สภาพเดิม ผิวเดิมๆ เนื้องาช้าง คราบความเก่าธรรมชาติ งาลั่นแตกตามอายุ ((หลวงพ่อยิด ตั้งใจลงเหล็กจารมาก เพราะ ปลัดขิกตัวเล็กมาก ขนาด ยาว 1.9 ซม.)) เป็นงานแกะมือ โดยใช้มีดเหลาปลัดขิกแบบโบราณ เนื้องาฉ่ำตามธรรมชาติ สุดยอดเรื่องโชคลาภ แคล้วคลาด มหาอุตม์ สร้างน้อย เล็กน่ารัก พระดี พิธีดี พระดีน่าเก็บ สภาพเดิม แท้ๆ ราคาไม่แพงครับ สุดยอดเรื่องประสบการณ์วัตถุมงคล ที่ พระครูนิยุตธรรมสุนทร หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน วัดหนองจอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปลุกเสก สุดยอดเรื่องประสบการณ์ คนพื้นที่ต่างรู้กันดี เชื่อขนมกินได้ คนไทยและชาวต่างชาติ ให้ความนับถือเป็นอย่างมากเหมาะกับ คนชอบ พระดี ติดตัว อุ่นใจครับ รับประกันทุกกรณีพระดี อนาคต สดใสขอนำประวัติมาลงให้อ่านครับพระครูนิยุตธรรมสุนทร หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน วัดหนองจอก จ.ประจวบคีรีขันธ์พระครูนิยุตธรรมสุนทร หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน มีนามเดิมว่า ยิด นามสกุล สีดอกบวบ เกิดที่บ้านดอนหัวกรวด ตำบลนาพันสาม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จากใบสุทธิระบุว่าท่านกำเนิดเมื่อวันที่อังคาร ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 7 ปีชวด ตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2467 แต่จากปากคำของท่านเล่าว่า ท่านเกิดวันจันทร์ ปีชวด พ.ศ. 2460 โยมบิดาชื่อ แก้ว โยมมารดาชื่อ พร้อย มีพี่น้องรวม 7 คน ท่านเป็นบุตรชายคนที่ 4ในวัยเยาว์ โยมบิดา-มารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือกับ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม ที่มีศักดิ์เป็นน้าของท่าน จนมีอายุได้ 9 ขวบ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดนาพรม โดยมีหลวงพ่อหวล เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาอักขระสมัย อักขระขอม เลขยันต์ และแพทย์แผนโบราณ ภายหลังหลวงพ่อหวลได้พาไปฝากศึกษาต่อกับ หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง เพื่อศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานพออายุได้ 14 ปี ท่านได้ลาสิกขาบท ออกมาช่วยโยมบิดา-มารดาประกอบอาชีพ เพราะครอบครัวย้ายไปประกอบอาชีพที่อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะนั้นครอบครัวของท่านมีความลำบากยากจน ท่านจึงต้องช่วยครอบครัวประกอบอาชีพอายุได้ 20 ปี จึงได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดนาพรม โดยมี หลวงพ่ออินทร์ วัดยาง (เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์พ่วง วัดสำมะโรง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา จนฺทสุวณฺโณ แปลว่า ผู้มีวรรณะดุจพระจันทร์ขณะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานกับ หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง ต่อมาโยมบิดาของท่านได้เสียชีวิตลง ท่านจึงลาสิกขาเพื่อกลับไปดูแลโยมมารดาและครอบครัว ภายหลังท่านได้แต่งงานมีครอบครัวกับนางธิต มีบุตรด้วยกันแต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ทางธรรมและเห็นว่าบุตรของท่านเติบใหญ่เลี้ยงตนเอง ได้ ครอบครัวอยู่กินได้อย่างไม่เดือนร้อน ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้ง ณ พัทธสีมาวัดเกาะหลัก อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2517 และได้ไปจำพรรษาที่วัดทุ่งน้อย ตำบลเขาแดง อำเภอกุยบุรีต่อมาได้มีผู้จิตศรัทธา 2 ท่าน คือ นางวง บุญมา และ นางเอื้อน เกตุงาม มีความเคารพเลื่อมใสหลวงพ่อยิดเป็นอันมาก จึงได้ถวายที่ดินจำนวน 21 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่ที่เลขที่ 67 หมู่ที่ 3 ตำบลดอนยายหนู อำเภอกุยบุรี เพื่อให้หลวงพ่อยิดไปจำพรรษา กอปรกับหลวงพ่อยิดมีความคิดเห็นว่า ญาติโยมในบริเวณนั้นต้องเดินทางไปทำบุญไกล ท่านจึงตัดสินใจสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ณ ที่ดังกล่าวเมื่อ วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 โดยให้ชื่อว่า สำนักสงฆ์พุทธไตรรัตน์แรกๆ หลวงพ่อยิดปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ เป็นที่อาศัย ท่านค่อยๆ ถากถางเรื่อยไป จนพื้นที่ที่เคยรกดูสะอาดเป็นสัดส่วนขึ้นตามลำดับ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเก่าๆ เมื่อทราบข่าวของท่าน จึงมาช่วยกันพัฒนาจนเป็นรูปเป็นร่าง และได้ขออนุญาตสร้างเป็นวัดเมื่อ วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2527 และได้รับอนุญาตให้ตั้งชื่อว่า วัดหนองจอก โดยใช้ชื่อของท้องถิ่นเป็นชื่อวัด ในปี พ.ศ. 2528งานสาธารณประโยชน์- สร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดดอนยาง อำเภอประทิว จังหวัดชุมพร- สร้างศาลาอนามัยที่บ้านเขาแดง- ร่วมสร้างที่ว่าการอำเภอกุยบุรี- ร่วมสร้างอาคารโรงเรียนดอนกลาง- มอบรถฉุกเฉินรถตู้ พร้อมอุปกรณ์สื่อสาร ให้กับสถานีตำรวจภูธรอำเภอกุยบุรีพ.ศ. 2535 ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูนยุตธรรมสุนทรหลวงพ่อยิด เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์เลื่องลือเป็นที่โจษขานมาตั้ง แต่ท่่านยังเป็นหนุ่ม ท่านศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมหลายแขนงจากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม (วัดประดิษฐนาราม) หลวงตาพูล วัดนาพรม และหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง รวมทั้งวิชาแพทย์แผนโบราณชื่อเสียงของหลวงพ่อยิดเป็นที่รู้จักเพราะวัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างและปลุกเสก มีลูกศิษย์นำไปบูชาล้วนแต่มีประสบการณ์ เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากมาย ทำให้ท่านเป็นที่เคารพศรัทธามากขึ้นเป็นทวีคูณวัตถุมงคลของหลวงพ่อยิดทุกๆ รุ่น ถ้าผ่านการปลุกเสกแล้วเชื่อได้เลยว่าดีแน่ ประชาชนทั่วไปจะรู้จักท่านเกี่ยวกับ ปลัดขิก เพราะท่านสามารถปลุกเสกปลักขิกลุกตั้งได้สามารถพิสูจน์ได้ จึงทำให้ท่านโด่งดังมาก และยิ่งได้มาพบมารู้จักท่านก็ยิ่งเลื่อมใสศรัทธา สำหรับปลัดขิกที่ผ่านการปลุกเสกจากท่าน มีรายละเอียดดังนี้1. ไม่มีคาถากำกับ2. การค้าขาย ใช้เอาไปทิ่มกับของที่ขาย ไม่นานจะเห็นผลและจะค้าขายดีอย่างเทน้ำเทท่า3. งูมีพิษจะอ้าปากไม่ขึ้นถ้าเราเหยียบ หรือนอนทับงูจะตาย4. เรื่องแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ตะขาบ แตน ต่อ แมงป่อง เอาไปวนบริเวณที่ถูกกัดต่อยจะหายเป็นปลิดทิ้งประสบการณ์ปลัดขิกพ.อ.อ.ศักดิ์ชัย ทรงโกมล สังกัด กองบิน 5 ประจวบฯ เล่าว่าลูกชายของเขาตอนอายุประมาณ 11 ขวบ ถูกต่อหัวเสือ 3 ตัว ต่อยเข้าที่ศีรษะ ร้องด้วยความเจ็บปวด จึงนึกถึงหลวงพ่อยิด จึงนำปลัดขิกของหลวงพ่อยิดขึ้นมาอาราธนาแล้วจิ้มลงไปที่บริเวณที่โดนต่อย ปรากฏว่าลูกชายหายปวดและหยุดร้องได้นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าคนจีนทำอัญมณีส่งต่งประเทศ เมื่อส่งของไปแล้วถูกส่งกลับคืนมาอ้างว่าของไม่มีคุณภาพ พ่อค้าท่านนี้กลุ้มใจมาก มีคนนำไปหาหลวงพ่อยิด ท่านจึงมอบปลัดขิกและบอกให้นำไปทิ่มที่ของซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่ถูกส่งกลับคืน แล้วส่งไปอีกครั้ง ปรากฏว่าทางต่างประเทศชมมาว่าของชุดนี้ถูกใจมากปรากฏว่าทางต่างประเทศชมมาว่าของชุดนี้ถูกใจมาก
หลวงพ่อยิดเสกน้ำทะเลจืด
เป็นที่รู้กันของชาว บ้านในแถบทุ่งน้อยและเขาแดงว่า หลวงพ่อยิดเสกน้ำทะเลจืดได้ จากปากคำของคุณวิเชียน อ่วมอ้อ เล่าว่า เมื่อครั้งหลวงพ่อยิดเป็นฆราวาส คุณวิเชียรยังมีอายุได้ 17 ปี ได้ตามหลวงพ่อยิดออกทะเลจับปลา จึงเตรียมน้ำจืดไปไว้ดื่มแต่ไม่เห็นหลวงพ่อยิดเตรียมน้ำไปด้วย ขณะพักกินข้าวกลางวันเห็นหลวงพ่อยิดเอามือกอบน้ำทะเลดื่ม จึงลองดื่มบ้างปรากฏว่า เค็ม บ้วนทิ้งแทบไม่ทัน หลวงพ่อยิดมองแล้วอมยิ้ม จากนั้นท่านจึงเอามือวนในน้ำทะเลเป็นวงกลม แล้วให้คุณวิเชียนเอามือกอบน้ำในวงกลมดื่ม ปรากฏว่าน้ำนั้นไม่เค็มเหมือนน้ำทะเลแต่จืดเหมือนน้ำบ่อ
หลวงพ่อยิดสรงน้ำปีละครั้ง
หลวงพ่อยิด เรียนคาถาเลขยันต์จากอาจารย์ของท่าน อาจารย์บอกว่าตะจ้องรับสัจจะว่าจะอาบน้ำ (สมัยฆราวาส) ปีละครั้ง ท่านก็รับปากอาจารย์จึงสอนวิชาให้ เมื่อท่านเรียนวิชาจบแล้วท่านก็อาบน้ำ จนกระทั่งบวชเป็นพระท่านก็สรงน้ำปีละครั้งตลอดมาในเดือน 4 วันอาทิตย์แรกของข้างแรม
หลวงพ่อยิดสรงน้ำปีละครั้ง ลูกศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธาจะเอาแปรงทองเหลืองขัดตัวท่าน ท่านจะยิ้มเพราะไม่เจ็บไม่ระคายผิวหลังท่านเลย
วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 หลวงพ่อยิดเกิดอาพาธ ปัจจุบันทันด่วน ด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก และได้เข้ารักษาตัวห้อง I.C.U โรงพยาบาบตำรวจ และ มรณภาพลงด้วยอาการสงบ ในวันที่ 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2538 เวลา 03.50 น. คณะศิษย์ได้นำสังขารของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้ว และได้รับพระราชทานเพลิงศพในวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2540 เวลา 14.00 น. ณ เมรุวัดหนองจอก
พระมาพร้อมบัตรรับรองจากนิตยสารท่าพระจันทร์ครับ