หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ต.หน้าไม้ อ.บางไทร จ.อยุธยา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย เมื่อมีพิธีพุทธาภิเษกครั้งสำคัญ จะต้องนิมนต์หลวงพ่อจง ไปร่วมปลุกเสก ด้วยทุกครั้ง!!! 4 สุดยอดพระคณาจารย์ จาด จง คง อี๋ ในยุคสงครามอินโดจีน ซึ่งพระเกจิอาจารย์ แต่ละองค์ ต่างก็มีชื่อเสียงมากในปัจจุบัน หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก 1 ใน 4 สุดยอดพระคณาจารย์ ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านโด่งดังมาก ยุคอินโดจีน ท่านได้สร้างวัตถุมงคลเอาไว้มาก ทั้งพระพระเหรียญ ตะกรุด เสื้อยันต์ ฯลฯ แจกจ่ายให้กับนายทหาร ที่ร่วมรบในสงครามอินโดจีน ต่างก็มีประสบการณ์เล่าขานกันมาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น หลวงพ่อจง ท่านได้สร้างวัตถุมงคลเอาไว้หลายชนิด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 – ปี 2507 วัตถุมงคลของหลวงพ่อจง แบ่งแยกเป็นรุ่นมาตรฐานได้ดังนี้ 1.เหรียญหยดน้ำ ปี พ.ศ. 2484 มีเนื้อเงินลงยา หลังยันต์ และ เนื้อทองแดง หลังที่ระลึกในการสร้างหอสวดมนต์ 2.เหรียญเสมา หลังยันต์ห้า ปี พ.ศ. 2484 จัดสร้างเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียว 3.เหรียญเสมาหน้าใหญ่ ปี พ.ศ. 2485 พิมพ์ พ.ศ. โค้ง จัดสร้างเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียว 4.เหรียญเสมาหน้าใหญ่ ปี พ.ศ. 2485 พิมพ์ พ.ศ. ตรง จัดสร้างเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียว 5.เหรียญเสมา หน้าเล็ก ปี พ.ศ. 2485 มีเนื้อเงินลงยา และ เนื้อทองแดง 6.เหรียญหยดน้ำ หลังยันต์ห้า ประมาณปี พ.ศ. 2485 จัดสร้างเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียว 7.เหรียญหยดน้ำ หลังยันต์ บล็อกหน้า “ ย ” การันต์ สร้างประมาณปี พ.ศ. 2485 จัดสร้างเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียว 8.เหรียญหยดน้ำ หลังยันต์ บล็อกหน้า “ ย ” ไม่มีการันต์ สร้างประมาณปี พ.ศ. 2485 จัดสร้างเนื้ออัลปาก้า และ เนื้อทองแดง 9.เหรียญเงินลงถม และ เนื้อเงินลงยา พิมพ์ต่างๆ ปี พ.ศ. 2485-2495 10.เหรียญฉลุ หน้าแปะ อัลปาก้า ประมาณ ปี พ.ศ. 2486 มีเนื้อเงิน อัลปาก้า และ ฝาบาตร 11.เหรียญเสมาหลังสิงห์ ฉลองอายุครบ 6 รอบ ปี พ.ศ. 2487 มี 2 พิมพ์ จัดสร้างเนื้ออัลปก้า และเนื้อทองแดง 12.เหรียญข้าวหลามตัด หลังยันต์ ปี พ.ศ. 2490 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้ออัลปาก้า 13.เหรียญรูปไข่เล็ก ปี พ.ศ. 2490 มีเนื้อเงิน และเนื้อ ฝาบาตร 14.เหรียญปีนักษัตร เนื้อเงินลงยา และเนื้อเงินลงถม ปี พ.ศ. 2484-2500 15.เหรียญหยดน้ำ ออกวัดบัวแก้วเกสร ปี พ.ศ. 2490 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อทองแดง 16.เหรียญกลมลงยา นะปัดตลอด ปี พ.ศ. 2491 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อฝาบาตร 17.เหรียญฉลองอายุครบ 7 รอบ ปี พ.ศ. 2499 พิมพ์หลังหนังสือ จัดสร้างเนื้อเงิน และ เนื้อทองแดง 18.เหรียญฉลองอายุครบ 7 รอบ ปี พ.ศ. 2499 พิมพ์หลังสิงห์ จัดสร้างเนื้ออัลปาก้า และ เนื้อทองแดง 19.เหรียญกลม หลังพระปิดตา ปี พ.ศ. 2499 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้ออัลปาก้า 20.เหรียญกลม หลังปลาตะเพียน ปี พ.ศ. 2499 จัดสร้างเนื้อเงิน และ เนื้ออัลปาก้า 21.เหรียญใบโพธิ์ หลังกันภัย ปี พ.ศ. 2499 จัดสร้างเนื้อทองฝาบาตรเพียงเนื้อเดียว 22.เหรียญครอบแก้ว ปี พ.ศ. 2500 มี 2 พิมพ์ คือ หลังพุทธกวัก และ เมตตามหานิยม เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อทองแดง 23.เหรียญเม็ดกระดุม ปี พ.ศ. 2500 มีเนื้อฝาบาตร และ เนื้อทองแดง 24.เหรียญหัวใจ ปี พ.ศ. 2500 มีเนื้ออัลปาก้า และ เนื้อทองแดง 25.เหรียญกลม หลังตัวนะ ปี พ.ศ. 2500 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อทองแดง 26.เหรียญสามเหลี่ยม หลวงพ่อจง ปี พ.ศ. 2500 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อฝาบาตร 27.เหรียญกลมหลังสิงห์ ปี พ.ศ. 2502 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อทองแดง 28.เหรียญกันภัย หลังสิงห์ ปี 2503 มีเนื้อฝาบาตร และเนื้ออัลปก้า 29.เหรียญมังคลายุ จง-นิล ปี พ.ศ. 2507 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อทองแดง 30.รูปหล่อ รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2483 ตอกโค๊ตแถวเดียว เนื้อทองผสม 31.รูปหล่อใหญ่ ปี พ.ศ. 2485 เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อทองผสม 32.รูปหล่อ ปี พ.ศ. 2488 มีเนื้อตะกั่ว และเนื้อทองผสม 33.รูปหล่อ ปี พ.ศ. 2491 มีอุดกริ่ง และ ไม่อุดกริ่ง เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อทองผสม 34.รูปหล่อ ปี พ.ศ. 2499 ตอดโค๊ต 2 แถว เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อทองผสม 35.รูปหล่อ ปี 2500 ตอกโค๊ตด้านหน้า เท่าที่พบเจอมีเพียงเนื้อตะกั่ว 36.รูปเหมือนตะกั่วปั้ม ครึ่งซีก ปี 2502 ทาบรอนซ์ทอง และ ไม่ทาบรอนซ์ทอง 37. ล็อกเก็ต รุ่นแรก ปี พ.ศ. 2484 มี 2 พิมพ์ คือ พิมพ์รูปไข่ และ พิมพ์กลม 38.พระบูชา เนื้อโลหะ เนื้อผง รูปถ่าย บูชา ขนาดต่างๆ ปี พ.ศ. 2485-2505 39.รูปภาพ ขอบแสตมป์ ปี พ.ศ. 2490 ด้านหลังปั้มยันต์แดง และ ยันต์ม่วง 40.ตะกรุดโทน ตะกรุดหนังเสือ ตะกรุดมหาอำนาจ ปี พ.ศ. 2484-2485 41.ตะกรุดชุด 12 ดอก 14ดอก 16 ดอก ชนิดต่างๆ ปี พ.ศ. 2485 42.เสื้อยันต์ แดง และ ขาว ปี พ.ศ. 2485 – พ.ศ. 2506 43.ผ้ายันต์ ชนิดต่างๆ ปี พ.ศ. 2485 - 2507 44.ปลาตะเพียนคู่ มี 3 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก 45. สมเด็จรูปเหมือน ปี พ.ศ. 2484 เนื้อผง 46.สมเด็จเนื้อเมฆพัตร หลังยันต์ ปี พ.ศ. 2490 47.แหวน เนื้อเงิน เนื้อเงินลงยา เนื้อเงินลงถม เนื้อทองแดง เนื้ออัลปก้า 48.แหนบ เข็มกลัด ชนิดต่างๆ ปี พ.ศ. 2485 – 2500 49.เหรียญฌาปนกิจศพ ปี พ.ศ. 2509 จัดสร้างเนื้ออัลปก้าชุบนิคเกิลเพียงเนื้อเดียว 50.เหรียญเสมา และพระเนื้อผง ออกวัดประสาทฯ ปี พ.ศ. 2506 นอกจากนี้ยังพระเครื่องอีกหลายรุ่น อย่างเช่น พระเนื้อดิน รูปหล่อต่างๆ พระเหรียญ พระเนื้อผง และพระเครื่องที่หลวงพ่อจง ท่านร่วมปลุกเสก เช่น เหรียญฉลองอายุครบ 3 รอบ ในหลวง ร.9 ปี พ.ศ. 2506 , พระชุดวัดประสาท บุญญาวาส ปี พ.ศ. 2506 , เหรียญหล่อพระพุทธ วัดชีโพน ปี พ.ศ. 2498 จ.อยุธยา , เหรียญหลวงพ่อไปล่ วัดธรรมจริยา ปี พ.ศ. 2498 จ.อยุธยา , เหรียญหลวงพ่อมงคลบพิตร ปี พ.ศ. 2485 และปี พ.ศ. 2505 , เหรียญหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง ปี พ.ศ. 2485 พระกริ่งเล็ก ปี 2500 ฯลฯ หลวงพ่อจง ท่านมีลูกศิษย์สืบสายพุทธคมจากท่าน หลวงพ่อฟ้อน วัดบ้านพาด หลวงพ่อไปล่ วัดธรรมจริยา หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา ฯลฯ การปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อจง มิใช่จำเพาะอยู่แต่ภายในวัดหน้าต่างนอก ที่ท่านรับหน้าที่มาดูแลในฐานะเจ้าอาวาสเท่านั้น แม้ยามว่างเว้นจากกิจอันเป็นภาระตามหน้าที่ที่ศรัทธาญาติโยมมอบหมายให้ ท่านจะปลีกตัวออกไปหาความสงบสงัดยังสถานวิเวก ยังป่าเขาลำเนาถ้ำอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะในช่วงออกพรรษา การเดินทางไปฝึกจิตภาวนาของหลวงพ่อจงนั้น มักจะนิยมไปเพียงลำพัง เพราะท่านว่าเป็นการตัดภาระไม่ต้องพะวักพะวงกับบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ร่วม เดินทาง แต่ถ้ามีพระเณรประสงค์จะร่วมเดินทางด้วย ท่านก็มิขัดข้องแต่อย่างใด และในทุกสถานที่ทุกถิ่นฐานที่ท่านผ่านไป หากมีสถานที่สำคัญทางศาสนา ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานต่าง ๆ ท่านมักจะต้องแวะเข้าไปกราบนมัสการน้อมรำลึกเป็นพุทธสังเวชเสมอ ฉะนั้น ไม่ว่าสถานที่สำคัญใดในประเทศ จะเป็นรอยพระพุทธบาทก็ดี พระเจดีย์ธาตุก็ดี หลวงพ่อจงท่านไปนมัสการมาจนหมดสิ้นแล้วทั้งสิ้น ไปพม่า ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขาและห้วยละหานเหวไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่า ประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือ พระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที แต่เมื่อปรารภเรื่องนี้ให้ญาติและเพื่อนภิกษุสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้งมิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่า หนทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือ ถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบหรือป่าเถาวัลย์ไม้ พุ่มไม้เลื้อย นานาชนิด ด่านแรก สำคัญที่สุดคือจะต้องบุกฝ่าไปในพงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฏ ยามร้อน ร้อนจัด ยามเย็น เย็นยะเยือกและชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสอง ซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึบจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืดเหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มี ที่สิ้นสุด นอกนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลม หินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องมดหมอหยูกยา หลวงพ่อจงก็ขาดปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้น แม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บสัตว์จตุบาท ไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โรคเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬพญาเย็นพญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อลือกะฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้นเปล่า...ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกันขัดคออย่างไร ไม่เป็นผล หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะหาเหตุผลใดเข้าหักร้างหักข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ ตีหน้าตายเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งน่าสยดสยองน่ากลัวตามคำบอกเล่าเหล่า นั้นแม้แต่น้อยนิด คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัย ซึ่งผู้ฟังฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดอย่างงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า “ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไป จริง ๆ ด้วย” ปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียง ไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใครในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทาน มิว่าด้วยเหตุผลน่าหวั่นไหวอย่างใด ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอย หลังหลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณาคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้ กลางป่าพญาไฟ ดังนั้น เมื่อได้โอกาสที่กำหนด หลวงพ่อจงท่านก็แต่งบริขารเท่าที่จำเป็น พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอนแบบธุดงค์ ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า โดยลำพังรูปเดียวโดยเดี่ยวเอกา เดินท่อม ๆ ออกจากอาวาสวัดหน้าต่างนอก บุกฝ่าไปตามทางน้อยทางลัดมุ่งสู่สระบุรีที่วัดพระพุทธบาท ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาติดตามไปอีกสองรูป จากนั้นเมื่อไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็นพญาไฟ ก็ได้ภิกษุอีกสองรูปร่วมเดินทางไปด้วย รวมเป็นห้ารูปทั้งหลวงพ่อจง และทั้งห้ารูปไม่มีศิษย์แม้แต่สักคนติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก เพราะดงพญาเย็นพญาไฟสมัยยุคนั้น มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล เป็นอาณาเขตรกทึบ มืดครึ้มไปด้วยดงไม้ใหญ่สูงชะลูด เมฆบดบังแสดงอาทิตย์ไม่ให้ส่องต้องพื้นดินใบหญ้า พื้นแผ่นดินก็ทึบมืดชื้นแฉะเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าของใบไม้และดินโคลน เป็นที่อยู่อาศัยของ หอยทาก งูเล็ก งูใหญ่ ตะขาบ แมงป่อง ไม่มีใครอยากจะผ่านเข้ามาในป่าแห่งนี้ ด้วยเหตุผลประการฉะนี้ ทุกย่างก้าวของระยะทางที่เดินเป็นวัน ๆ ในท่ามกลางป่าดงอันเงียบสงัด ต้องระวังเขี้ยวเล็บจากสัตว์ร้าย โรคร้ายนาๆชนิดจากพื้นดินแฉะตลอดเวลา ปราศจากชาวบ้านจะเกื้อกูลถวายกระยาหารบิณฑบาตร ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็นพญาไฟ ต้องใช้เวลาถึงสี่วัน กว่าจะผ่านไปได้ เพราะหนทางเดินแน่นอนก็คลำหายาก มันเต็มไปด้วยดงหญ้ากับเถาวัลย์พันรกทึบเปิดทางเดินเล็กแคบ ยิ่งกว่านั้นบางตอนหนทางมันก็ไปผ่านห้วยและหุบเหว จนมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่าย ว่าเป็นเส้นทางใช้เดิน บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมทางน้ำ ซึ่งมีรอยตีนเสือ ช้าง หมี รอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหว บางวันเดิน ๆ ไปแล้วไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ถึงไหนแล้ว ยิ่งกว่านั้น มีโชคร้ายเข้ามารุกรานจิตใจ ในตอนสายของวันที่สี่ ท่ามกลางดงพญาไฟตอนจะออกนครราชสีมา โดยภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย อาการรุนแรงดุเดือดทรุดเสื่อมอย่างรวดเร็ว คณะทั้งสี่ผู้ไม่อาพาธก็ต้องพักผ่อนเฝ้าดูแลอาการ เพราะมาด้วยกันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้ ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นที่ราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งพำนักพักรักษา สหายภิกษุผู้อาพาธ จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสายภิกษุรูปนั้นก็มิอาจทนทานพิษไข้ ก็มรณภาพต่างช่วยกันฝังไว้ตามมีตามเกิดแล้ว บ่ายวันนั้น จึงเดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็นพญาไฟ ผ่านเขตลพบุรีย่างเข้าเขตนครสวรรค์ ฝ่าดงอสรพิษ ที่นครสวรรค์ ได้ภิกษุร่วมเดินทางไปอึกหนึ่งรูป รวมเพิ่มจำนวนเป็นห้าอีกตามเดิม แต่ระหวางนครสวรรค์ถึงพิษณุโลกก็ไม่ใช่ว่าเป็นพื้นที่ราบ เป็นป่าโปร่งมากกว่าป่าทึบ ไม่เหมือนในดงพญาเย็นดงพญาไฟก็จริง แต่บางแหล่งก็เต็มไปด้วยอสรพิษร้าย โดยเฉพาะตอนที่เป็นบึงบรเพ็ดเวลานี้ มีน้ำท่วมเจิ่งและมีบริเวณกว้าง ตามทางที่เป็นป่าริมน้ำ ซึ่งต้องผ่าน มีจระเข้นอนกันอยู่ยั้วเยี้ยอยู่ทั้งสองฟากฝั่ง เหล่างูเห่าและบ้างจงอางเลื้อยเพ่นพ่านไปมา เมื่อได้ยินฝีเท้าแม้จะเดินกันไปรวดเร็วแผ่วเบา สัญชาตญาณระวังภัยและมีสันดานดุโดยกำเนิดของมันตามธรรมชาติ มันต่างชูหัวสูงแผ่พังพานคุกคามภิกษุทั้งห้ารูปอย่างน่าสยดสยอง และดังนั้น แม้จะมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างดี โดยพระภิกษุทั้งห้าทุกรูป ไม่มีรูปใดเกรงกลัวมัน ต่างพยายามหลบหลีกเดินหนีมัน ไม่มีเวรกรรมพยาบาทโกรธเกลียดมันด้วยประการใด เจ้างูจงอางตัวหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่เวรจองผลาญมาแต่ครั้งใด กับภิกษุรูปหนึ่งที่มาจากสระบุรี มันก็ได้มีโอกาสจู่โจมฉกกัดท่าน กว่าจะพอกยาหาหมอได้ทันก็หมดเวลา พิษร้ายกำเริบจนทนไม่ได้ ภิกษุรูปนั้นก็ต้องมรณภาพไปอย่างน่าสลดใจ เดินเดี่ยว ผ่านถึงแดนพิจิตร ที่วัดตะพานหินได้ภิกษุอีกรูปหนึ่งขอร่วมทางไปด้วย ตกลงการเดินทางจากพิจิตรมุ่งสู่พิษณุโลก คงมีคณะร่วมทางครบจำนวนห้าตามเดิม แต่จากพิจิตรระหว่างทางเข้าเขตพิษณุโลก ภิกษุจากลพบุรีก็ต้องมรณภาพเสียชีวิตไปอีกรูปหนึ่ง ตอนเดินข้ามลำธารพงรกถูกจระเข้คาบพาไป ทิ้งศพไว้ให้ช่วยกันฝังเพียงครึ่งเดียว จากพิษณุโลกมุ่งเข้าสู่แม่สอดเพื่อทะลุขึ้นเชียงราย โดยหมายเส้นทางเข้าแม่ฮ่องสอนและเข้าสู่พม่าในด้านที่ตั้งชะเวดากอง ภิกษุร่วมทางต่างค่อยมรณภาพไปทีละรูปด้วยโรคไข้ป่า และบ้างขาดอาหารเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง (อหิวาต์) อีกทั้งในตอนระยะหลัง ๆ เมื่อผ่านแม่สอดจนถึงแม่ฮ่องสอนแล้ว ไม่มีภิกษุจังหวัดรายทางเข้าร่วมเดินทางธุดงค์เพิ่มด้วย เมื่อหลุดจากแม่ฮ่องสอนเข้าสู่แดนพม่า จึงคงเหลือหลวงพ่อจงแต่องค์เดียว บุกท่อม ๆ ไป อย่างเอกากายแลโดดเดี่ยวเป็นเวลาอีกสองวัน กว่าจะถึงพม่าได้เข้านมัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง ธรรมะประโลมใจ หลวงพ่อจงยอมรับว่า แรก ๆ เมื่อเห็นสหายร่วมทางมีอันเป็นต้องจากกันไปในสภาพที่เรียกว่า ตาย รู้สึกใจคอหดหู่และสลดจิตคิดสังเวช แต่เมื่อได้ทบทวนหวนคิดได้ว่า อันรูปกายเกิดของมนุษย์และปวงสรรพสัตว์ ก็มีความตายนี่แลเป็นความเที่ยงแท้ ที่ชีวิตตายเกิดทุกรูปนามพึงต้องประสบ รูปกายใด มิว่าจะเป็นผู้มีอำนาจวาสนา มิว่าจะอยู่ในฐานันดรและอยู่ในสภาพมิว่าเยี่ยงใด จะเป็นจอมนักรบผู้เกรียงไกร เป็นจอมมหาราชาผู้มีศักดานำขนพองสยองอำนาจ รูปกายเกิดเหล่านี้ก็จะต้องประสบกับมรณสัญญาณเป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น มิว่าจะในลักษณะการละม้ายแม้นเหมือน หรือแตกต่างกันในบทบาทเคลื่อนไหวอย่างใดก็ตาม มฤตยูมิยอมยกเว้น หรือแม้แต่จะให้มีการผ่อนผันให้รูปกายใดผัดผ่อน ประกันวันตายยืดออกไป เมื่อปลงตกคิดเห็นสาเหตุความต้องตายเป็นอย่างนี้ จิตก็รู้สึกจืดชืดต่อความหวั่นไหวและหวาดเสียวแห่งมรณสัญญาณ มิว่าจะย่างกรายเข้ามาคุกคามในวิธีการเยี่ยงใด ตรงข้ามเมื่อเห็นความตายของผู้อื่น แต่ตนเองยังมิเคยถูกรุกรานให้บังเกิดเหตุเภทภัยย่ำยี กลับทำให้บังเกิดเป็นเจโตวสี คือเพิ่มพูนอำนาจใจให้ทวีความกล้าแข็งยิ่งขึ้น เพราะใจมั่นในธรรม ที่พม่า แม้จะพูดจากันไม่รู้เรื่องในแรก ๆ แต่เมื่ออยู่ไป การใช้ภาษาบุ้ยใบ้บ้าง ใช้ภาษามคธและภาษาพม่าที่สังเกตจดจำไว้ ก็ทำให้รู้เรื่องและได้รับความสะดวกในการอยู่ในพม่าเป็นเวลานานหลายเดือน เป็นอย่างดี ตอนขากลับ หลวงพ่อจงต้องเดินทางเพียงรูปเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจกล้าหาญ ไม่กริ่งเกรงเหตุเภทภัยอย่างใด และได้แวะจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร เพราะคาดคะเนแล้วว่าการเดินทางจะทำไม่ได้รวดเร็วตามกำหนด จึงคิดเห็นว่าสมควรกลับวัดเมื่อรอให้พ้นกำหนดออกพรรษาจะสะดวกกว่า ทั้งขาไปและกลับ หลวงพ่อจงได้รับความปลอดภัยอย่างอัศจรรย์แต่ผู้เดียว ส่วนภิกษุผู้ร่วมทาง 7 รูป ถึงแก่มรณภาพไปสิ้น หลวงพ่อจงเคยพูดว่า ท่านเองก็ไม่รู้ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านจึงไม่พานพบเหตุร้ายหรือเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อยก็ไม่เคยมี แต่ระหว่างทางเคยเหยียบหินและลื่นลงหลุมเล็กจนเท้าแพลงสักหนสองหน นอกนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์อะไร จิตใจของท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นปกติ ไม่เคยซู่ซ่าพลุ่งพล่านหวาดสยองกับการคุกคามของธรรมชาติอันเป็นวิบาก ทุรกันดาร ไม่เคยกริ่งกลัวต่อความวิเวกวิกาล หรือความอ้างว้างท่ามกลางหริ่งเรไรระงมกลางไพรที่สงัด แม้รู้ก็ไม่หนี ภายหลังกลับจากธุดงค์เมืองพม่า การนมัสการพระมหาเจดีว์ชะเวดากองแล้ว ได้มีลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมมาสอบถามประสบการณ์จากท่านมากมาย แต่วิสัยของชาวบ้านธรรมดาชอบถามเรื่องแปลก ๆ มากกว่าฟังธรรม จึงได้มีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อนายชด ได้ถามหลวงพ่อจงถึงตอนที่ไปธุดงค์เมืองพม่าว่า ท่านปฏิบัติอย่างไรถึงรอดมาได้ ในเมื่อพระภิกษุบางรูปที่ร่วมธุดงค์ไปด้วยถึงแก่มรณภาพกลางทาง หลวงพ่อจงท่านหยุดคิดนิดหนึ่งเห็นมีลูกศิษย์อยู่ไม่กี่คน ท่านจึงเปิดเผยโดยนัยธรรมว่า การธุดงค์ การออกป่า ต้องทำใจกล้าพิสูจน์ถึงเรื่องกรรม ถ้าเกิดตายขึ้นมาก็เป็นเรื่องกรรม ไม่มีใครช่วยอะไรได้ คณะพระธุดงค์ที่เดินทางไปด้วยกันนั้น ล้วนแต่เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งสิ้น บางรูปได้อภิญญาสมาบัติและมีวิปัสสนาญาณ บางองค์มีอนาคตังสญาณที่แจ่มใสมาก ล่วงรู้อนาคตได้ แต่ท่านไม่เคยคิดหนี ยอมรับกรรมนั้น ๆ ด้วยการเดินธุดงค์ ในครั้งที่ท่านไปธุดงค์กับคณะได้มีพระรูปหนึ่งจำชื่อไม่ได้ ยังได้บอกว่า เข้าป่าคราวนี้ไม่ได้กลับออกมาอีกแล้ว เช้าวันหนึ่ง ท่านร่ำลาพระภิกษุในคณะพลางบอกว่า บ่ายนี้ท่านจะเป็นไข้ป่าและมรณภาพ พอตกบ่าย พระทุกรูปต่างอยู่ในกลด ทำวัตรของตนจนเย็น มีพระรูปหนึ่งมารายงานหลวงพ่อว่า มีพระมรณภาพในกลด จึงไปบอกให้พระรูปอื่น ๆ ทราบ แล้วชวนกันไปดู พอเปิดกลดออกดู ก็เห็นท่านนั่งมรณภาพในท่าสมาธิ แสดงว่าท่านเตรียมตัวตายไว้แล้ว และไม่หนีตายด้วย ที่รอดมาได้อย่าดีใจ เพราะกรรมเมื่อให้ผลแล้ว หนีไม่พ้นการเชื่อเรื่องของกรรมจึงได้ชื่อว่าเป็นพระแท้ นับถือคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างแท้จริง เรื่องของกรรม พระเก่งหรือไม่เก่งต่างก็หนีไม่พ้น หากกรรมนั้นไม่เป็นอโหสิกรรมแล้ว ไม่มีใครเก่งเกินกรรมไปได้ ปฏิบัติดีย่อมมีผู้สงเคราะห์ นายชดถามหลวงพ่ออีกว่า การเดินทางไปธุดงค์คราวนั้น ทราบว่าเป็นการเดินทางเข้าป่าลึก บางตอนไม่มีผู้อาศัย แม้ชาวป่าก็ไม่มี การขบฉันจะทำอย่างไร หลวงพ่อจงท่านตอบว่า การบิณฑบาตเป็นกิจของสงฆ์ สงฆ์แม้จะอยู่ในที่ใดก็ตามก็ต้องบิณฑบาตตามปกติ อยู่ในป่าก็บิณฑบาตกับชาวป่า ชาวป่าบางคนดี ใจบุญใจกุศลเพราะกลัวพระจะลำบาก อุตสาหก์ทำแคร่นั่งร้านให้พระอยู่ เราก็อยู่ฉลองศรัทธาและอนุโมทนาในบุญกุศลของเขา เมื่อเข้าป่าลึก ๆ มากก็ต้องบิณฑบาตเหมือนเดิม ก่อนที่จะบิณฑบาต พระท่านจะเข้าสมาบัติเต็มตามกำลังเท่าที่จะทำได้ ได้ฌาน ได้สมาบัติแค่ไหนก็เข้าเต็มตามนั้น แล้วถอยจิตออกมาแผ่เมตตา มีพรหมวิหารเป็นอารมณ์ เมื่อถอยจิตออกมาแล้ว ก็เดินถือบาตรไปเถอะ ที่ไหนก็ได้ มีคนใส่บาตรทั้งนั้น นายชดสงสัยว่า ในป่าลึก ๆ ไม่มีคน เหตุใด จึงมีคนใส่บาตร หลวงพ่อจงหยุดไปครู่หนึ่งคล้ายไม่อยากพูดอะไรอีก แต่เห็นนายชดศรัทธาใน เทวดาเหล่านี้คือรุกขเทพ มีใจบุญ ใจกุศล กลัวพระจะอดอยาก จึงมาเป็นโยมอุปัฏฐากสงเคราะห์ด้วยการใส่บาตรให้ บางทีในป่าเกิดฝนตก เดินไปไหนมาไหนลำบาก พระอุ้มบาตรไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เยื้องจากกลดไปหน่อยหนึ่ง ประเดี๋ยวเขาก็มาใส่บาตรให้พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เทวดาสงเคราะห์เป็นเรื่องปกติ เป็นฆราวาสก็เช่นกัน ถ้าทำดีเทวดาเขาก็จะสงเคราะห์เหมือนกัน แล้วเทวดาเหล่านี้ชอบฟังธรรม ทำวัตรสวดมนต์ในใจประเดี๋ยวเดียว ท่านก็มากันเต็มหมด มาบอกว่า “ท่านเจ้าขา ท่านสวดมนต์จนเสียงสะเทือนไปทั่ว จึงได้รู้ว่ามีพระมาโปรด นาน ๆ ท่านจะมาสักครั้งหนึ่ง ขอได้เทศนาโปรดด้วยเถิดเจ้าข้า” เราเป็นพระ เมื่อเขาอาราธนาแล้ว ก็ต้องเทศน์ให้เขาฟัง เทวดาบางหมู่ชอบกรณียเมตตาสูตร เทวดาบางหมู่ชอบอาฏานาฏิยะสูตร เทวดาบางหมู่ชอบธัมมจักรกัปปวัตนสูตร แล้วแต่นิสัย เวลาเทศน์จบ เขาสาธุพร้อม ๆ กัน ดังสนั่นไปหมด แต่กริยาเขางดงามมาก นี่เป็นเรื่องของเทวดาเขา นายชดผู้นี้เลื่อมใสหลวงพ่อจงมาก ต่อมาได้บวชในพระบวรพระพุทธศาสนา เมื่อรับกรรมฐานจากหลวงพ่อจงแล้ว ก็เข้าป่าไปไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย ต้องด้วยตาใน พูดถึงผีสางเทวดาแล้ว มีเรื่องเล่ากันอีกว่า สมัยที่หลวงพ่อจงยังมีชีวิตอยู่ ลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิดมักถามท่านเสมอว่า ผีสาง เทวดา สวรรค์ นรก มีจริงหรือไม่ ท่านยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “มีจริง” แล้วท่านก็ชี้ไปที่ลูกตาของท่าน พลางกล่าวว่า “ลูกตาแบบนี้มองไม่เห็น ต้องใช้ตาใน” ท่านนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วบอกกับลูกศิษย์ว่า เรื่องอย่างนี้เป็นปัจจัตตัง ปฏิบัติแล้วรู้เองเห็นเอง บอกไปคงไม่มีใครเชื่อ เพราะมนุษย์ทุกคนมักมีนิสัยดื้อรั้นตามธรรมชาติ ต้องเห็นเองจึงจะเชื่อ โบราณท่านจึงสอนเรื่องกสิณเพราะเหตุนี้ กสิณเรียนแล้วเป็นแล้ว จะรู้หมด เห็นหมด เห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ ไปเที่ยวได้ ไปพูดคุยกับเขาได้ ไปดูใครตกนรก ใครขึ้นสวรรค์ก็ได้ รู้อนาคตล่วงหน้าได้ คนเป็นกสิณ ถ้าปฏิบัติวิปัสสนาญาณไปด้วย จะตัดตรงถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วมาก เพราะการได้เห็นของจริง ทำให้จิตใจไม่กล้าใฝ่ในความชั่ว มุ่งมั่นปฏิบัติแต่ความดี เทวมนุษย์ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อจงอีกคนหนึ่งชื่อ นายเอี่ยม นับถือหลวงพ่อจงมาก นายเอี่ยมผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ก่อนนายชดไม่นาน นายเอี่ยมศรัทธาและเชื่อตามที่หลวงพ่อจงท่านสั่งสอนทุกอย่าง นายเอี่ยมทราบดีว่า หลวงพ่อท่านชอบเพ่งอสุภกรรมฐาน ดูซากศพหรือโครงกระดูกคนตายเป็นอารมณ์เสมอ นายเอี่ยมได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเป็นครั้งคราว จิตใจรักพระพุทธศาสนา ทำอะไร ๆ ก็หายใจเข้าออกเป็นพระไปหมด ก่อนนายเอี่ยมตายไม่นาน ได้ปวารณาตัวกับหลวงพ่อว่า ถ้าเขาตาย เขาขอถวายโครงกระดูกของเขาต่อหลวงพ่อ เพื่อหลวงพ่อจะยังประโยชน์ในด้านอสุภกรรมฐาน เมื่อปวารณาตัวเช่นนั้นแล้ว นายเอี่ยมได้ก้มลงกราบหลวงพ่อด้วยศรัทธาอันเปี่ยมล้น หลวงพ่อจงได้ฟังดังนั้น ก็ยกมือลูกศีรษะนายเอี่ยมด้วยความเมตตา แล้วบอกว่า “ลูกเอ๋ย แม้ลูกจะยากจนข้นแค้นในโลกสมบัติ แต่ก็รวยล้นในธรรมสมบัติ จนหาใครมาเทียบยาก การถวายร่างของลูกแก่หลวงพ่อนี้ ถือเป็นสังฆทานอันสูงสุด ผลบุญของลูกครั้งนี้ จะทำให้ชาติภพของลูกข้างหน้ามีแต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ตกต่ำอีกแล้ว ลูกประณมมือขึ้นนะ หลวงพ่อจะโมทนา” เมื่อโมทนาเสร็จ หลวงพ่อก็ให้นายเอี่ยมถือไตรสรณคมน์และศีลห้าเป็นหลักในชีวิตจนกว่าชีวิตจะ หาไม่ นายเอี่ยมสาธุแล้วก้มลงกราบหลวงพ่อร่ำลาไป ต่อมาไม่นาน นายเอี่ยมก็ถึงแก่กรรม บรรดาลูกศิษย์ลูกหาอื่น ๆ ที่ไปนมัสการหลวงพ่อที่กุฏิ มักถามท่านถึงโครงกระดูกนายเอี่ยมซึ่งแขวนไว้ในห้อง หลวงพ่อจงบอกว่า เป็นโครงกระดูกของนายเอี่ยมเขา เขาสบายแล้ว เป็นเทวดาตั้งแต่ยังไม่ตาย บารมีทางวิทยาคม หลวงพ่อเริ่มมีชื่เสียงรุ่งโรจน์เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เมื่อราว พ.ศ.2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเป็นต้นมา ซึ่งช่วงเวลานั้น เป็นเวลาที่บ้านเมืองต้องการทหารผู้กล้าหาญเข้มแข็ง เพื่อรับสถานการณ์ของบ้านเมือง ปัจจัยสำคัญในการปลุกใจทหารคือ เครื่องรางของขลัง ฉะนั้น จึงปรากฎมีผู้ไปมากราบไหว้ ขอให้หลวงพ่อประสิทธิ์ประสาทวิทยาคมให้มากขึ้นทุกที ในด้านบรรพชิต ปรากฎว่า ได้มาเล่าเรียนกรรมฐานภาวนาจากหลวงพ่อมากขึ้นเป็นลำดับ กุฏิที่ท่านอยู่เดิมไม่สามารถจะเพียงพอแก่การต้อนรับแขกได้ หลวงพ่อนิล (พระอธิการนิล ธัมมโชติ) น้องร่วมสายโลหิตของท่าน ในขณะนั้นยังช่วยบริหารการพระศาสนาอยู่วัดหน้าต่างนอก พร้อมด้วยทายกทายิกา จึงรวบรวมกัปปิยภัณฑ์ที่สาธุชนบริจาคถวายสร้างกุฏิใหญ่ขึ้นหลังหนึ่ง เสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. 2479 แล้วถวายเป็นที่อยู่อาศัยของท่าน ล่วงมาจนถึงปี พ.ศ. 2483 สงครามอินโดจีนอุบัติขึ้น เกียรติคุณของหลวงพ่อได้เลื่องลือไปทั่วประเทศไทย โดยได้จัดทำเสื้อแดงลงเลขยันต์ปลุกเสกด้วยวิทยาคม แจกจ่ายให้แก่ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือนทั่ว ๆ ไป ด้วยอำนาจจิตตานุภาพอันทรงพลังของหลวงพ่อ บันดาลอัศจรรย์บำรุงขวัญทหารให้เข้มแข็งกล้าหาญในการสงคราม นับว่า หลวงพ่อได้มีส่วนในการบำรุงขวัญทหารไทยอยู่มิใช่น้อย บรรเทาภัยในสงครามโลก เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้นนั้น ทางพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีประเทศไทยหลายครั้ง จนเป็นที่หนักใจแก่ทางราชการของเรา โดยเฉพาะกองทัพอากาศที่ไม่มีกำลังอาวุธพอที่จะต่อต้านได้ ดังนั้น ทางทหารอากาศจึงไปนิมนต์หลวงพ่อจง ถึงวัดหน้าต่างนอก โดยขอให้ท่านขึ้นเครื่องบินไปโปรยผงวิเศษและข้าวตอกดอกไม้ ลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง เพื่อพรางตาข้าศึกที่ส่ง บี 29 มาทิ้งระเบิด และเป็นที่น่าประหลาดอย่างที่สุดว่า จุดที่หลวงพ่อโปรยผงวิเศษและข้าวตอกดอกไม้นั้น แคล้วคลาดจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตรอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีสถานที่ใดถูกระเบิดทำลายแม้แต่น้อย นี่คือกิตติคุณที่แสดงว่า ท่านเก่งในทางแคล้วคลาดจริงโดยปราศจากข้อสงสัย เหล่ามิจฉายังซาบซึ้ง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ข้าวของทุกอย่างมีราคาแพงและหายาก ค่อนรุ่งคืนวันหนึ่ง หลวงพ่อตื่นขึ้นปฏิบัติกิจวัตรไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ ท่านพบขโมยสองคนกำลังช่วยกันหาบโอ่งน้ำ โดยวิธีใช้ไม้ขวางปากโอ่งเอาเชือกผูก ใช้ไม้ทำคานหามคราวละหลาย ๆ ใบ ทำให้โอ่งแกว่งไปมาขณะหาบ แทนที่หลวงพ่อจะเข้าไปห้ามปรามหรือขอร้องไว้ ท่านกลับแนะนำว่า “ควรเอาไปคราวละใบไม่ต้องรีบร้อน โอ่งจะได้ไม่แตกร้าวเสียหาย” ขโมยเหล่านั้นแทนที่จะโกรธเคืองท่าน กลับซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของท่าน ไม่สามรถจะเอาชนะความดีของท่านได้ จึงวางโอ่งน้ำไว้แล้วลากลับไป เน้นหนักด้านเมตตา เมื่อกล่าวถึงวิทยาอาคมของหลวงพ่อที่มีผู้นิยมและต้องการนั้น เท่าที่ทราบมีสามสาขา คือ 1. วิทยาคมทางด้านคงกระพันชาตรี 2. วิทยาคมทางด้านเมตตา 3. วิทยาคมทางน้ำมนต์ ในบรรดาวิทยาคมทั้งสามสาขาที่ประมวลมานี้ วิทยาคมทางเมตตาเป็นที่เลื่องลือมากกว่าอย่างอื่น หลวงพ่อจงท่านเฝ้าสอนให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน อย่าเบียดเบียนกันเป็นนิตย์ แสดงว่าท่านให้ทั้งที่พึ่งพาทางกายและทางใจพร้อมกันไป แทนที่จะมุ่งให้ทุกคนยึดมั่นในวัตถุเช่นอาจารย์อื่น ๆ การกระทำของหลวงพ่อจง และวิทยาคมทางเมตตาของท่านจึงมุ่งเสริมสร้างสังคมให้รู้จักการอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข อันเป็นยอดปรารถนาของคำสั่งสอนทั้งมวลอันเป็นโลกียะ ถ้าจะกล่าวว่าหลวงพ่อจงท่านเป็นนักสงเคราะห์ก็ไม่ผิดมิใช่หรือ เมตตาธรรม หลวงพ่อจงท่านเป็นผู้หนักในการปฏิสันถาร ที่เรียกว่า ปฏิสนฺถารคารวตาทั้งในการต้อนรับ ความอามิส และการต้อนรับด้วยธรรมที่เรียกว่าโอภาปราศรัย จะเห็นว่าไม่ว่าท่านผู้ใด เมื่อมาถึงหลวงพ่อแล้ว ท่านจะให้ความสนใจเท่าเทียมกัน เมื่อทราบธุระที่มาหาแล้ว หลวงพ่อจะจัดทำให้ในทันที โดยที่สุดแม้การรดน้ำมนต์ หลวงพ่อจงท่านจะรดน้ำพระพุทธมนต์ให้อย่างทั่วถึง บางครั้งผู้ที่มีโรคภัยใจไม่สงบ เมื่อถูกน้ำพระพุทธมนต์เข้าแล้ว แสดงอาการดิ้นรนต่าง ๆ ร้องครวญครางเป็นที่น่าเวทนา หลวงพ่อจงท่านกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความว่องไว คล่องแคล่ว แม้การเดินทาง หลวงพ่อจงก็เดินเร็ว คนหนุ่ม ๆ เดินตามท่านไม่ทัน จะขึ้นรถลงเรือ หลวงพ่อไม่ชักช้าในการสนทนา หลวงพ่อจงเป็นผู้พูดน้อย มักจะเป็นผู้ฟังมากกว่า ท่านไม่เคยโต้แย้งหรือแสดงอาการไม่พอใจใคร แสดงถึงส่วนลึกของจิตใจของหลวงพ่อจงว่า ท่านมีเมตตาและมีความปรารถนาดีต่อทุกคน คำที่หลวงพ่อจงใช้ในการสนทนา พวกเราจำได้อยู่เสมอ คือ จ๊ะ...อ้อ...ดี....จ๊ะ ไปทุกที่ที่นิมนต์ เพราะความที่ท่านมีเมตตากรุณานี่เอง จนบางครั้ง มีผู้นิมนต์ท่านไปในที่ต่าง ๆ คลาดกำหนดกลับอยู่เสมอ นิมนต์ไปที่ไหนหลวงพ่อจงท่านไม่ขัด ไปได้ทุกที่และไปได้กับทุกคน หลวงพ่อจงถือว่ากิจเช่นนั้นมีปรากฎอยู่แล้วในพระวินัย ที่เรียกว่าการขัดนิมนต์ และท่านกล่าวว่า “ถ้าเขานิมนต์แล้วเราไม่ไป ศรัทธาของเขาจะเสียหาย” นับได้ว่า หลวงพ่อจงปฏิบัติตามพระวินัยนิยมแล้วทุกประการ เข้าหลักว่า โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่หมอง ถูกต้องตามพระวินัยอย่างแท้จริง เฝ้าแพ หลวงพ่อจงท่านเป็นพระเถระที่มีความเมตตา มีพรหมวิหารสูง ในขณะที่ท่านปกครองวัดหน้าต่างนอกโดยเป็นเจ้าอาวาสนั้น วันหนึ่ง ท่านไปนั่งพักอยู่โคนไม้ริมท่าน้ำ พวกล่องแพคิดว่าท่านเป็นพระลูกวัดแก่ ๆ รูปหนึ่ง ได้หันมาจอดแพและร้องบอกท่านว่า ให้ช่วยดูแลแพด้วย เพราะกลัวถูกขโมย ท่านก็พยักหน้าหงึก ๆ แล้วพวกนั้นก็ข้ามไปอีกฟากหนึ่ง กว่าจะกลับมาได้ก็ดึกดื่นค่อนคืน ครั้นยังเห็นหลวงพ่อจงยังนั่งอยู่ที่เดิม พวกล่องแพก็ตัวสั่นงันงกรีบจ้ำเข้าไป พอจะถึงตัวท่านก็ก้มลงคลานไปกราบกันสลอน พลางกล่าวขอขมาโทษที่ล่วงเกินใช้ท่าน ด้วยกลัวบาปกลัวกรรม หลวงพ่อจงท่านยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกราบฉันดอก ฉันเพียงแต่เฝ้าแพให้เฉย ๆ ไม่มีใครมาขโมยฉันก็สบายใจ” พวกล่องแพได้ยินดังนั้นต่างก็มองหน้ากัน แล้วรีบก้มลงกราบอีกครั้งพลางบอกว่า “ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับหลวงพ่อ ความจริงพวกกระผมยังไม่เสร็จธุระ กว่าจะเสร็จจริง ๆ คงจะตีสาม พวกผมข้ามไปฟากโน้น เขาถามว่าฝากแพไว้ที่ไหน พวกกระผมก็เล่าให้เขาฟังว่า ฝากพระแก่ ๆ ที่ท่าน้ำวัดหน้าต่างนอกไว้ เขาก็ถามอีกว่า ฝากองค์ไหน พอบอกลักษณะของท่านให้เขาฟัง เขาก็ตกใจ รีบไล่พวกผมกลับมาขอขมาลาโทษท่าน เขาบอกว่าท่านคือ หลวงพ่อจง พวกผมมาจากจังหวัดอื่น ได้ยินชื่อมานาน ไม่ทราบว่าเป็นท่าน ขอหลวงพ่อได้โปรดอภัยให้พวกกระผมด้วย เพราะกลัวบาปกรรมติดตัวที่ใช้ท่านเฝ้าแพ” หลวงพ่อจงยิ้มน้อย ๆ แววตาส่อด้วยความเมตตา แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรนี่นา ฉันรับปากเฝ้าให้พวกเธอเอง เธอใช้ฉัน ฉันก็เฝ้าให้ ไม่มีบาปมีกรรมอะไร” แต่พวกแพยังย้ำว่า พวกเขาไม่สบายใจ เมื่อหลวงพ่อท่านเห็นว่า พวกล่องแพมีความสำนึกผิดจริง ๆ ท่านก็สั่งสอนว่า “พวกเธอทีหน้าทีหลังอย่าใช้พระ เพราะพระเป็นเนื้อนาบุญของเธอ ขึ้นชื่อว่าพระแล้ว ขอเธอจงยกเว้น เมื่อเธอสำนึกผิด ความบาปทั้งปวงจึงเป็นอันยุติ บาปกรรมจะไม่มีติดตัวพวกเธอทั้งหลาย” “สาธุ” พวกล่องแพพากันพนมมือท่วมหัวไปตาม ๆ กัน โปรดมิจฉาเป็นเนื้อนาบุญ พูดถึงการเสียสละของท่านแล้ว ใคร ๆ ได้ฟังก็ถึงแก่น้ำตาคลอเบ้า ด้วยปลื้มปิติ ไม่คิดว่าสุปฏิปันโนภิกษุเช่นท่านนี้ ยังมีอยู่ในโลกอันสับสนวุ่นวายนี้ มีเรื่องของท่านอีกเรื่องหนึ่ง เล่ากันว่า ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ การเดินทางไปไหนมาไหนมักจะต้องไปทางเรือ เพราะสะดวกกว่าทางอื่น เรือแจวของวัดจึงต้องมีประจำ และเรือแจวลำนี้ผูกติดกับสะพานหน้าวัดอยู่เป็นประจำ ตกดึกคืนหนึ่ง ขโมยมาย่องหมายจะลักเอาไป หลวงพ่อท่านนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ท่านทราบดี ท่านก็รีบลงมาแก้เชือกให้ขโมยคนนั้น แล้วบอกว่า “เอาไปเถอะนะ ฉันหาใหม่ได้ ถ้าไม่มีสตางค์ คืนนี้ตีสี่ไปที่พระพุทธฉายจำลอง เทวดานางไม้ตรงนั้นเขาจะสงเคราะห์ให้ จงเอาไปเถิด จะได้ตั้งตัว แล้วเลิกเป็นโจรเสีย เพราะการอทินนาของวัดเป็นบาปหนัก หลวงพ่อไม่อยากให้บาปตกแก่เธอเลย” ขโมยคนนั้นได้ยินท่านพูด ถึงกับร้องไห้แล้วก้มลงกราบถวายเรือคืนแต่โดยดี ต่อมาไม่นาน ขโมยคนนี้ได้มาขอบวชกับหลวงพ่อจง และมานะพยายามปฏิบัติจนสำเร็จอภิญญา ภายในเวลาพรรษาเดียว หลวงพ่อจงได้เรียกมาพบแล้วบอกว่า “โลกีย์วิชาเธอได้แล้วถึงอรูปพรหม และมีอภิญญา 4 นับจากนี้ เธอจะอยู่ในหมู่ฝูงชนไม่ได้ ขอให้เธอจงเข้าป่าไป ให้ชาวป่าและและเทวดาท่านสงเคราะห์ จงทำวิปัสสนาญาณประหารกิเลสให้แจ้งชัด จงอยู่เอกาอย่าวิตกกังวล ตกดึกจะมีครูที่ไม่ใช่มนุษย์มาสอนเธอ ชาติภพของเธอจะสิ้นสุดลงในสามพรรษาข้างหน้า ไปเถิดลูกเอ๋ย” พระทรงอภิญญารูปนั้นฟังแล้วน้ำตาไหลอาบแก้ม ปลื้มปิติในความเมตตาของหลวงพ่อ และตื้นตันใจที่ตนเลือกพระอาจารย์ร่ำเรียนกรรมฐานไม่ผิดองค์เลย หลังจากกราบลาหลวงพ่อจงแล้ว พระอภิญญาองค์นั้นก็เข้าป่าไป และไม่ได้ออกมาอีกเลยจนบัด ฤทธิ์ยักษ์เฝ้าทรัพย์ เมื่อราวปี พ.ศ.2470 ท่านสมภารวัดหนึ่งในละแวกใกล้เคียงกับวัดหน้าต่างนอก ไปรื้อวิหารของวัด ซึ่งวัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ มีลายแทนใบหนึ่งระบุว่า มีสมบัติพระทองคำซ่อนอยู่ใต้วิหารนี้ สมภารเกิดความโลภ จึงสั่งให้พระลูกวัดช่วยกันรื้อพระวิหาร เพื่อหวังขุดเอาพระทองคำไปขาย พอวิหารถูกรื้อเสร็จ ท่านสมภารวัดก็ถึงกับล้มป่วยมีอาการเพียงหนักมาก บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของสมภารรูปนั้นก็พากันมากราบไหว้ หลวงพ่อจงถึงวัดหน้าต่างนอก พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า สมภารวัดมีอาการประสาทหลอน ร้องโวยวายคล้ายถูกผีหลอกตลอดเวลา หลวงพ่อจงจึงรีบเดินทางไปยังวัดนั้น ขณะยังเดินไปไม่ถึงวัดดี หลวงพ่อจงก็บอกแก่พระลูกวัดที่มาตามท่านว่า “สมภารไม่ได้โดนผีหลอกดอก ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรด้วย แต่ยักษ์ที่เฝ้าพระวิหารทำเข้าแล้ว ไปรื้อวิหารโดยไม่ประสงค์จะสร้างให้ดีกว่าเก่า เป็นเพราะอยากได้สมบัติใต้วิหาร มันถึงเป็นเช่นนี้” พอไปถึงวัด ท่านเห็นสมภารเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ มีอาการดิ้นพรวดพราด หลวงพ่อจงเดินเข้าไปใกล้แล้วบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง สมภารวัดรูปนั้นถึงกับล้มตึงแน่นิ่งไป บรรดาพระลูกวัดเห็นดังนั้น ก็รีบเข้าไปประคอง ปากก็ละล่ำละลักขอให้หลวงพ่อช่วย ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ฟื้น พอจะเอ่ยปากพูดต่อ หลวงพ่อจงท่านเอามือป้องคล้ายจะบอกว่าไม่ต้อง ท่านหยุดนิดหนึ่งจนสมภารฟื้น แล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้เช้าตั้งเครื่องสังเวย ขอขมาลาโทษเขาเสียนะ เขาเอาจริง เวลานี้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย เขาถามฉันว่า ท่านรื้อวิหารต้องการขุดสมบัติใช่ไหม เขาให้ท่านรับปาก ท่านต้องเลิกหาสมบัติ และวิหารนั้นจะต้องสร้างใหม่ให้สวยงามและใหญ่กว่าเก่า ท่านทำได้ไหม ถ้าท่านทำไม่ได้ เขาจะเอาชีวิตท่าน” สมภารวัดหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม รีบพยักหน้าหงึก ๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กเป็นเม็ดโต ๆ รีบรับปากแต่โดยดี พอวันรุ่งขึ้นก็รีบจัดตั้งเครื่องสังเวยขอขมาลาโทษ แล้วจัดการสร้างวิหารให้งามใหญ่กว่าเดิม ประเดี๋ยวจะตามไป ความมหัศจรรย์ของหลวงพ่อจงที่แปลก ๆ ยังมีอีก ดังเช่น เมื่อครั้งวัดบางนมโคมีงานใหญ่ หลวงพ่อปานท่านให้ลูกศิษย์นั่งเรือยนต์ไปตามหลวงพ่อจงที่วัดหน้าต่างนอกพอไป ถึงวัด พบหลวงพ่อกำลังติดธุระด้วยญาติโยมมารมพบอยู่หลายคน หลวงพ่อหันมาเห็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน และรู้วามาตามท่านก็เลยบอกว่า ให้เดินทางไปก่อนประเดี๋ยวจะตามไป อันทางไปวัดบางนมโคสมัยนั้น ไปเรือยนต์ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ แม้จะเดินลัดท้องนา ก็ต้องใช้เวลานานกว่ามาก ลูกศิษย์หลวงพ่อปานนั่งเรือยนต์กลับไปวัดบางนมโค แล้วขึ้นไปรายงานว่า หลวงพ่อจงบอกให้มาก่อน เดี๋ยวท่านจะตามมา หลวงพ่อปานฟังดังนั้นก็ยิ้ม แล้วชี้มือไปที่หลวงพ่อจง ที่นั่งอยู่มุมศาลาให้ลูกศิษย์ดู แก่ได้-หนุ่มได้ ค่ำวันหนึ่ง บรรดาลูกศิษย์ลูกหาพากันมานมัสการหลวงพ่อจง รอกันอยู่ครู่หนึ่งท่านก็ก้าวลงจากกุฎิ พอท่านนั่งลงเท่านั้น บรรดาลูกศิษย์ต่างก็ก้มลงกราบกันสลอน เพราะทุกคนประหลาดใจไปตาม ๆ กัน ที่หลวงพ่อในค่ำคืนนี้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง เปลี่ยนแปลงไปจากตอนกลางวันที่เขาเห็นมา เนื้อตัวของท่านขาวผ่อง มีความเนียนคล้ายเป็นประกาย ดูหนุ่มขึ้นมาก บรรดาลูกศิษย์ต่างก็จ้องมองตะลึงกัน เหมือนไม่เชื่อสายตา ก่อนที่ใครจะพูดอะไรออกมา หลวงพ่อจงท่านก็เอ่ยขึ้นว่า “อย่าสงสัยไปเลยลูก ร่างกายคนเรามันเป็นอนิจจัง มันจะร้อน จะหนาว มันจะแก่ มันจะหนุ่มเป็นเรื่องของร่างกาย เราอย่างไปเกี่ยวข้อง รักษาจิตให้ดีอย่างเดียวพอแล้ว”หลวงพ่อท่านพูดแค่นี้ ทำให้บรรดาลูกศิษย์ไม่มีใครกล้าถามอะไรต่อไป เพราะเกรงจะเป็นการล่วงเกินท่าน อิทธิเครื่องมงคล หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ได้สร้างอิทธิเครื่องมงคลไว้มากมายหลายชนิด มีทั้งเหรียญ ผ้ายันต์ ตะกรุด แผ่นยันต์มหาลาภ และกันไฟ ดังนี้ 1. เสื้อยันต์แดง เสื้อยันต์ของท่านมีชื่อเสียงมาก เมื่อครั้งสงครามอินโดจีน ท่านได้สร้างขึ้นไว้แจกแก่ทหารที่ออกสู่สมรภูมิ ในคราวสงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน เสื้อยันต์ของท่าน ได้ปรากฎเกียรติคุณในสนามรบมาแล้วอย่างโด่งดัง จนกิตติศัพท์แพร่หลายไปทั่วประเทศ และด้วยเหตุนี้ จึงมีประชาชนพากันหลั่งไหลไปรับแจกที่วัดหน้าต่างนอก ตลอดระยะเวลาที่เกิดสงครามอย่างไม่ขาดสาย 2. ผ้ายันต์สิงห์มหาอำนาจ สร้างกันมาแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และสร้างต่อมาอีกหลายรุ่น ผ้ายันต์ของท่านนี้มีคุณวิเศษครบเครื่อง ใช้ได้สารพัด ไม่ว่าคลาดแคล้ว คงกระพัน และทางด้านโชคลาภ เป็นต้น ประสบการณ์จากทหารและตำรวจชายแดนหลายท่านยืนยันว่า ผ้ายันต์ของหลวงพ่อจงเป็นมหาอุดชั้นหนึ่ง 3. แผ่นยันต์ พิมพ์ด้วยกระดาษสองสี คือตัวยันต์และตัวหนังสือเป็นสีดำ รูปหลวงพ่อบริเวณจีวรพิมพ์ด้วยสีเหลือง แผ่นยันต์นี้สร้างครั้งแรกในปี พ.ศ.2490 เมื่อคราวสร้างเจดีย์ข้าวเปลือก หลวงพ่อท่านสร้างแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่จะมาร่วมงาน ปรากฎว่าแผ่นยันต์นี้ อำนวยโชคลาภแก่เจ้าของบ้านที่นำไปบูชา ท่านจึงสร้างแจกอีกต่อมาหลายรุ่น บางรุ่นเป็นสีเดียว เช่น สีฟ้า สีดำ แผ่นยันต์นี้นิยมกันมากเมื่อหลังสงครามโลกสงบ ๆ ใหม่ ๆ เพราะนอกจากจะอำนวยโชคลาภดังกล่าวแล้ว ยังป้องกันไฟไหม้ได้ชะงัดนัก 4. ปลาตะเพียนเงิน-ตะเพียนทอง ปลานี้หลวงพ่อจงท่านสร้างเป็นคู่ ตัวเมียกับตัวผู้ เดินอักขระขอม ปั๊มนูนไม่เหมือนกัน ท่านสร้างเมื่อปี พ.ศ.2490 เศษ ๆ ได้มีผู้เคยพบปลาตะเพียนคู่นี้ในกุฎิท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) วัดสุทัศนฯ ซึ่งท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2495 เข้าใจว่า หลวงพ่อจงมอบให้แก่ท่านเจ้าคุณโดยเฉพาะ ปลาตะเพียนคู่ เป็นเครื่องรางที่ชาวจีนนับถือกันอย่างมากมายมาช้านาน เครื่องถ้วยชามของชาวจีนเก่า ๆ มักจะทำเป็นปลากลับหัว อันหมายถึง บ่อเกิดของชีวิตแห่งโชคลาภ การปลุกเสกปลาตะเพียนของหลวงพ่อจงนี้ ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน กล่าวคือ ท่านปลุกเสกแล้วให้ลูกศิษย์ปล่อยลงที่ท่าน้ำหน้าวัดคู่หนึ่ง ปรากฎว่า ปลาตะเพียนที่เป็นโลหะตั้งตัวตรงแบบปลาจริง ๆ และไม่จมน้ำด้วย และที่น่าประหลาดไปกว่านั้นก็คือ ปลาตะเพียนของหลวงพ่อจง ลอยทวนน้ำ ไม่ใช่ลอยตามน้ำ และเป็นที่ร่ำลือกันว่า ปลาตะเพียนของท่านว่ายน้ำได้ ทุกงานพิธี เนื่องจากคุณธรรมอันวิเศษที่หาได้ยากของหลวงพ่อจง มีกิตติศัพท์แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง งานปลุกเสกเครื่องมงคลในกรุงเทพที่ใหญ่ ๆ ทุกงาน หลวงพ่อจงจะต้องได้รับนิมนต์มาร่วมพิธีด้วยทุกครั้งไป และถือว่าเป็นพระเถราจารย์ที่ขาดเสียมิได้ ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งของท่านดังนี้ วิทยาคมที่ปรากฎชัดส่วนมากคือ แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตามหานิยม และมหาลาภ แม้กระทั่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) จะสร้างเครื่องมงคลครั้งใด ก็ต้องมีบัญชาให้ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) นิมนต์หลวงพ่อจงมาร่วมปลุกเสกด้วยทุกครั้งไปมิเคยขาด มนต์กำกับ เกี่ยวกับเครื่องรางของขลังซึ่งท่านปลุกเสกเวทวิทยาคม กระทำภาวนาด้วยบุญฤทธิ์อธิษฐาน อันเป็นพลังจิตแกร่งกล้าในแนวที่ให้ความนิยมกันมากนั้น ส่นมากแรก ๆ ท่านก็ใช้แนวทางความรู้อันที่เรียกมาจากท่านพระครูโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ผู้เป็นปรมาจารย์องค์แรกของท่าน แต่ต่อมาเมื่อท่านได้ศึกษารอบรู้ในหลักการ อันเป็นกฎเกณฑ์ของผู้จะไต่เต้าเข้าหาความสำเร็จในอภิญญา อันเป็นพุทธวิธีชั้นสูงสุด จากนั้นมา ท่านก็ใช้ความรอบรู้อันเกิดจากภูมิปฏิภาณของผู้ใกล้เป็นสัพพัญญูเยี่ยงท่าน ผู้เป็นองค์อรหันต์แต่โบราณกาลมานั้น เข้าบำเพ็ญธรรมกิจ เพื่อให้บรรลุผลในทางอิทธิบารมี จนสามารถอาจดลบันดาลให้ผลดี ตามความต้องการของบุคคลที่เป็นคนดีสมมโนรสปรารถนา ดังนั้น ก็สามารถพูดได้ว่า วิทยาอาคมของท่านมิใช่ในแนวทางไสยศาสตร์ หลวงพ่อจงเมื่อให้นิ่งของปลุกเสกของท่านแก่ผู้ใด ท่านจะต้องบอกเตือนสติด้วยการให้คติเสมอว่า ขอให้รักษาตัว รักษาใจไว้ให้จงดี ศีลธรรมอย่าลืม หากหมั่นบูชาพระ รำลึกถึงพระ และหมั่นศรัทธาปฏิบัติพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็น นิตย์แล้ว ยากนักจะมีโพยภัยเหล่าใดเบียดเบียนบีฑาราวี ขอให้ท่องไว้ในใจเสมอว่า เวรย่อมมีขึ้นเฉพาะเมื่อได้มีการก่อเวร มีหนี้ก็หนีไม่พ้น จะต้องชดใช้เขาในเวลาหนึ่ง คนเราไม่ทำบาปพึงไว้ใจได้ว่า ต้องไม่มีบาปใดติดตามสนองปองผลาญ จงหมั่นแจกจ่ายเมตตาอย่าให้ขาดสาย คงต้องได้กุศลแรงกว่ากุศลอื่นใดหลายเท่านัก เหนือยอดฉัตร ครั้งหนึ่ง ณ ตำบลบางช้าง บรรดาเกจิอาจารย์มากหลาย มีท่านโอภาสี หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อปาน หลวงพ่อเจิ่น ท่านพระอาจารย์ฟ้อน หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อจง ฯลฯ ได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีสงฆ์ ในงานพิธีนั้นเขาได้เอาไม้ไผ่มาจักตอกสลับเป็นรูปฉัตรเจ็ดชั้น รูปลักษณ์คล้ายเจดีย์ยอดสูงเรียว สูงราวสักสองวาเห็นจะได้ เจ้าของบ้านผู้นิมนต์พระสงฆ์ไป ได้เกิดกระทำพิธีขึ้นอย่างหนึ่ง แล้วอาราธนาขอให้เหล่าเกจิอาจารย์ปีนขึ้นไปบนยอดฉัตร ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์มาประทานพรให้เจ้าของพิธี อันนี้จะเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่อย่างไร เมื่อเขาอาราธนานิมนต์ สงฆ์เหล่านั้นท่านก็อีหลักอีเหลื่อ แต่บางองค์เห็นว่าจะกระทำมิได้ เพราะไม่ไผ่สานถักเป็นรูปฉัตรสูงตั้งสองวานั้นมีลักษณะแบบบาง ตามรูร่องที่ทำไว้ให้เหยียบไม่มั่นคง อาจงอหักหรือล่มล้มลงมา มีอันตรายโดยง่ายด้วย ซึ่งต่างองค์ต่างก็ปฏิเสธ มีหลวงพ่อเดิมเห็นว่าควรรับนิมนต์ ไม่ควรขัดอัธยาศัยของเจ้าของบ้าน แต่ดูเหมือนติดจะคิดลองดีหลวงพ่อจง ซึ่งขณะนั้นต่างมีชื่อโด่งดังในทางคล้ายคลึงกัน พร้อมกับถามหลวงพ่อจงว่า “หากท่านเห็นด้วย เราทั้งสองควรรับนิมนต์เป็นผู้แทนสงฆ์อื่นเสียด้วยก็จะดี จะได้เสร็จกิจไป เพราะเคยได้ยินว่าท่านก็มีพลังจิตในทางทำตัวเบาเยี่ยม” พลางก็ชี้ฉัตรด้านข้างเป็นสัญญานว่าให้หลวงพ่อจงไปที่นั่น ส่วนหลวงพ่อเดิมเอง ยึดเอาฉัตรที่ตั้งตรงหน้าตั้งท่าป่ายปีนขึ้นไป ควรทราบเสียก่อนว่า อันฉัตรที่ทำด้วยไผ่สานนี้ไม่มีที่เกาะจับ แม้จะสอดเท้าเข้ารูที่เว้นเป็นช่องไว้ก็จะสอดเข้าได้เพียงปลายนิ้วเท้าเท่า นั้น ฝ่ายหลวงพ่อจงไม่ว่าอะไร หัวร่อ หึ หึ หึ ออกเดินดุ่มไปหาฉัตรที่ห่างออกไปราวสามวาทันที หลวงพ่อเดิมสอดปลายเท้าเข้ารู มือเพียงแตะฉัตรก้าวอย่างแผ่วเบาปราดขึ้นไปท่ามกลางผู้คนรอบ ๆ ชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น พลางปรายตามองดูหลวงพ่อจง แต่แล้วก็ต้องตะลึง เพราะหลวงพ่อเดิมขึ้นไปได้ราวห้าศอก หลวงพ่อจงขึ้นไปยืนคร่อมยอดฉัตรซะแล้ว ดับไฟป่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจงท่านไปปัตตานี และสงขลา ตามคำอาราธนาให้ไปประกอบพิธีมงคลทางพุทธศาสนา มีกลุ่มคนนอกศาสนาสติไม่ใคร่เรียบร้อย มักชอบตลบตะแลงลิ้นพ่นหาว่าพระสงฆ์ไทยไม่ดีจริงไม่เก่งจริง (ไม่รู้วาในทางใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเป็นในทางสำแดงอิทธิพลอย่างใดอย่างหนึ่ง) กล่าวท้าทายกระทำว้าวุ่นหลายครั้งครา ต่อภิกษุสงฆ์ไทยหลายองค์ วันที่เกิดกรณีนี้ พอดีหลวงพ่อจงต้องเดินทางผ่านสวนยางพาราของเขาไป ซึ่งไม่ห่างจากบริเวณทางที่รถกำลังจะต้องหยุด เห็นมีไฟป่าลุกลามปามเข้าหาสวนยางกำลังคุโชนระบาด ส่วนตัวมนุษย์นอกศาสนานั้นก็เดินทางไปในรถโดยสาร (รถขนหินของกรมทางฯ) ขบวนนั้นไปด้วย เขาร้องเอ็ดตะโรและคร่ำครวญต่าง ๆ นานา ว่าฉิบหายแล้ว ฉิบหายแน่ หลวงพ่อจงเห็นเป็นการน่าเวทนา จึงพูดว่า ไม่ฉิบหายน่า พูดแล้วท่านก็ปีนขึ้นไปขนยอดกอไผ่จีนข้างที่ทำการกรมทาง เอายอดไผ่มาอมในปาก สะบัดไปแล้วร้อง ดับ..ดับ...ดับ.. ซึ่งอีกสิบนาทีต่อมา ไฟป่าก็ดับโดยอัศจรรย์ ทำให้มนุษย์นอกศาสนาตะลึงจังงัง และแต่นั้นมา หมอนั่นไม่กล้ากระทำวุ่นวาย ท้าทายใครต่อใครในพุทธศาสนาอย่างคนปากพล่อยสามหาวอีก พร้อมทั้งมีจิตใจหันไปเคารพศรัทธาเลื่อมใสต่อภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นอย่าง ยิ่งสืบไปในระยะหลังของชีวิต สอนสั่งครั้งสุดท้าย ครั้นต่อมาในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2508 หลวงพ่อจงได้ล้มป่วยลงเป็นอัมพาตทางด้านขวาของร่างกายหมดความรู้สึก แต่ใบหน้าของท่านยังอิ่มเอิบ ผิวพรรณผ่องใสมาก ท่านมีอาการยิ้มแย้มเหมือนไม่รับทราบความเจ็บป่วยนั้น ลูกศิษย์ลูกหาพากันห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ได้ตามนายแพทย์จากกรุงเทพฯไปรักษา ท่านพยายามห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผล ท่านบอกแก่ลูกศิษย์ว่า “ตามหมอมาก็ไม่มีประโยชน์ ป่วยคราวนี้ไม่มีวันหาย อย่าห่วงเลยนะ มันจะเจ็บ มันจะป่วย มันจะตาย ไปห้ามมันไม่ได้ ลูก ๆ ทุกคนจงจำไว้ เวลาจะเจ็บ เวลาจะป่วย เวลาจะตาย อย่าเอาจิตไปเกาะเกี่ยวเวทนา จะได้ไม่เกิดทุกข์” นี่คือคำสั่งสอนครั้งสุดท้ายของ หลวงพ่อจง พุทธัสสโร ที่ให้ลูกศิษย์เห็นถึงคุณวิปัสสนาญาณชั้นสูง ถึงสังขารุเปกขาญาณ จากนั้นมา ท่านก็นอนนิ่ง นาน ๆ จะหายใจสักครั้ง ทราบจากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดว่า ท่านเข้าสมาบัติอนุโลมปฏิโลมตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันอังคาร ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีมะโรง อันเป็นวันมาฆบูชา ตรงกับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2508 เวลา 01.55 น. ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบเหมือนคนนอนหลับ ท่ามกลางความโศกสลดในมวลหมู่ลูกศิษย์ที่นั่งเฝ้าโดยใกล้ชิดทั้ง หลาย...........
ประวัตชัดเจนครับท่าน ขออนุญาตร่วมแจมด้วยคนนะครับท่าน พอดีมีอยู่เหมือนกันครับ ส่วนตัวนับถือหลวงพ่อจงมากครับ
YOU MUST BE LOGGED IN TO REPLY TO THIS TOPIC!