รูปเหมือนไอ้ไข่ รุ่นกฐิน ปี2559 เนื้อผง วัดเจดีย์ + พร้อมบัตรรับรองDDพระ
ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ เนื้อผงพุทธคุณดำ รุ่นกฐิน59 วัดเจดีย์ อ.สิชล จ.นครสีธรรมราช กุมารเทพแห่งศรัทธาแดนใต้ นับถอยหลังไปเกือบ ๓๐๐ ปี ครั้นกรุงศรีอยุทธยาเป็นราชธานี มีเถระแห่งดินแดนศรีวิชัย ผู้คนต่างเรียกขานท่านในนาม "หลวงปู่ทวด" ได้เดินทางธุดงค์มุ่งสู่เมืองหลวง ครั้งมาถึงฐานถิ่นวัดเจดีย์ ด้วยมีสหายธรรม ผู้เรียนวิชาธรรมยังเมืองคอน นามว่า "ขรัวทอง" เลยถือโอกาสแวะเยี่ยมเยือน มิลืมเลือนว่าสหาย เป็นสมภารเจ้าวัดอยู่
ในการนั้น "หลวงปู่ทวด" เอง ได้นำพากายาเด็กชาย หมายให้ปรนนิบัติ ด้วยเห็นว่าฐานถิ่นนี้ต่อไป จะศิวิไลเจริญรุ่งเรือง จึงบอกเด็กชายผู้นั้นว่า.. "เจ้าจงอยู่ที่นี้เถิด จะก่อเกิดผลดี มีความหมาย ด้วยเจ้าจงเฝ้าสู่ดังคำเราทำนาย ให้หมั่นหมายเจริญในเชิงธรรม"
แล้วกำชับเพื่อนธรรม ขอฝากเด็กชายผู้นี้ด้วย จากนั้นก็เดินทางธุดงค์ต่อไป ยังอยุทธยาราชธานี เด็กชายจึงกลายกลับ เป็นเด็กวัดเจดีย์ นับจากนั้นเป็นต้นมา ดังมีเรื่องราวในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช.. กล่าวถึง เหตุการณ์ครั้นเจ้าพระยาคืนเมือง มีท้องตรามายังเมือง "อลอง" (ต.ฉลอง ในปัจจุบัน) มีบันทึกว่า..
"มาถึงเมืองอลอง แวะพักหนึ่งคืน นมัสการสมภารทอง มีศิษย์เกะกะชื่อไอ้ไข่เด็กวัด.." ถึงจะเป็นเด็กเกะกะซุกซน แต่ไอ้ไข่ก็เปี่ยมด้วยอนุภาพพิเศษ แปลกแตกต่างจากเด็กทั่วไป ชอบช่วยเหลือผู้คน หากใครมีปัญหาที่หมดปัญญาที่จะแก้ไข เป็นต้องมาออกปากไอ้ไข่ทุกคราไป จึงไม่มีใครเกียดชังถึงจะซุกซนเกเร
ด้วยเป็นเด็กที่จริงจัง ทั้งวาจา และจิตใจ รับปากใครแล้วเป็นต้องทำให้ได้ ถึงจะเป็นอันตรายก็ตาม ว่ากันว่าควายตัวไหนพยศ หากไอ้ไข่จับหางติดจะไม่ปล่อยเป็นเด็ดขาด ถึงควายจะวิ่งอย่างไร จนควายตัวนั้นต้องละพยศหมดฤทธิ์ ไอ้ไข่ จึงกลายเป็นเด็กที่เป็นขวัญใจของคนในยุคนั้น
เด็กชายอยู่วัดเจดีย์ จนวันหนึ่งรู้ด้วยญาณของเด็กศักดิ์สิทธิ์ ว่าพระอาจารย์เราจะเดินทางกลับ ครันจะอยู่รอรับก็กลัวท่านจะพาตัวกลับไป ด้วยสัจจะวาจาที่ให้ไว้ ว่าจะอยู่ดูแลสถานที่นี้ จึงเดินมุ่งหน้าลงในสระ หมายสละกายเหลือเพียงจิต เพื่อสิงสถิตย์ดูแล ดังคำที่ได้ให้ไว้กับ "หลวงปู่ทวด"
จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเด็กชายคนนั้นอีกเลย ไม่พบแม้แต่ร่าง ไม่เห็นแม้แต่เงา ด้วยพลีกายละสังขาร เหลือแต่ดวงวิญาณรักษาฐานถิ่น