนหินผานางคอย จ.อุบลราชธานี สภาพสวย หายากมาก ๆ ชุดกรรมการ หลวง ปู่พรหมมา ท่านเป็นพระเกจิที่มีอิทธิญาณบารมีแก่กล้า เป็นพระลึกลับอยู่บนยอดเขาห่างไกลผู้คน มุ่งบำเพ็ญจิตภาวนาเป็นสำคัญ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2440 บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ12 ปี จากนั้นได้ศึกษาพระธรรมวินัยและวิชากับสมเด็จลุน ที่เวินชัยนคร จำปาศักดิ์ นานถึง 6 พรรษา หลังจากที่สมเด็จลุนได้มรณภาพลง หลวงปู่พรหมมาก็ได้ร่วมเดินธุดงค์พร้อมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปหาสถานที่อันสงบเงียบบำเพ็ญภาวนาตามป่าเขา หลวงปู่พรหมมาได้จำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาควายนานถึง 45 พรรษา กล่าวกันว่าหลวงปู่พรหมมา ท่านมีครูบาอาจารย์เป็นฤาษีตาไฟ มีวิชาอาคมเข้มขลัง ต่อมาได้ธุดงค์ข้ามมายังฝั่งไทย เมื่อปีพ.ศ.2533 หลวงปู่พรหมมาได้เห็นว่าถ้ำสวนหิน ภูกระเจียว ในวันเดือนหงายจะมีสัตว์ป่านานาชนิดวิ่งกันขวักไขว่ เหมาะแก่การฝึกปฏิบัติตน จึงได้พักบำเพ็ญเพียรแต่นั้นมา เมื่อเวลา 22 นาฬิกา 11 นาที 31 วินาที ของวันที่ 23 ส.ค.2545 หลวงปู่พรหมมาได้มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ สิริอายุรวม 105 ปี ณ วัดธาตุวราราม จ.เลย วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างมีด้วยกันหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์และสร้างอภินิหารให้แก่ผู้บูชาอย่างมากมาย เมื่อ ประมาณปี 2536 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวนักการเมืองท้องถิ่น นครสวรรค์โดนยิงขณะรถติดไฟแดง เห็นสภาพรถแล้วกระจกแตกหมด แต่คนที่โดนยิงไม่เป็นไร(โดนหน่ะโดนอยู่แต่ไม่เข้า) เพราะว่าเค้าแขวนพระหลวงปู่พรหมมา ฯ ..... วัตถุมงคลของท่านเป็นจึงที่นิยม และต่างแสวงหามาเพื่อบูชาเป็นสิริมงคลแก่ตัว ทำให้พระที่ท่านสร้างทุกรุ่น นับวันยิ่งทวีค่าและราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับ พระปิดตาองค์นี้ จัดสร้างตามสูตรโบราณ โดยมีส่วนผสมของว่านมหามงคล 108 ชนิด ซึ่งมีพลังอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ซึ่งหลวงปู่รวบรวมมาจากป่าเขาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ นำมาตำบดเป็นผง ซึ่งได้ออกมาจำนวนน้อย และทำการกดพิมพ์ทีละองค์ ด้านล่างฝังตะกรุดเงิน ซึ่งจารอักขระยันต์โดยเกจิอาจารย์ดัง ถึง 7 วัด ด้านหลังเป็นยันต์ มหาอุตย์แคล้วคลาด คงกระพัน จำนวนจัดสร้างมีเพียงไม่กี่ร้อยองค์ ( เนื่องจากผงว่านหมดเสียก่อน )สายตรง ( อีสาน ) เขาหาเก็บกันหมด เพราะพระสร้างน้อย องค์พระมีขนาด 2.3 x 2.6 ซ.ม. ฝังตะกรุดเงินทุกองค์ ของดี มีจำนวนน้อย เฉพาะองค์เดียวเขาก็ขายกันองค์ละ 1000 บาทแล้ว นี่ ... บุญยวีร์ ... จัดให้เป็นเซ็ต 2 องค์ ในราคาวัดใจแบบนี้ แล้วยังจะไม่เคาะกันอีกหรือคร๊าบบบบบบ.....
วัดใจ ! ชุดกรรมการ ! พระปิดตาเนื้อว่าน 108 ฝังตะกรุดเงิน "หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร" วัดสวนหินผานางคอย จ.อุบลราชธานี สภาพสวย หายากมาก ๆ ชุดกรรมการ หลวง ปู่พรหมมา ท่านเป็นพระเกจิที่มีอิทธิญาณบารมีแก่กล้า เป็นพระลึกลับอยู่บนยอดเขาห่างไกลผู้คน มุ่งบำเพ็ญจิตภาวนาเป็นสำคัญ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2440 บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ12 ปี จากนั้นได้ศึกษาพระธรรมวินัยและวิชากับสมเด็จลุน ที่เวินชัยนคร จำปาศักดิ์ นานถึง 6 พรรษา หลังจากที่สมเด็จลุนได้มรณภาพลง หลวงปู่พรหมมาก็ได้ร่วมเดินธุดงค์พร้อมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปหาสถานที่อันสงบเงียบบำเพ็ญภาวนาตามป่าเขา หลวงปู่พรหมมาได้จำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาควายนานถึง 45 พรรษา กล่าวกันว่าหลวงปู่พรหมมา ท่านมีครูบาอาจารย์เป็นฤาษีตาไฟ มีวิชาอาคมเข้มขลัง ต่อมาได้ธุดงค์ข้ามมายังฝั่งไทย เมื่อปีพ.ศ.2533 หลวงปู่พรหมมาได้เห็นว่าถ้ำสวนหิน ภูกระเจียว ในวันเดือนหงายจะมีสัตว์ป่านานาชนิดวิ่งกันขวักไขว่ เหมาะแก่การฝึกปฏิบัติตน จึงได้พักบำเพ็ญเพียรแต่นั้นมา เมื่อเวลา 22 นาฬิกา 11 นาที 31 วินาที ของวันที่ 23 ส.ค.2545 หลวงปู่พรหมมาได้มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ สิริอายุรวม 105 ปี ณ วัดธาตุวราราม จ.เลย วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างมีด้วยกันหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์และสร้างอภินิหารให้แก่ผู้บูชาอย่างมากมาย เมื่อ ประมาณปี 2536 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวนักการเมืองท้องถิ่น นครสวรรค์โดนยิงขณะรถติดไฟแดง เห็นสภาพรถแล้วกระจกแตกหมด แต่คนที่โดนยิงไม่เป็นไร(โดนหน่ะโดนอยู่แต่ไม่เข้า) เพราะว่าเค้าแขวนพระหลวงปู่พรหมมา ฯ ..... วัตถุมงคลของท่านเป็นจึงที่นิยม และต่างแสวงหามาเพื่อบูชาเป็นสิริมงคลแก่ตัว ทำให้พระที่ท่านสร้างทุกรุ่น นับวันยิ่งทวีค่าและราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับ พระปิดตาองค์นี้ จัดสร้างตามสูตรโบราณ โดยมีส่วนผสมของว่านมหามงคล 108 ชนิด ซึ่งมีพลังอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ซึ่งหลวงปู่รวบรวมมาจากป่าเขาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ นำมาตำบดเป็นผง ซึ่งได้ออกมาจำนวนน้อย และทำการกดพิมพ์ทีละองค์ ด้านล่างฝังตะกรุดเงิน ซึ่งจารอักขระยันต์โดยเกจิอาจารย์ดัง ถึง 7 วัด ด้านหลังเป็นยันต์ มหาอุตย์แคล้วคลาด คงกระพัน จำนวนจัดสร้างมีเพียงไม่กี่ร้อยองค์ ( เนื่องจากผงว่านหมดเสียก่อน )สายตรง ( อีสาน ) เขาหาเก็บกันหมด เพราะพระสร้างน้อย องค์พระมีขนาด 2.3 x 2.6 ซ.ม. ฝังตะกรุดเงินทุกองค์ ของดี มีจำนวนน้อย เฉพาะองค์เดียวเขาก็ขายกันองค์ละ 1000 บาทแล้ว นี่ ... บุญยวีร์ ... จัดให้เป็นเซ็ต 2 องค์ ในราคาวัดใจแบบนี้ แล้วยังจะไม่เคาะกันอีกหรือคร๊าบบบบบบ.....
วัดใจ ! ชุดกรรมการ ! พระปิดตาเนื้อว่าน 108 ฝังตะกรุดเงิน "หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร" วัดสวนหินผานางคอย จ.อุบลราชธานี สภาพสวย หายากมาก ๆ ชุดกรรมการ หลวง ปู่พรหมมา ท่านเป็นพระเกจิที่มีอิทธิญาณบารมีแก่กล้า เป็นพระลึกลับอยู่บนยอดเขาห่างไกลผู้คน มุ่งบำเพ็ญจิตภาวนาเป็นสำคัญ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2440 บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ12 ปี จากนั้นได้ศึกษาพระธรรมวินัยและวิชากับสมเด็จลุน ที่เวินชัยนคร จำปาศักดิ์ นานถึง 6 พรรษา หลังจากที่สมเด็จลุนได้มรณภาพลง หลวงปู่พรหมมาก็ได้ร่วมเดินธุดงค์พร้อมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปหาสถานที่อันสงบเงียบบำเพ็ญภาวนาตามป่าเขา หลวงปู่พรหมมาได้จำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาควายนานถึง 45 พรรษา กล่าวกันว่าหลวงปู่พรหมมา ท่านมีครูบาอาจารย์เป็นฤาษีตาไฟ มีวิชาอาคมเข้มขลัง ต่อมาได้ธุดงค์ข้ามมายังฝั่งไทย เมื่อปีพ.ศ.2533 หลวงปู่พรหมมาได้เห็นว่าถ้ำสวนหิน ภูกระเจียว ในวันเดือนหงายจะมีสัตว์ป่านานาชนิดวิ่งกันขวักไขว่ เหมาะแก่การฝึกปฏิบัติตน จึงได้พักบำเพ็ญเพียรแต่นั้นมา เมื่อเวลา 22 นาฬิกา 11 นาที 31 วินาที ของวันที่ 23 ส.ค.2545 หลวงปู่พรหมมาได้มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ สิริอายุรวม 105 ปี ณ วัดธาตุวราราม จ.เลย วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างมีด้วยกันหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์และสร้างอภินิหารให้แก่ผู้บูชาอย่างมากมาย เมื่อ ประมาณปี 2536 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวนักการเมืองท้องถิ่น นครสวรรค์โดนยิงขณะรถติดไฟแดง เห็นสภาพรถแล้วกระจกแตกหมด แต่คนที่โดนยิงไม่เป็นไร(โดนหน่ะโดนอยู่แต่ไม่เข้า) เพราะว่าเค้าแขวนพระหลวงปู่พรหมมา ฯ ..... วัตถุมงคลของท่านเป็นจึงที่นิยม และต่างแสวงหามาเพื่อบูชาเป็นสิริมงคลแก่ตัว ทำให้พระที่ท่านสร้างทุกรุ่น นับวันยิ่งทวีค่าและราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับ พระปิดตาองค์นี้ จัดสร้างตามสูตรโบราณ โดยมีส่วนผสมของว่านมหามงคล 108 ชนิด ซึ่งมีพลังอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ซึ่งหลวงปู่รวบรวมมาจากป่าเขาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ นำมาตำบดเป็นผง ซึ่งได้ออกมาจำนวนน้อย และทำการกดพิมพ์ทีละองค์ ด้านล่างฝังตะกรุดเงิน ซึ่งจารอักขระยันต์โดยเกจิอาจารย์ดัง ถึง 7 วัด ด้านหลังเป็นยันต์ มหาอุตย์แคล้วคลาด คงกระพัน จำนวนจัดสร้างมีเพียงไม่กี่ร้อยองค์ ( เนื่องจากผงว่านหมดเสียก่อน )สายตรง ( อีสาน ) เขาหาเก็บกันหมด เพราะพระสร้างน้อย องค์พระมีขนาด 2.3 x 2.6 ซ.ม. ฝังตะกรุดเงินทุกองค์ ของดี มีจำนวนน้อย เฉพาะองค์เดียวเขาก็ขายกันองค์ละ 1000 บาทแล้ว นี่ ... บุญยวีร์ ... จัดให้เป็นเซ็ต 2 องค์ ในราคาวัดใจแบบนี้ แล้วยังจะไม่เคาะกันอีกหรือคร๊าบบบบบบ.....
การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อแพนั้น ท่านมิได้เน้นเรื่องความสวยงาม หากแต่เน้นไปในเรื่องของความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลนั้น ๆ โดยท่านจะพิถีพิถันในการปลุกเสก ทั้งวิชาอาคม ทั้งอำนาจจิต เพื่อให้เกิดความแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง และด้วยพลังบริสุทธิ์ดังกล่าว จึงทำให้วัตถุมงคลของหลวงพ่อแพรุ่นต่าง ๆ มีประสบการณ์อภินิหารมากมาย สืบสานยาวนานมาจนทุกวันนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงพ่อแพได้สร้างพระสมเด็จเนื้อผงรุ่นหนึ่งขึ้นมาหลายพิมพ์ กล่าวกันว่า พระสมเด็จที่หลวงพ่อแพสร้างขึ้น มีอานุภาพด้านพุทธคุณ ไม่ได้เป็นรองพระสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง แม้แต่น้อย ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากหลวงพ่อแพท่านมีศรัทธาในสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อแพจึงได้สร้างพระสมเด็จขึ้น โดยยึดถือแนวทางการสร้างวัตถุมงคลชุดพระสมเด็จของสมเด็จโตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหลักใหญ่หลวงพ่อแพท่านได้ลบผง เรียกว่า ผงวิเศษห้าประการ เป็นผงหลักในการสร้างพระสมเด็จ คือ ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห และ ผงพุทธคุณ โดยเฉพาะผงพุทธคุณนั้น ท่านเขียนและลบด้วยพระคาถาชินบัญชร เพื่อใช้เป็นส่วนผสมอีกด้วย นอกจากผงวิเศษห้าประการแล้ว ยังมีผงอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบ เช่น ผงบดจากหนังสือ ๗ ตำนาน, ผงยันต์ในคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นต้น ในการทำผงแต่ละอย่างนั้น มีเคล็ดลับที่หลวงพ่อแพถือปฏิบัติคือ รักษาความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งภายในและภายนอก, ตั้งจิตสงบเป็นสมาธิจดจ่ออยู่กับคาถาอาคม และอักขระต่าง ๆ โดยเฉพาะการบริกรรมภาวนา ต้องแม่นยำ ไม่ผิดพลาด ด้วยเหตุนี้ พระสมเด็จที่หลวงพ่อแพจัดสร้างขึ้น จึงมีพุทธานุภาพทรงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เยี่ยมยอดทุกรุ่น ทุกแบบพิมพ์ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ท่านสร้างพระไว้มาก ถ้าจะประเมินกันอย่างคร่าว ๆ ก็คงไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ แบบพิมพ์เป็นอย่างต่ำ แต่ที่นิยมแพร่หลายนั้น ส่วนมากจะเป็นเนื้อผง เช่น พระสมเด็จ พระนางพญา พระรอด พระปิดตา พระลีลาทุ่งเศรษฐี พระสิวลี พระสังกัจจายน์ พระขุนแผน พระผงรูปเหมือน นางกวัก ฯลฯ ซึ่งลูกศิษย์ลูกหา ญาติโยม ต่างก็เชื่อว่า มีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยม, แคล้วคลาด อุดมด้วยลาภผล โภคทรัพย์พูลทวี ซึ่งก็คือ คำอวยพรของท่าน หลวงพ่อแพ ท่านมักจะอวยพรแก่ทุกคนที่ไปกราบท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกวันอาทิตย์แรกของทุกเดือน ท่านจะไม่รับนิมนต์ไปนอกวัด จะอยู่ที่วัดเพื่อต้อนรับศรัทธาญาติโยม ที่บางท่านก็เดินทางมาไกล เพื่อที่จะได้มีโอกาสกราบท่าน รับวัตถุมงคลจากมือของท่าน แล้วท่านก็จะอวยพรว่า ขอให้รวยขอให้รวย อาจเป็นเพราะท่านเป็นพระปรารถนาให้ทุกคนมีความสุข เป็นเรื่องสุดยอดแห่งความดี อักขระเลขยันต์หลังองค์พระ ก็เป็นเสมือนคำอวยพรของท่าน เพื่อที่เราจะได้ระลึกถึงท่านที่สร้างสมแต่บุญกุศล หรือความดีงามมาตลอดชีวิต เป็นเพชรเม็ดงามที่สดใสและแข็งแกร่ง ใสสะอาดและบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับพระอาจารย์ธรรมโชติ แห่งบ้านบางระจัน ซึ่งชาวสิงห์บุรี เคารพรักและภาคภูมิใจ ราวกับท่านคือ จิตวิญญาณของชาวสิงห์บุรีทั้งหมด พระผงที่มีเนื้อหาจัดที่สุด ฝีมือปราณีตที่สุด และมีราคาแพงมากที่สุดของท่าน คือ พระสมเด็จแพพัน ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ คำว่า แพพัน นั้น ปรากฎที่ด้านหลังองค์พระ อยู่ชิดขอบองค์พระด้านล่าง ใต้รูปเหมือนของท่านที่หันไปทางด้านซ้ายมือของเราทุกรุ่น โดยมีคำว่า “แพ” อยู่ด้านซ้าย และคำว่า “พัน” อยู่ด้านขวา คำว่า “แพ” หมายถึง “หลวงพ่อแพ” ส่วนคำว่า “พัน” นั้น หมายถึง “หลวงพ่อพัน” หรือ “พระอธิการพัน” เจ้าอาวาสวัดพิกุลทององค์ก่อน เป็นพระอาจารย์ที่บวชเณรให้กับท่าน เป็นผู้ที่ท่านรักและ เคารพนับถือประดุจบิดา ขอบบนสุด เหนือรูปเหมือน ที่อยู่ด้านซ้ายมือของเรา จะเป็นอักขระตัว “พุทซ้อน” ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากพระครูใบฎีกาเกลี้ยง วัดสุทัศน์ ส่วนขอบบนสุดด้านขวา จะเป็นอักขระตัว “อัง” และมีตัว “อุ” อยู่เหนือตัว “อัง” ด้านหน้าของพระสมเด็จแพพัน จะเป็นพระสมเด็จพิมพ์อกครุฑเศียรบาตร หรือ ทรงไกเซอร์ ซึ่งต่อมารูปแบบพระสมเด็จที่สร้างในภายหลัง คือ แพ ๒ พัน, แพ ๓ พัน ...๔ พัน....๕ พัน...๗ พัน....๙ พัน..จะยึดเอกลักษณ์พิมพ์ทรงเดียวกันทั้งด้านหน้าและหลัง จะต่างกันที่ตัวเลขที่อยู่ตรงกลางใต้รูปเหมือน ระหว่างคำว่า “แพ” กับ “พัน” และเนื้อหามวลสารเท่านั้น ส่วนพระสมเด็จพิมพ์อื่น ๆ ก็มีมากมายหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์ใหญ่, พิมพ์ทรงเจดีย์, พิมพ์ปรกโพธิ์, พิมพ์ฐานสิงห์,พิมพ์ฐานแซม ฯลฯ ซึ่งด้านหลังจะมีอักขระเลขยันต์ที่ต่างกันไป แต่แทบทุกรุ่น จะต้องมีอักขระ ๒ ตัว คือ ตัวพุทซ้อน และ ตัว “อัง” “อุ” อยู่ด้วยเสมอ ถือเป็นอักขระทีเป็นเอกลักษณ์ของท่านก็ย่อมได้ สำหรับพระสมเด็จแพพันนั้น หากมองด้วยตาเปล่า สีสันวรรณะขององค์พระจะออกเป็นสีขาวหม่นเล็กน้อย แต่ถ้าส่องกล้องดู จะเห็นรูพรุนเท่า หรือเล็กกว่าปลายเข็มอยู่ทั่วองค์พระ ซึ่งเกิดจากการยุบตัว หรือ การหดตัวของผิวพระที่มีอายุการสร้างมากกว่า ๔๐ ปี และสิ่งที่ควรระวังก็คือ ในภายหลังได้มีการสร้างพระสมเด็จแพพันขึ้นมาอีก แต่ต่างกันที่เนื้อหามวลสาร อย่างเช่น พระสมเด็จแพพัน ปี ๒๕๑๖ เนื้อแร่ธาตุดำ เนื้อแร่ธาตุแดง เป็นต้น วัตถุมงคลของท่าน แม้จะสร้างเป็นจำนวนมาก หลายรุ่น หลายแบบ ตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปี ที่ท่านได้สร้างเอาไว้ ก็หาได้เพียงพอกับความต้องการของสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาไม่ ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านเริ่มหายาก และมีราคาแพงขึ้นทุกวัน จึงเป็นโอกาสอันดีที่พวกปลอมแปลงพระ ได้ทำของปลอม ของเลียนแบบ ออกมาจำหน่าย และใช่ว่าจะมีมาในช่วงที่ท่านมรณภาพก็หาไม่ มันมีมาตั้งแต่สมัยท่านมีชีวิตอยู่แล้ว พอมันรู้ว่ารุ่นไหนดัง รุ่นไหนได้รับความนิยม มันก็จะทำการปลอมแปลง เลียนแบบทันที ทั้ง ๆ ที่ของบางอย่างที่วัดยังมีอยู่เลย หลวงพ่อแพท่านจึงปกาศิตเอาไว้ว่า “ของแท้ ของดี ต้องมีที่วัดเท่านั้น” จะพบว่า วัตถุมงคลของท่านที่สร้างแต่ละรุ่น แต่ละแบบในระยะแรก ๆ นั้น ไม่ได้มีการโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน แต่ก็หมดไปจากวัดทุกรุ่น แม้บางรุ่นจะอยู่ที่วัดนานเป็นสิบปีก็ตาม