เพิ่งได้มาใหม่ ขอโชว์นิดนึง ตลาดพระอำเภอบ้านหมี่ จังหวีดลพบุรีครับ

กระดานข่าว : เปิดรังของรัก

September 01, 2010 14:43:06 wow123   (333)
avatar
wow123   (333)


พระพุทธรูปบูชา หน้าตัก 5นิ้ว เนื้อดินเผา

พิมพ์พระสังกัจจาย ตอกอักษรบริเวณฐานอ่านว่า วัดชลอครับ

September 01, 2010 14:49:24 wow123   (333)
avatar
wow123   (333)


สำหรับประวัติความเป็นมาของวัดชลอ ที่ได้จากหนังสือพิมพ์ฐานข่าว (ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔ วันที่ ๑-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐) กล่าวว่า วัดชลอสร้างเมื่อสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ซึ่งพระองค์ทรงฝักใฝ่ในพระบวรพุทธศาสนาประกอบกับบ้านเมืองสมัยนั้นไม่มีการ รบ ชาวบ้านจึงมีเวลาว่างมาก เมื่อสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลต่างก็หันมาบำรุงพระพุทธศาสนา ศาสนวัตถุได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมาย ไม่มีการบังคับแต่ทว่าเกิดจากน้ำใจจริง ของพวกชาวบ้าน ดังนั้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงมีการสร้างวัดขึ้นมากที่สุดตามแผนที่ ภูมิศาสตร์ เราสามารถพบว่าใน ๕ จังหวัดดังต่อไปนี้เป็นเขตติดต่อซึ่งกันและกันนั่นคือ อยุธยา อ่างทอง สิงค์บุรี สุพรรณบุรี และนนทบุรี ทุกจังหวัดที่กล่าวมาแล้วนี้ล้วนมีชื่อเสียงทางด้านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องลางของขลังด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๐๒๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ได้ทรงเสด็จทางชลมารค มาตามลำน้ำเจ้าพระยา ผ่านจังหวัดนนทบุรี เรื่อยมาทางคลอง “ลัด” ในปัจจุบันเรียกว่า “คลองบางกรวย” พระองค์ทรงทอดพระเนตร ๒ ฟากคลอง (ในเวลานั้นบ้านเรือนยังไม่มีถนนเหมือนเดี๋ยวนี้) ทรงดำริว่า “ที่ตรงนี้น่าจะสร้างวัดขึ้นมาสักวัดหนึ่ง ชาวบ้านจะได้มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ บรรดาเหล่าเสนาอมาตย์น้อยใหญ่เมื่อได้ฟังต่างพากันตกใจกลัว จึงได้ตรัสถามว่าพวกเจ้ากลัวอะไร? ก็ได้ทรงรับคำกราบบังคมทูลว่า “ที่ตรงนี้มีอาถรรพ์ ในอดีตกาลเคยมีเรือสำเภาจากเมืองจันทร์มาเมืองไทย มาถึงที่ตรงนี้ได้เกิดล่มจมลงด้วยแรงพายุจัด มีเรือจมน้ำตายเป็นอันมาก ที่บริเวณดังกล่าว ทำมาค้าขายไม่ขึ้น แถมยังก่อให้เกิดหายนะแก่บริเวณนี้”เหล่าเสนาอมาตย์พากันทูลถวายเรื่องราว ในอดีตกาล ให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ทรงทราบ แทนที่จะทรงเห็นด้วยตามเสนาอมาตย์กราบบังคมทูล พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ทรงมีรับสั่งว่าสร้างวัดเสียตรงนี้แหละดี เรื่องร้าย ๆ จะได้ไม่เกิดขึ้น ชาวบ้านจะได้มีที่ทำกินเพิ่มขึ้นอีก การสร้างวัดตรงที่บริเวณดังกล่าวเป็นไปอย่างยากลำบาก มีอุปสรรคนานัปการ จนทหารที่มาช่วยกันก่อสร้างวัดถึงกับท้อถอยหมดกำลังใจ บางคนถึงกับหนี กลับกรุงศรีอยุธยาไปเลยก็มี และในทีสุดการสร้างวัดดังกล่าวก็ได้เสร็จลงแต่เรื่องราวลึกลับ ยังไม่จบสิ้นง่าย ๆ เพราะในคืนนั้นได้เกิดเหตุอาเภทฝนตกหนักฟ้าผ่าลงกลางโบสถ์นับเป็นเรื่อง น่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ทรงเสี่ยงสัตยาธิษฐานกับเทพยดาฟ้าดินว่า มาตรแม้นพระองค์มีบุญญาภินิหารจริงของให้บอกเหตุผลในการแก้เคล็ดด้วย และในคืนนั้นเองพระองค์ได้ทรงสุบินนิมิตไปว่า มีชายจีนชรามากราบทูลขอให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ทรงปลดปล่อยพวกตนซึ่งเป็นผีตายโหงเพราะเรือล่ม พระองค์ได้ทรงตรัสไปว่าจะให้ทำอย่างไรขอให้บอก ชายชราจีนได้กราบบังคมทูลว่า อยากให้พระองค์สร้างวัดที่ตรงนี้อีกแต่ทุกอย่างต้องเป็น ตามเคล็ดลับนั่น คือสร้างโบสถ์เป็นรูปเรือสำเภา หากสร้างเป็นอย่างอื่น กลัวโดนฟ้าผ่าอีกแน่นอน เมื่อทรงตื่นจากพระบรรทม พระองค์มีความเชื่อเป็นอย่างมากว่า ความฝันนั้นเปรียบเสมือนลาง บอกเหตุเป็นการเตือน จากวิญญาณของภูตผีปีศาจที่สิงสถิตอยู่ ณ ที่นี้ดังกล่าว ในทีสุดวัดที่มีโบสถ์เป็นรูปเรือสำเภาก็ได้สร้างแล้วเสร็จในคราวนี้โดยไม่มี เหตุอาเภทใดๆ เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ได้ทรงพระราชทาน นามวัดดังกล่าวว่า “วัดชลอ” นี่คือตำนานที่มาของวัดที่ต้องคำสาป เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา วัดชลอก็ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า โดยตลอดเพิ่งจะมีพระภิกษุมาจำพรรษา ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หรือรัชกาลที่ ๔ นั่นเอง จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ได้ลำดับ รายชื่อเจ้าอาวาสวัดชลอดังนี้

๑. หลวงพ่อเอม ๗. พระมหาประเสริฐ
๒. หลองพ่อเฉาะ ๘. หลวงพ่อต่วน
๓. หลวงพ่อเจือ ๙. พระมหาสมพงษ
๔. หลวงพ่อยาน ๑๐.พระครูนนทปัญญาวิมล (สุเทพ ฐิตปุญโญ)
๕. หลวงพ่อเผือก ๑๑.พระครูปลัดทนงค์ ฐิตรํสี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
๖. หลวงพ่อละออง

http://phrarjan555.ob.tc/-View.php?N=4&Page=1

September 01, 2010 14:51:55 wow123   (333)
avatar
wow123   (333)


องค์นี้ได้มาเมื่อวันก่อน ตลาดนัด คลองถม ห้างสรรพสินค้า โลตัสลพบุรี

หลวงพ่อทบ รุ่นทูลเกล้า โค้ด นะ

September 01, 2010 14:53:21 wow123   (333)
avatar
wow123   (333)


@ อภินิหารเหรียญ ทูลเกล้า @

นาย นิคม  เรื่องโรจน์  วัย ๖๒ ปี  ราษฎรบ้านยาวี  ตำบลวังชมภู  อำเภอเมือง  จ.เพชรบูรณ์  เล่าให้ฟังกับเหตุการณ์ระทึกใจ  ที่จำติดตาไม่มีวันลืมเหตุการณ์ ในครั้งนั้นว่า  คืนวันที่ ๒๙ กันยายน  ๒๕๓๖  ที่บ้านเลขที่  ๒  บ้านยาวี  เป็นบ้านของนางวันเพ็ญ สุวรรณ  อายุ  ๕๓ ปี อาจารย์ระดับ ๖  โรงเรียนบ้าน ยาวี  คืนนั้นเป็นงานศพของนางทองใบ  ผู้เป็นมารดา  ที่ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา  กระทั่งเวลาประมาณ  ๒๒.oo น. หลังจากเสร็จพิธีสวดอภิธรรมศพ 

แขกได้ทยอยกันกลับ  นายเกียรติก้อง  สุวรรณ  อายุ  ๓o  ปี  ลูกชายคนโตของนางวันเพ็ญ  ที่มาร่วมพิธีศพของผู้เป็นยาย  ได้ลามารดากลับลงจากเรือนและได้เดิน ไปที่รถจักรยานยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะ  เพื่อที่จะเดินทางกลับบ้าน  พอนายเกียรติก้องนั่งค่อมรถและสตาร์ท  ปรากฏว่าสตาร์ทเครื่องเท่าไรก็ไม่ติด  จึงลงจากรถดู  ปรากฏว่าหัวเทียนถูกถอดหายไป  ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  ส.อ.ไมตรี  สุวรรณ  อายุ ๖o ปี ผู้เป็นพ่อแท้ๆของนายก้องเกียรติ เดินเข้า มาประชิดตัวลูกชาย และชักปืนพกขนาด .๓๘  ออกจากเอวกระหน่ำยิงนาย  ก้องเกียรติ ในระยะเผาขน ๒ นัดซ้อน  กระสุนเข้าก้านคอและหลัง  ร่างของนาย ก้องเกียรตินอนจมกองเลือดขาดใจตายคาที่  แต่ ส.อ. ไมตรี คล้ายอยู่ในอาการบ้าเลือด  เหมือนจะยิงซ้ำอีก  นางวันเพ็ญ ผู้เป็นแม่นายก้องเกียรติ และนายฉัตรชัย  เรืองโรจน์  ผู้เป็นลุงหลังหายจากตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงพากันเข้าไปแย่งปืน  จึงถูก ส.อ. ไมตรี  ยิงเข้าใส่จนกระสุนหมดโม่  นางวันเพ็ญผู้เป็น ภรรยาถูกกระสุนที่อกและท้องรวม ๓ นัด  ล้มขาดใจตายคาที่  ส่วนนายฉัตรชัย  ถูกยิงเข้าที่ไหล่ขวา ๑ นัด เลือดอาบร่างวิ่งกระเสือกกระสนหนีไป   ส.อ. ไมตรี  ยังไม่หยุดความบ้าระห่ำ  ใส่กระสุนปืนใหม่อย่างรีบเร่ง  จังหวะนั้นเอง นาย นิคม เรืองโรจน์  ผู้เป็นลุงของผู้ตาย  ตัดสินใจเข้าแย่งปืน เลยโดนยิงสวนเข้าใส่ ๑ นัด  กระสุนถูกขาขวาของนายนิคม และล้มลง ส.อ. ไมตรี ได้จ่อยิงอีก ๑ นัด แต่ปรากฎว่าครั้งนี้ยิงไม่ออก ส.อ. ไมตรี  พยายามยิงอีกหลายครั้งก็ ไม่ออกเช่นเดิม  มือปืนสติแตกรายนี้จึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านตัดสินใจ ปลิดชีพตัวเองด้วยการจ่อยิงที่ขมับขวาตัวเอง ๑ นัด เลือดและมันสมองกระจายล้มฟุบลง ขาดใจตายคาที่สิ้นสุดความบ้าระห่ำลง
   พอ เหตุการณ์สงบลงปรากฎว่า นายฉัตรชัย ซึ่งถูกยิงที่ไหล่ทะลุได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่วนนายนอคม ซึ่งถูกยิงที่ขาขวา เมื่อดูบาดแผลตัวเองแล้ว พบว่ามีแค่รอยเขียวช้ำ  เท่านั้นสร้างความประหลาดใจให้ตัวเองมาก  ชาวบ้านจึงพากันถามว่า  ลุงนิคมมีของดีอะไร  ซึ่งลุงนิคมก็ตอบปฏิเสธ  เมื่อสำรวจ ดูตัวเอง ก็นึกขึ้นได้ว่า มีเหรียญรุ่นทูลเกล้าของหลวงพ่อทบอยู่  ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย  ลุงนิคมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว  พร้อมกับนำเหรียญของหลวงพ่อทบขึ้นมากำพนมไว้
   เหตุการณ์ครั้ง นี้  เป็นข่าวดังเกีรยวกราวในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ  แม้แต่หนังสือพระเครื่องบางเล่มยังเอาไปลงตีพิมพ์  ที่พ่อแท้ๆยิงลูกชายและ ฆ่าเมียตัวเอง ก่อนจบชีวิตตายตามไปอย่างน่าสลดหดหู่ใจยิ่งนัก  สาเหตุจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ  พบว่า ส.อ. ไมตรี  แค้นแม่ยายที่ตาย  ได้มอบ มรดกที่ดิน กว่า ๑oo ไร่  ให้กับลูกชายเพียงคนเดียว  ซึ่ง ส.อ. ไมตรี  เองเป็นนักเล่นการพนันได้ก่อหนี้สินไว้มากมาย  พยายามเที่ยวไปหาลูกชายให้โอนมรดกชิ้นนี้ให้  หวังที่จะนำไปใช้หนี้แต่ลูกชายไม่ยอมให้  จึงเกิดเรื่องสยองขึ้น    (  ที่มาหนังสือหลวงพ่อทบเล่มเขียว  )http://www.luangporthob.com/forum/index.php?topic=228.0

September 01, 2010 14:56:52 wow123   (333)
avatar
wow123   (333)


หลวงปู่วรพต เหยียบรถโดยสารเดี่ยง อายุ 99 ปี

ประวัติ หลวงปู่วรพรตวิธาน “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง” 
  .. นามเดิมท่านชื่อ “พันธ์ ทับงาม” เกิดวันพุธที่ 1 ธันวาคม 2444 ที่บ้านน้ำอ้อม อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
(ที่ จริงแล้วท่านเกิดในปี พ.ศ 2437 แต่แจ้งวันเกิดช้ากว่ากำหนดโดยวันเดือนเกิดไม่ทราบแน่ชัด) บิดาชื่อ พ่อศิลา มารดาชื่อ แม่ทอง ทับงาม ชีวิตเยาว์วัยท่านเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก จนขุนเกษตรวิสัยเจ้าเมืองร้อยเอ็ดเอาไปรับราชการเป็นเสมียนประจำตัวท่าน รับราชการจนอายุได้ 16 ปี จึงลาบวชเป็นสามเณร ณ.วัดบ้านน้ำอ้อม จนอายุได้ 21 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระต่อโดยมีพระครูธรรมสังฆบาลเป็นพระอุปัชณาย์มีฉายาว่า “ติสโส” ท่านเป็นพระหนุ่มที่เรียนหนังสือเก่งมากท่องปฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาแรก และปี พ.ศ 2472 หลวงปู่ ท่านสอบนักธรรมชั้นเอกได้ ในปีนั้นหลวงปู่สอบนักธรรมเอกได้เพียงองรูปเดียวเท่านั้นทั่วมณฑลร้อยเอ็ด (รวมกาฬสินและมหาสารคามด้วย)  จนได้รับรูปท่านเจ้าคุณพระโพธิวาศจารย์แม่กองธรรมอุบลเป็นรางวัล
            หลวงปู่ได้มาเรียนเทศนากับท่านเจ้าคุณกัณหา ณ วัด หนองทุ่ม อ.พล จ.ขอนแก่น (เจ้าคุณกัณหาเจ้าคณะ จังหวัดขอนแก่น ในสมัยนั้น พ.ศ 2473) ปี พ.ศ 2475 บ้านเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเจ้าคุณกัณหาจึงได้ส่งหลวงปู่วรพรตมา เป็นเจ้าอาวาสวัดจุมพล บ้านก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น อายุการสร้างวัดจุมพล ประมาณ 150 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 5
             พ.ศ 2480 หลวงปู่ได้สร้าง อุโบสถขึ้นมาใหม่ เสร็จเอาปี พ.ศ 2483 ค่าก่อสร้างเป็นเงิน  2,500 บาท ปูนชีเมนต์สมัยนั้นถุงละ 1.50 บาท ปี พ.ศ. 2482 หลวงปู่ได้ขอพระราชทาน พระปรมาภิไธย์ย่อ
ของรัชการที่ 8 แต่พระองค์ท่านได้พระราชทานเหรียญพระฉายาลักษณ์ของท่านให้หลวงปู่วรพรต หลวงปู่ท่านเอาเหรียญนั้นติดไว้หน้าพระอุโบสถต่อจากนั้นมาหลวงปู่ก็ได้พัฒนา วัดจุมพลมาเรื่อยๆ ตลอดจนวัดต่างๆ ในอำเภอแวงน้อย และอำเภอพล (แต่ก่อนอำเภอแวงน้อยเป็นตำบล ขึ้นอยู่กับอำเภอพล) ในการสร้างพระอุโบสถและกุฎิ รวมทั้งศาลาการเปรียญ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 30 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ได้มีการขยายการปกครองออกไปอีก ทางการจึงตั้งตำบลแวงน้อยขึ้นเป็นอำเภอแวงน้อย หลวงปู่วรพรตวิธานจึงได้เป็นเจ้าคณะอำเภอแวงน้อยรูปแรก
   หลวงปู่ท่าน เป็นผู้มีวิชาอาคมขลังมาก ได้เรียนวิชาอาคมมาจาก 5 อาจารย์ด้วยกัน เช่น หลวงศรีธรรมศาสตร์ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม หลวงปู่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ จากอาจารย์ครีธรรมศาสตร์ จนเรียนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมจาก พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบง ต.มะบ้า อ.ธวัชบุรี จ. ร้อยเอ็ด พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบงนี้ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมรูปหนึ่งในภาคอีสานในสมัย นั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาอาคมทางด้านเมตตามหานิยม, คงกระพันชาตรี, แคล้วคลาด, มหาอุต ป้องกันขับไล่ คุณไสย คุณผี คุณคน หลวงปู่วรพรตท่าน ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอาจารย์ขันจนหมดสิ้น แล้วหลวงปู่ก็ได้ไปศึกษากับอาจารย์บ้านฟ้าเหลี่ยม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เกจิอาจารย์ดังองค์หนึ่งในสมัยนั้น ขนาดท่านปัสสาวะรดต้นไม้ เอาปืนยิงต้นไม้ ยังยิงไม่ออกแต่ก็ยังไม่พอความต้องการของหลวงปู่ หลังจากนั้นท่านก็ได้มุ่งหน้าไปศึกษากับ หลวงปู่ชม ฐานธัมโม แห่งวัดกู่ พระโกนา อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน หลวงปู่ชมรูปนี้ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถมาก มีอิทธิปาฏิหาริย์นานัปการ ท่านสามารถล่องหนหายตัวได้ หลวงปู่ชมท่านได้สร้าง วัดขึ้นบริเวณใกล้กับกู่โกนาอยู่ทางจะไป อ. ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมุ้งไปเขมรต่ำ (ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) หลวงปู่ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมและวิปัสนากัมมัฏฐาน อยู่ 2 ปี เมื่อ พ.ศ. 2479 ท่านได้กราบลาหลวงปู่ชม ออกมุ่งหน้ามายัง จ. ขอนแก่น เพื่อกับวัดจุมพลของท่าน
   หลังจากที่ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากพระ อาจารย์ ต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปกับหลวงพ่อผาง จิตฺตคุตฺโต และได้แยกทางกันที่ อ. มัญจาคีรี จากนั้นหลวงปู่วรพรตท่านก็ได้เดินผ่านดงพญาเย็น-พญาไฟ ผ่านไปประเทศลาว พม่า เขมร เรื่องราวตอนที่ท่านเดินธุดงค์ ไปนั้นมีมากมาย ผจญทั้งสัตว์ร้ายและภูตผีปีศาจ แต่ท่านก็ผ่านอุปสรรคนั้นมาได้
    
  หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในสมัยรัชการที่ 8 มีพระราชทินนามว่า “พระครูวรพรตวิธาน” เราจึงเรียกติดปากว่า “หลวงปู่วรพรต” ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนเป็นครั้ง แรก ก็คือ เรื่องหลวงปู่เหยีบรถกระดก (ลอยขึ้น) เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2503 หลวงปู่จะออกเดินทางจาก อ. พล จ. ขอนแก่น ด้วยรถโดยสารเพื่อจะไป จ.ร้อยเอ็ด รถคันที่หลวงปู่จะขึ้นเป็นรถสองแถวขนาดใหญ่ ตามธรรมดาโดยทั่วไปแล้วพระเณรจะต้องนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น แต่รถคันนี้มีผู้หญิงนั่งเต็มอยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังรถยังพอมีที่นั่งได้ คนขับรถจึงบอกให้หลวงปู่ขึ้นทางท้ายรถ หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติตามโดยดี แต่ก่อนจะขึ้นรถหลวงปู่ได้พูดกับคนขับรถว่า “รถจะไม่เดี่ยงหรือ”(เดี่ยงเป็นภาษาไทยอีสานแปลว่า “ กระดก”) คนขับก็บอกว่า “ไม่เดี่ยงแน่เพราะรถรับน้ำหนักได้หลายตัน” พอคนขับพูดจบ หลวงปู่ก็ก้าวเท้าขึ้นรถ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นทันที ด้านหน้ารถลอยขึ้น เหมือนมีมือยักษ์มาจับยกขึ้น คนขับรถเห็นเช่นนั้นถึงกับตกตะลึงจึงกราบนิมนต์หลวงปู่มานั่งด้านหน้า โดยให้พวกผู้หญิงไปนั่งด้านหลัง ตั้งแต่นั้นมาสมญานาม “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง”  จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในเขตขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ต่างก็รู้เรื่องกันดี เคยมีญาติโยมที่อยู่ไกลถึง จ. กระบี่ เดินทาง มากราบขอคาถาเหยียบรถกระดกจากท่าน ท่านก็มอบคาถานะโมพุทธายะให้ไป แต่จะทำได้เหมือนหลวงปู่หรือเปล่าไม่ทราบ

http://sitluangporguay.com/forum/index.php?topic=4597.0

September 01, 2010 15:12:06 wow123   (333)
avatar
wow123   (333)


สุดท้ายครับ เพิ่งได้มาเมื่อเย็นวันนี้นี่เอง

ตลาดนัดวัดเขาแก้ว จังหวัดลพบุรี

ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า ตลาดเกือบทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดสด ตลาดนัดขายของเปิดท้าย ตลาดนัดขายกับข้าวของกินทั่วไป หรือแม้แต่ตลาดนัดพระเครื่อง ในจังหวัดลพบุรี

จะต้องมีแผงพระวางเสนอผู้สนใจ มากบ้าง น้อยบ้างตามขนาดของตลาด และวัตถุประสงค์ของตลาด แต่พูดตามตรงผมได้เช่าบูชาพระเครื่องทุกๆวันก็ตามตลาดทำนองนี้แหละครับ

โอกาสหน้าคงมีโอกาสนำเสนอผลงานจากตลาดฯลฯที่จังหวัดลพบุรีให้พี่ๆได้ชมกันอีกนะครับ

 

ล้อกเก้ต หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เลี่ยมทองเดิมๆจากวัดครับ

สร้างแต่ละรุ่น แต่ละครั้ง หากเลี่ยมทองเดิมอย่างนี้ มีไม่เยอะนะครับ

September 01, 2010 16:22:45 menakai  (624)
avatar
menakai  (624)


สวยงามมากๆครับผม

September 01, 2010 17:29:12 sidtad  (346)
avatar
sidtad  (346)


สวย+ข้อมูลเยี่ยม คร้าบ

September 01, 2010 18:02:40 roth28   (570)(1)
avatar
roth28   (570)(1)


ทั้งพระและข้อมูลเยี่ยมยุทธจริงๆครับพี่

September 01, 2010 23:36:18 samsilom  (0)
avatar
samsilom  (0)


พระสวย ข้อมูลเยี่ยมครับ

September 02, 2010 02:34:13 เด็กแว้น  (60)


ยอดเยี่ยม ครับ  สมบูรณ์แบบทั้งเนื้อหาสาระและรูปภาพ

September 02, 2010 02:37:43 โอ้อุบล   (1934)


ยอดเยี่ยมมากครับ สวยๆทั้งนั้นเลยครับ

September 02, 2010 02:43:21 wow123   (333)
avatar
wow123   (333)


ขอบคุณพี่ๆทุกๆท่านที่กรถณาให้เกียรติเยี่ยมชมครับ

September 02, 2010 06:40:19 โยธาคนจน  (7)


  ผ่านมาบ้านหมี่  ติดมาฝากซักองค์  นะครับคุงพี่

September 02, 2010 10:50:44 nong-293167  (167)(1)


สวยงามทุกองค์เลยครับ.

September 02, 2010 11:03:01 สังข์ทอง2  (2)


    ยอดเยี่ยมมากๆๆๆครับพี่  

September 02, 2010 18:15:47 zointer  (10)
avatar
zointer  (10)




 :)

September 03, 2010 04:40:45 coke  (668)(3)
avatar
coke  (668)(3)


แหมที่ทีผมไปเดิมทั้งบ้านหมี่ก้ไปตลาดโลตัสก็ไปไม่เห็นมีแบบนี้เลยยังไงวันหลังต้องนัดพี่ให้พาไปเดินมั่งซะแล้วอิอิ สังกจายที่ไหนใครรู้ตอบทีอิอิ

YOU MUST BE LOGGED IN TO REPLY TO THIS TOPIC!