พระนาคปรก หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท เนื้อผงพุทธคุณ มีลงในหนังสือประวัติหลวงพ่อกวยครับ หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท ยอดพระเกจิอาจารย์แห่งยุคกึ่งพุทธกาล หลวงพ่อท่านมีปฏิปทาและจริยาวัตรที่งดงาม หลวงพ่อสำเร็จญานชั้นสูงมีพลังจิตกล้าแข็ง แม้แต่หลวงปู่โต๊ะท่านก็ยังชื่นชมในพลังจิตของหลวงพ่อในครั้งที่เคยร่วมพิธีมหาพุทธาภิเศกวัตถุมงคลด้วยกัน หลวงพ่อท่านยังมีพระเวทย์วิทยาคมที่กล้าแกร่ง มีวิชาอาคมสุดเข้มขลัง วัตถุมงคลที่หลวงพ่อสร้างขึ้นและทำการปลุกเสกนั้น เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา และผู้ที่ศรัทธาหลวงพ่อว่า เป็นสุดยอดของดี เป็นสุดยอดแห่งวัตถุคลที่สร้างขึ้นเพื่อหวังผลทางด้านพุทธคุณชนิดที่แรงมาก เห็นผลและหวังพึ่งพุทธคุณได้แน่นอน ผู้ที่ใช้บูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อต่างมีประสบการณ์ให้เห็นกันทุกคน เป็นที่เล่าขานกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ในมหาพุทธานุภาพที่หลวงพ่อปลุกเสกไว้ในวัตถุมงคลการปลุกเสกของหลวงพ่อ ท่านจะปลุกเสกตามฤกษ์มงคลก่อน แล้วจึงปลุกเสกด้วยฤกษ์โจร ฤกษ์บุญพญามาร คือวัตถุมงคลของท่าน คนดีก็ใช้ โจรก็ใช้ ท่านมีวิธีปลุกเสกที่ลึกซึ้งมาก ท่านจะปลุกเสกตอน เช้า สาย บ่าย เย็น หัวค่ำ เที่ยงคืน ก่อนสว่าง ท่านจะปลุกเสกทุกวันเพื่อป้องกันคนชะตาขาดใช้ คือวันจันทร์ ถึงอาทิตย์ วันไหนอ่อนยิ่งต้องปลุกเสกให้มาก
ยังมีรายการพระที่น่าสนใจอีกหลายรายการ เข้าไปดูได้โดยคลิกที่ตัว พระสวย ปีลึก ที่สำคัญราคาไม่แพงครับ รบกวนผู้ชนะประมูลยืนยันการโอนเงินมาทางเมล์บอกซ์ด้วยนะครับ เพื่อสะดวกและรวดเร็วในการจัดส่งพระให้ท่าน ขอบพระคุณมากครับ
เวปประมูลก็ต้องเคาะประมูล ชิมิๆ เคาะกันวันละนิดจิตแจ่มใส พี่ๆแต่ละท่านก็มี ((( สไตล์ ))) ที่แตกต่างกัน อย่าว่างั้นงี้เลย ปอดกับหัวใจนู๋ไม่ค่อยแข็งแรง " พี่ๆคงไม่ปล่อยให้นู๋เร้าใจอยู่คนเดียวนะคร๊าบบบ " พี่ๆแวะชมดูแล้วล็อคอินกันรึยังจ๊ะ วันนี้เปิด พรุ่งนี้ปิด ??? ลับแป้นรอกันเร้ยยย..ไม่เก็บวันนี้วันหน้าจะไม่มีให้เก็บนะจ๊ะ พิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 20 ตุลาคม 2531 (ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 11 ) โดยอาราธนาพระเกจิอาจารย์ ทั่วประเทศ จำนวน108รูป มาร่วมพิธี สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศ เป็นประทานจุดเทียนชัย พระสมเด็จวัดเกศไชโย รุ่นประวัติศาสตร์ ปี2531 เนื้อผง ((( พิมพ์ฐาน 6 ชั้นนิยม ))) เก่าตามสภาพ ...คลาสสิคสุดๆ ควรค่าแก่การบูชา น่าสะสมจังเลย คร๊าบ... มีข้อมูลดี ดี พี่ๆแวะมาศึกษาร่วมกัน อ่านกันเพลินๆนะคร๊าบ ประวัติจัดสร้างพระสมเด็จ รุ่น ประวัติศาสตร์ หลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์(หลวงพ่อโต) สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังษี) เมื่อร้อยกว่าปีเศษมาแล้ว พระมหาพุทธพิมพ์ได้ลงรัก ปิดทอง แต่กาลเวลาผ่านมาถึงเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2470 ท่านมีความประสงค์ที่จะลงรัก ปิดทองใหม่ จึงได้ทำการลอกทองออกจากองค์พระ แต่ปรากฏต่อมา ท่านนำไปเรี่ยไร เพื่อนำปัจจัยมาซื้อทองปิดองค์ หลวงพ่อ และแล้วท่านได้มรณภาพเสียก่อน นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีผู้ใด จะทำการลงรัก ปิดทองได้ จนมาถึง พ.ศ. 2531 ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน “พระวิสิฐนิมมานการ” (แฉล้มจนฺทวณฺโณ) ได้ริเริ่ม ที่จะปิดทองหลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์ เหตุการณ์มหัศจรรย์ได้ปรากฏขึ้น คือ หลวงพ่อมหาพุทธพิมพ์ได้ไปเข้าฝัน ดร.เถลิง เหล่าจินดาบอกว่าขณะนี้ยังไม่ได้ปิดทอง ดังนั้นท่านเจ้าอาวาส กับ ดร.เถลิง เหล่าจินดา พร้อมด้วยข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน จึงร่วมกัน ทำพิธีลงรัก ปิดทอง และก่อนที่จะลงรัก ปิดทอง ต้องกะเทาะ ลอกทองเก่าออกจากองค์ หลวงพ่อพุทธพิมพ์ก่อน ขณะที่ทำการกะเทาะองค์อยู่นั้น ท่านเจ้าอาวาสได้นิมิต ว่า หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) มาบอกว่าผงและทองคำ ที่เอาออกมาจากองค์นั้น ควรจะนำไปทำพระสมเด็จ (ทองคำนำไปผสมกับพระทองคำ) เพื่อให้ประชาชนนำไปบูชา ท่านเจ้าอาวาสจึงได้ ปรึกษากับคณะกรรมการวัด และพร้อมใจกันสร้างพระสมเด็จรุ่นนี้ขึ้นมาให้ชื่อว่า “สมเด็จรุ่นประวัติศาสตร์” ที่ให้ชื่ออย่างนี้ เพราะโอกาสที่จะนำผงจากองค์ หลวงพ่อมาทำพระสมเด็จคงไม่มีอีกแล้ว ในชีวิตของพวกเรานี้ ก่อนที่จะทำการ สร้างพระสมเด็จชุดนี้นั้น นายช่างทำพระสมเด็จ ได้ปรารภกับเจ้าอาวาสว่า ถ้าได้พระประสกมาผสมกับผงอีก ก็จะเป็นการเพิ่ม พุทธานุภาพของพระสมเด็จชุดนี้ให้มากขึ้นในอดีตประสกของพระมหาพุทธพิมพ์เคยล่วงมา แล้วใน พ.ศ. 2521 จำนวน 1 อัน และ พ.ศ.2531 ช่างมาสำรวจ ปรากฏว่าชำรุดอีก 1 อัน เจ้าอาวาสเลยได้ ตั้งกัลยาจิตอธิฐานว่า ถ้าจะทำพระสมเด็จชุดนี้สำเร็จแล้วให้ หลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์ ประทานประสกเพิ่มขึ้นอีก ปรากฏว่าเมื่อสำรวจแล้ว ครั้งสุดท้ายก่อน ซ้อมพระมหาพุทธพิมพ์ ประสกชำรุด 47 อัน อาจจะเป็นเพราะ แรงอธิษฐานหรือเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ฉะนั้น ท่านเจ้าอาวาส และคณะกรรมการวัดจึงได้ จัดพิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 20 ตุลาคม 2531 (ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 11 ) โดยอาราธนาพระเกจิอาจารย์ ทั่วประเทศ จำนวน108รูป มาร่วมพิธี สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศ เป็นประทานจุดเทียนชัย (เพื่อความอุ่นใจ..พี่ๆลองเช็คราคานอกเวปดูก่อนเข้าร่วมประมูลนะคร๊าบบบ ^_^) หมายเหตุ ทุกข้อสงสัยล้วนมีคำตอบ สงสัยเรื่องใดเมล์ถามข้อมูลได้เลยคร๊าบบบ พี่ๆ ชาวดี ดี..... *** จัดส่งพระตามรูป รับประกันตามกฎเวป *** ผู้ชนะการประมูลโอนเงินแล้วรบกวนฝากข้อความในกล่องข้อความหรือโทร.แจ้งก็ได้นะครับ เพื่อความรวดเร็วในการจัดส่ง จัดส่งไปรษณีย์ลงทะเบียน ปลอดภัย ไร้กังวล คร๊าบ... ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเยี่ยมชมหรือเข้าร่วมการประมูล ขอบพระคุณคร๊าบบบ ^_^
เวปประมูลก็ต้องเคาะประมูล ชิมิๆ เคาะกันวันละนิดจิตแจ่มใส พี่ๆแต่ละท่านก็มี ((( สไตล์ ))) ที่แตกต่างกัน อย่าว่างั้นงี้เลย ปอดกับหัวใจนู๋ไม่ค่อยแข็งแรง " พี่ๆคงไม่ปล่อยให้นู๋เร้าใจอยู่คนเดียวนะคร๊าบบบ " พี่ๆแวะชมดูแล้วล็อคอินกันรึยังจ๊ะ วันนี้เปิด พรุ่งนี้ปิด ??? ลับแป้นรอกันเร้ยยย..ไม่เก็บวันนี้วันหน้าจะไม่มีให้เก็บนะจ๊ะ พิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 20 ตุลาคม 2531 (ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 11 ) โดยอาราธนาพระเกจิอาจารย์ ทั่วประเทศ จำนวน108รูป มาร่วมพิธี สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศ เป็นประทานจุดเทียนชัย พระสมเด็จวัดเกศไชโย รุ่นประวัติศาสตร์ ปี2531 เนื้อผง ((( พิมพ์ฐาน 9 ชั้น ))) เก่าตามสภาพ ...คลาสสิคสุดๆ ควรค่าแก่การบูชา น่าสะสมจังเลย คร๊าบ... มีข้อมูลดี ดี พี่ๆแวะมาศึกษาร่วมกัน อ่านกันเพลินๆนะคร๊าบ ประวัติจัดสร้างพระสมเด็จ รุ่น ประวัติศาสตร์ หลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์(หลวงพ่อโต) สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังษี) เมื่อร้อยกว่าปีเศษมาแล้ว พระมหาพุทธพิมพ์ได้ลงรัก ปิดทอง แต่กาลเวลาผ่านมาถึงเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2470 ท่านมีความประสงค์ที่จะลงรัก ปิดทองใหม่ จึงได้ทำการลอกทองออกจากองค์พระ แต่ปรากฏต่อมา ท่านนำไปเรี่ยไร เพื่อนำปัจจัยมาซื้อทองปิดองค์ หลวงพ่อ และแล้วท่านได้มรณภาพเสียก่อน นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีผู้ใด จะทำการลงรัก ปิดทองได้ จนมาถึง พ.ศ. 2531 ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน “พระวิสิฐนิมมานการ” (แฉล้มจนฺทวณฺโณ) ได้ริเริ่ม ที่จะปิดทองหลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์ เหตุการณ์มหัศจรรย์ได้ปรากฏขึ้น คือ หลวงพ่อมหาพุทธพิมพ์ได้ไปเข้าฝัน ดร.เถลิง เหล่าจินดาบอกว่าขณะนี้ยังไม่ได้ปิดทอง ดังนั้นท่านเจ้าอาวาส กับ ดร.เถลิง เหล่าจินดา พร้อมด้วยข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน จึงร่วมกัน ทำพิธีลงรัก ปิดทอง และก่อนที่จะลงรัก ปิดทอง ต้องกะเทาะ ลอกทองเก่าออกจากองค์ หลวงพ่อพุทธพิมพ์ก่อน ขณะที่ทำการกะเทาะองค์อยู่นั้น ท่านเจ้าอาวาสได้นิมิต ว่า หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) มาบอกว่าผงและทองคำ ที่เอาออกมาจากองค์นั้น ควรจะนำไปทำพระสมเด็จ (ทองคำนำไปผสมกับพระทองคำ) เพื่อให้ประชาชนนำไปบูชา ท่านเจ้าอาวาสจึงได้ ปรึกษากับคณะกรรมการวัด และพร้อมใจกันสร้างพระสมเด็จรุ่นนี้ขึ้นมาให้ชื่อว่า “สมเด็จรุ่นประวัติศาสตร์” ที่ให้ชื่ออย่างนี้ เพราะโอกาสที่จะนำผงจากองค์ หลวงพ่อมาทำพระสมเด็จคงไม่มีอีกแล้ว ในชีวิตของพวกเรานี้ ก่อนที่จะทำการ สร้างพระสมเด็จชุดนี้นั้น นายช่างทำพระสมเด็จ ได้ปรารภกับเจ้าอาวาสว่า ถ้าได้พระประสกมาผสมกับผงอีก ก็จะเป็นการเพิ่ม พุทธานุภาพของพระสมเด็จชุดนี้ให้มากขึ้นในอดีตประสกของพระมหาพุทธพิมพ์เคยล่วงมา แล้วใน พ.ศ. 2521 จำนวน 1 อัน และ พ.ศ.2531 ช่างมาสำรวจ ปรากฏว่าชำรุดอีก 1 อัน เจ้าอาวาสเลยได้ ตั้งกัลยาจิตอธิฐานว่า ถ้าจะทำพระสมเด็จชุดนี้สำเร็จแล้วให้ หลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์ ประทานประสกเพิ่มขึ้นอีก ปรากฏว่าเมื่อสำรวจแล้ว ครั้งสุดท้ายก่อน ซ้อมพระมหาพุทธพิมพ์ ประสกชำรุด 47 อัน อาจจะเป็นเพราะ แรงอธิษฐานหรือเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ฉะนั้น ท่านเจ้าอาวาส และคณะกรรมการวัดจึงได้ จัดพิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 20 ตุลาคม 2531 (ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 11 ) โดยอาราธนาพระเกจิอาจารย์ ทั่วประเทศ จำนวน108รูป มาร่วมพิธี สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศ เป็นประทานจุดเทียนชัย (เพื่อความอุ่นใจ..พี่ๆลองเช็คราคานอกเวปดูก่อนเข้าร่วมประมูลนะคร๊าบบบ ^_^) หมายเหตุ ทุกข้อสงสัยล้วนมีคำตอบ สงสัยเรื่องใดเมล์ถามข้อมูลได้เลยคร๊าบบบ พี่ๆ ชาวดี ดี..... *** จัดส่งพระตามรูป รับประกันตามกฎเวป *** ผู้ชนะการประมูลโอนเงินแล้วรบกวนฝากข้อความในกล่องข้อความหรือโทร.แจ้งก็ได้นะครับ เพื่อความรวดเร็วในการจัดส่ง จัดส่งไปรษณีย์ลงทะเบียน ปลอดภัย ไร้กังวล คร๊าบ... ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเยี่ยมชมหรือเข้าร่วมการประมูล ขอบพระคุณคร๊าบบบ ^_^
ชีวประวัติ หลวงพ่อแพ กำเนิดใน วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2448 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือนยี่ ปี มะเส็ง ณ ต.สวนกล้วย อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี บิดาของหลวงพ่อชื่อ นายเทียน มารดาชื่อ นางหน่าย ใจมั่นคง มีพี่น้อง ร่วมสายโลหิต 4 คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้อง แต่เมื่อท่านได้อายุ 8 เดือน มารดาก็เสียชีวิต หลังจากที่มารดา ท่านจากไปแล้ว นายบุญ ขำวิบูลย์ ผู้เป็นอา และ นางเพียร ภรรยา จึงได้ได้ขอหลวงพ่อมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม การศึกษา เมื่อท่านอายุได้ 11 ปี พ่อแม่บุญธรรม ได้นำท่านไปฝาก กับ สมภารพันธ์ เจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ท่านได้ศึกษาจนพอรู้หนังสือบ้าง ประมาณ 3 เดือน สมภารจึง ให้พระอาจารย์ ป้อม จันทสุวัณโณ ซึ่งเป้นพระลูกวัดใ ที่มีความรู้ทางภาษาไทยและ ขอมอย่างแตกฉาน ทำให้หลวงพ่อมีความเชี่ยวชาญ รอบรู้ ทางด้าน ภาษา คัมภีร์พระธรรม พระสูตร พระมาลัย และเขียนจารึกอักษรขอมได้อย่างงดงาม ปี พ.ศ.2461 เพื่อนของบิดาบุญธรรมของท่าน มีความประสงค์ ให้ส่งหลวงพ่อมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เพื่อ มาศึกษา ต่อ และ มาอยู่เป็นเพื่อนกับลูกชายของตนที่วัดชนะสงคราม บิดามารดาของหลวงพ่อจึงได้บอกกล่าวความให้ท่านทราบ ท่านจึงรับปากว่าจะไปเรียนต่อตามความประสงค์ เมื่อมาอยู่วัดชนะสงคราม หลวงพ่อจึงได้เรียน สูตรสนธิ (อัตโถ อักขระสัญญโต ฯ) กับพระอาจารย์สม อยู่ 1 ปี ต่อมาท่านเห็นว่าบาลีไวยากรณ์ง่ายกว่า จึงได้เปลี่ยนไปเรียน บาลีฯ ที่วัดมหาธาตุฯ ต่อมาปี พ.ศ. 2463 ท่านมีอายุได้ 16 ปี ได้เดินทางกลับ จ.สิงห์บุรี เพื่อเยี่ยม บิดาผู้ให้กำเนิดและบิดามารดาบุญธรรม ๆของท่านเห็นว่าท่านโตแล้ว จึงได้ร่วมบรรพชาเป็นสามเณร ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2463 โดยมี พระอธิการพันธ์ เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้น ท่านก็เดินทางกลับมายังวัดชนะสงคราม อยู่กับ พระอาจารย์เทศ คณะ10 ต่อมาไม่นานทางบ้านก็ส่งข่าวมาบอกว่า โยมเทียน บิดาผู้ให้กำเนิดถึงแก่กรรม จึงเดินทางกลับไปสิงห์บุรี เพื่อ จัดการศพบิดา แล้วกลับมา อยู่ที่คณะ 10 เช่นเดิม ปี พ.ศ.2466 หลวงพ่อสอบนักธรรมตรีได้ (ในสมัยนั้นผู้เข้าสอบ ต้องอายุ 19 ปีจึงจะมีสิทธิ์ เข้าสอบได้) ปี พ.ศ.2468 สามารถสอบเปรียญธรรม 3 ประโยค ได้ตั้งแต่เป็นสามเณร นับว่าได้นำเกียรติมาสู่วัดชนะสงคราม เป็นอย่างมาก จากนั้นหลวงพ่อได้ไปเล่าเรียนที่ วัดมหาธาตุฯ โดยเป็นศิษย์ ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ปี พ.ศ. 2469 ท่านอายุ ได้ 21 ปี จึงอุปสมบท อย่างสมเกียรติสามเณรเปรียญ ซึ่งในสมันนั้น หาได้ไม่มากนัก เมื่อวันที่ 21 เมษายน ณ พระอุโบสถวัดพิกุลทอง โดยมี พระมงคลทิพย์มุนี วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ซึ่งภายหลังอุปสมบทแล้วหลวงพ่อได้กลับมาอยู่วัดชนะสงครามตามเดิม และในปีเดียวกันหลวงพ่อนักธรรมชั้นโทได้ ปี พ.ศ. 2470 หลวงพ่อสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยคได้ แต่หลังจากนี้ไม่นานหลวงพ่อ ก็จำเป็น ต้องหยุดศึกษา เนื่องด้วยปัญหาทางด้านสายตาเนื่องจาก จะเห็นได้ว่า ท่านได้มีวิริยะ อุตสาหะในการศึกษาตั้งแต่เด็ก โดยถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญต่อปฏิบัติธรรมให้ได้ถูกต้อง ทำให้หลวงพ่อคร่ำเคร่ง ในการอ่านหนังสือ ในที่แสงสว่างไม่เพียงพอ เพราะในสมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มีใช้ จำเป็นต้องใช้แสงสว่างจากเทียน หรือตะเกียง นัยน์ตา ซึ่งได้ตรากตรำจากการดูหนังสือมากเกินไป เกิดอาการตาอักเสบแดง ปวดแสบ นายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ จึงแนะนำให้ท่านหยุด ใช้สายตา มิฉะนั้นนัยน์ตาอาจจะพิการ จึงเป็นที่เสียดายเป็นอย่างยิ่งของท่านเพราะหลวงพ่อ ตั้งใจไวมุ่งมั่นในการศึกษามาก ระหว่าง ปี พ.ศ.2471-2472 ได้รับหน้าที่เป็นครูสอนบาลี โดยสอนตามคณะต่างๆ ของวัดชนะสงคราม รับเป็นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ปี พ.ศ. 2474 เจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ได้ลาสิกขาบท ทำตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง ชาวบ้านพิกุลทองและจำปาทองได้ร่วมกันปรึกษา ที่จะขอให้ท่านมารับเป็นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ขณะนั้นหลวงพ่อได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบิดาและญาติพี่น้อง ซึ่งท่านได้พักที่วัดพิกุลทอง ท่านจึงเห็นว่า เป็นวัดพิกุลทองบ้านเกิดเมืองนอน ตอนนี้ เสนาสนะชำรุดทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะพระอุโบสถซึ่งสร้างมา ตั้งแต่ พ.ศ.2440 และขณะนั้นท่านได้หยุดพักรักษานัยน์ตา ประสงค์จะพักผ่อนหาความสงบ คิดว่าเมื่อตาหายดีแล้ว ก็จะศึกษาบาลีลันักธรรมต่อตามความตั้งใจเดิม จึงรับปากว่าจะมาอยู่วัดพิกุลทอง ในระหว่างที่ยังว่างเจ้าอาวาสอยู่ปี พ.ศ. 2482 คณะสงฆ์แต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลถอนสมอ และในปีเดียวกันหลวงพ่อพิจารณาเห็นว่าพระอุโบสถชำรุดทรุดโทรมมาก พระสงฆ์ประกอบพิธีสังฆกรรมแต่ล่ะครั้ง ต่างกลัวไม้หลังคากระเบื้องหล่นถูกศีรษะ ไม่มีจิตเป็นสมาธิ จึงเริ่มคิดที่จะปฏิสังขรพระอุโบสถ เริ่มเรียนจิตศาสตร์ เมื่อท่านอายุประมาณ 24-25ปี สมัยยังศึกษาอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านได้เริ่มสนใจในทางปฏิบัติ เพื่อหา ความสงบทางใจ จึงเข้าอบรมและปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานในสำนัก พระครูภาวนาฯ วัดพระเชตุพนฯ(วัดโพธิ์ท่าเตียน) ได้ความรู้ในแถวทางปฏิบัติมาพอสมควร และยังได้ศึกษาจากท่านอาจารย์พระครูใบฎีกา เกลี้ยง วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งเป็นพระฐานานุกรม และศิษย์ ผู้ใกล้ชิด สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ฯ (ซึ่งทางเชี่ยวชาญ ทางด้าน สร้าง-ลบผง พุทธคุณ พระครูใบฎีกา เกลี้ยงท่านได้เมตตาสั่งสอนอบรมและมอบตำราเกี่ยวกับจิตศาสตร์วิทยาคมให้ ต่อมาทราบว่าในท้องที่ อำเภอบางระจันมีพระอาจารย์เรืองวิทยาคมอยู่รูปหนึ่ง มีคนนับถือและเกรงกลัวมาก เพราะวาจาศักดิ์สิทธิ์ ชื่อหลวงพ่อศรี เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ หลวงพ่อจึงได้เดินทาง ไปฝากตัวเป็นศิษย์จนมี ความสามารถและเป็นที่โปรดปรานของหลวงพ่อศรี เป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อเล่าว่า หลวงพ่อศรี เมตตาสอนวิทยาคมให้อย่างไม่ ปิดบังอำพราง และในขณะที่ก่อสร้างพระอุโบสถ หลวงพ่อศรีท่านก็แนะนำให้ หลวงพ่อแพ สร้างแหวน และทุกครั้งที่พลวงพ่อแพท่านได้สร้างเสร็จ ท่าจะนำไปถวายหลวงพ่อศรีปลุกเสก (หลวงพ่อแพ ท่านถามหลวงพ่อศรีว่าสร้างแล้วคนนิยมกันไหม หลวงพ่อศรี ท่าน บอกว่านิยมมาก ให้สร้างมากๆ ท่านจะสนับสนุน) ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อศรีนี้เอง ทำให้หลวงพ่อได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ได้สำเร็จ ในเวลา 2 ปีเศษ หล่อสมเด็จทองเหลือง เมื่อหลวงพ่อมีบารมีมากขึ้นตามลำดับ วัดหลายวัดต่างนิมนต์ ท่านเป็นประธานในการก่อสร้างวัด วิหาร ถาวรวัตถุต่างๆมากมายหลายวัด และ เมื่อ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 ทางวัด แถบ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ก้อได้นิมนต์ท่านร่วมงาน หลวงพ่อเล่าว่า ท่านเพลียมากจึงชวนศิษย์ไปจำวัด ที่หอสวดมนต์ โดยมีคนหลายนอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนนอนท่านเอาผ้าอาบน้ำฝนใส่ไว้ในย่าม จึงรู้สึกว่าย่ามใหญ่ คิดว่าคนที่นอนอยู่คงเข้าใจว่าเป็นเงิน ด้วยความอ่อนเพลียท่านจึงหลับไป พอท่านตื่นจากจำวัดเวลาเช้ามืด พบว่าย่ามหายไปแล้ว จึงแจ้งทางวัดทราบ สำหรับสิ่งของในย่าม มีเพียงของเล็กๆน้อยๆ แต่ของที่สำคัญก็คือ พระสมเด็จวัดระฆังฯ ซึ่งได้รับจากสมบัติของโยมวัดชนะสงคราม จึงเป็นของที่แท้ และทรงคุณค่าทางด้านจิตใจของหลวงพ่อมาก ท่านจึงเสียดายเป็นอย่างมาก ญาติโยมช่วยกันติดตาม ปรากฏว่าได้รับของอื่นคืนครบทุกชิ้น ยกเว้นพระสมเด็จ สอบถามผู้ขโมยได้ความว่าได้นำไปขายให้บุคคลไม่ทราบชื่อ ไม่สามารถติดตามคืนได้หลวงพ่อเล่าว่าท่านเสียดายมาก ระหว่างนั้นต้องไปขอยืมสมเด็จวัดระฆังจาก อาจารย์หยด ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาส มาติดตัวไปก่อนด้วยความเคารพในบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เป็นอย่างยิ่ง ทำให้หลวงพ่อ อธิษฐานขอบารมี ณ วัดไชโยวรวิหาร ขอสร้างพระโลหะพิมพ์สมเด็จ ขึ้นใช้เอง และแจกจ่ายให้กับผู้เคารพศรัทธา ในปี 2494 ประมาณเดือน 6 โดยนำช่างมาเททองหล่อ ที่ด้านใต้ โบสถ์หลังเก่า ได้รับโลหะจากผู้ที่มาร่วมพิธี นำมาหล่อเช่น เครื่องเงิน ขันลงหิน โต๊กทาน เชียนหมาก ตะบันหมาก สตางค์แดง สตางค์ข้าว สตางค์สิบ ทองเหลือง เป็นจำนวนมาก ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2484 หลวงพ่อได้รับ สมณศักดิ์ พระครูสัญญาบัตรตำแหน่ง พระครูผู้จัดการทางประปริยัติธรรมและพระธรรมวินัย ที่ พระครูศรีพรหมโสภิต ในปี พ.ศ. 2486 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง ในปี พ.ศ. 2506 ได้รับตำแหน่ง ให้รักษาการเจ้าคณะอำเภอท่าช้าง และ ปี พ.ศ.2509 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอท่าช้าง ไปประเทศอินเดีย ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่คับคั่ง ไปด้วยศิษยานุศิษย์ เกือบจะเต็มศาลา การเปรียญ วันนั้นหลวงพ่อได้กล่าวออกมาด้วยความปิติต่อชุมชนว่า การเดินทางไปอินเดียครั้งนี้ เสมือนกับ บุตรไปเยี่ยมภูมิประเทศบิดา เพื่อเป็นการถวายสักการะ เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ ในเมื่อมีโอกาสก็ควรจะกระทำ การเดินทางในครั้งนี้จะประกอบกิจเป็นกรณีพิเศษ 2อย่างคือ ประการที่หนึ่ง เพื่อตั้งใจนมัสการสังเวชนียสถาน ทั้ง 4 ตำบลอันได้แก่ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่ปฐมเทศนา และ สถานที่ปรินิพพาน ซึ่งนับว่าเป็นมหากุศลพิเศษ ประการที่สอง เพื่อเดินทางไปสร้าง พระสมเด็จรุ่นพิเศษ พิมพ์ปรกโพธิ์ เนื้อมวลสารประกอบด้วยผงวิทยาคม ที่(ได้ลบผง)สะสมไว้แล้ว จะผสมดินที่พระพุทธเจ้าของเรา ประสูติ ตรัสรู้ และปฐมเทศนาด้วย เวลา 14.00น. หลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถ นมัสการพระประธานแล้ว ไปนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ณ วิหารสมเด็จของวัด แล้วเดินทางเข้ากรุงเทพ พักที่วัดชนะสงคราม คณะ 10 หนึ่งคืน วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ถึง ประเทศอินเดีย จากนั้นเที่ยวชมสถานที่ต่างๆของอินเดีย และเดินทางสู่ พุทธคยาในตอนค่ำ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ได้เดินทางไป นมัสการต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ ตรัสรู้ พหลวงพ่อและคณะได้นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงแล้ว ได้เริ่มผสมผงเพิ่อพิมพ์ สมเด็จปรกโพธิ์เป็นปฐมฤกษ์ หลวงพ่อท่านได้นั่งสมาธิจิตรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย เสกพิมพ์พระปรกโพธิ์ แล้วจึงกดพิมพ์ ด้วยจิตที่มุ่งส่งกระแสจิตเพื่อบรรจุในองค์พระ ณ ควงไม้โพธิ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ว่าพิมพ์ปรกโพธิ์ที่สร้างขึ้น มีมงคลฤกษ์ ณ สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ก่อให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้นำไปบูชา เวลา 11.00 เดินทางกลับมาที่วัดไทยพุทธคยา เพื่อฉันภัตตาหารเพล พักผ่อนพอสมควรแล้ว ตอนบ่าย หลวงพ่อได้เดินทางไปที่ ณ ควงต้นศรีมหาโพธิ์อีกครั้งหนึ่งเพื่อนมัสการ เป็นคำรบสองและปลุกเสกพิมพ์พระ และผงที่ผสมในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์โดยประสงค์เพื่อจะนำกลับมาเพื่อเป็นชนวนผสม สร้างพระให้พอเพียงแก่ผู้มีจิตศรัทธาในตัวหลวงพ่อ จะได้นำไปบูชาสักการะและติดตัว เพื่อคุ้มครองทุกหนทุกแห่ง และหลังจากนั้นหลวงพ่อได้เดินทางไปยัง สถานที่ปฐมเทศนา ปรินิพพาน และประสูติ ตามลำดับ และยังได้เดินทางไปตามสถานที่สำคัญต่างๆอีกมากมาย ท่านได้เดินทางกลับประเทศไทย ในวันที่ 9 มี.ค. 2514 ใช้เวลาเดินทางรวม 13 วัน บูรณะค่ายบางระจัน ค่ายบางระจันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประจักษ์ แก่ประชาชนท้องถิ่นและผู้ไปเที่ยวชมมากต่อมาก โดยเฉพาะก้อนอิฐ ซึ่งแต่ละก้อนจะประทับดอกจันทร์ไว้ ชาวบ้านเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่งและต้นไม้แดง ซึ่งมีมากบริเวณค่าย ไม่มีใครสามารถตัดได้ แม้แต่กิ่งแห้งเหี่ยวหักตกลงมา ชาวบ้านหรือแม้กระทั่งพระในวัด นำไปเป็นฟืนหุงต้มยังวิบัติ และสิ่งสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่างหนึ่งก็คือสระน้ำหน้าวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ สมัยก่อนมีปลาชุมคลักอยู่ก้นบ่อ ผู้ใดจับไปกินจะเกิดอาเพศต่างๆ แม้น้ำในบ่อเคยมีคนนำไปเติมหม้อน้ำรถ หม้อน้ำก็ยังระเบิด ชาวบ้านบางระจันจึงพร้อมใจยอมรับกันว่า มีแต่หลวงพ่อเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำในการบูรณะครั้งนี้ โดยแต่เดิมท่านก็ได้ดูแลมาตั้งแต่ พ.ส.2488 จนในปีพ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรีมีมติ แต่งตั้งให้ท่านเป็นกรรมการฟื้นฟูและบูรณะค่ายบางระจัน และปลูกต้นโพธิ์ อีก 8 ต้น รวมกับ ต้นเก่าที่มีอยู่แล้ว อันเป็นสัญลักษณ์ของวักโพธิ์เก้าต้น ไปศรีลังกา วันที่ 21 พฤษภาคม 2515 หลวงพ่อท่านได้เดินทางไปกับคณะพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เพื่อไปร่วมประชุมและสังเกตการณ์ โดยมีพุทธศาสนิกชนจากหลายประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ประเทศศรีลังกา ซึ่งการเดินทางครั้งนี้หลวงพ่อแพท่านได้ประทับพิมพ์พระสมเด็จฐานสิงห์เป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2515 ณ วัดศรีมหาโพธิ์ สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ หลวงพ่อแพ ท่านได้ตัดสินใจสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ในวันเพ็ญเดือน 3 ตรงกับวันมาฆบูชา เพื่อให้ เพียงพอสำหรับ พระภิกษุและสามเณรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และในวันสำคัญในศาสนา ประชาชน จะได้มีโอกาสเข้าร่วม บำเพ็ญกุศลในพระอุโบสถได้มากขึ้นด้วย แต่อุปสรรคสำคัญก็คือ การหาเงินปัจจัยในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ซึ่งท่านต้องใช้งบจำนวนมาก ซึ่งท่านได้เตรียมพระสมเด็จปรกโพธิ์ซึ่งท่านได้ตั้งใจสร้างล่วงหน้าไว้ ณ ประเทศอินเดีย เพื่อมอบให้แก่ผู้ร่วมบริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถ จึงได้วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2515 ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 1 ปีเศษ เป็นพระอุโบสถที่หลังใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดที่มีอยู่ในภูมิภาค เป็นปูชนียสถานที่มีการแกะสลัก ลวดลายประตูหน้าต่าง อย่างวิจิตรงดงามตระการตา เป็นที่กล่าวขวัญและชื่นชมของผู้พบเห็น อีกทั้งยังสร้างพระใหญ่ปางประทานพรใหญ่ที่สุดในประเทศ หน้าตักกว้าง 11 วา 2 ศอก 7 นิ้ว สูง 21 วา 1 คืบ 3 นิ้ว ใช้ งบประมาณก่อสร้างประมาณ 20 ล้านบาท ด้านการศึกษาท่านได้ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทำการเปิดสอนแผนกธรรมและภาษาบาลีขึ้นในวัดพิกุลทองตั้งแต่ ปี2475 อีกทั้งหลวงพ่อยังได้พัฒนาและการก่อสร้างศาสนสถาน วัดอื่นๆอย่างมากมาย รวมทั้งเป็นองค์อุปถัมภ์หาทุนก่อสร้างอาคารต่างๆ ให้กับโรงพยาบาลสิงห์บุรี เช่นล่าสุดท่านได้หาทุนก่อสร้างอาคาร “หลวงพ่อแพ เขมังกโร 94 ปี สูง 9 ชั้น งบก่อสร้าง 120 ล้านบาท เป็นพระราชาคณะ ในปี พ.ศ.2521 ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระสุนทรธรรมภาณี ในปี พ.ศ. 2525 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ในปี พ.ศ. 2530 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา วันที่ 5 ธันวาคม ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระราชสิงหคณาจารย์” ในปี พ.ศ. 2535 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระเทพสิงหบุราจารย์” ในปี พ.ศ. 2539 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชครบ 50 ปี (พระราชพิธีกาจญนาภิเษก) ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระสมณศักดิ์ พระสงฆ์ 59 รูป หลวงพ่อแพก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระธรรมมุนี” ในระยะหลัง หลวงพ่อได้งดรับกิจนิมนต์ โดยคำแนะนำจากผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสิงห์บุรี เนื่องจากไม่สามารถพยุงตัวเองได้ รวมทั้งมีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน และโรคชรา จนเมื่อ วันที่24 ส.ค. 41 ทางคณะแพทย์ไดเห็นสมควรนำหลวงพ่อเข้าพักรักษาพยาบาล ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี เนื่องจากตรวจพบว่าหลวงพ่อ เป็นโรคปอดอักเสบ ทางคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนอาการดีขึ้น ต่อมาในวันที่ 7 ก.ย.41 ท่านอาการทรุดลง จนกระทั่งเวลา 01.30 น. ของวันที่ 8 ก.ย. 41 ท่านได้มีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ไม่รู้สึกตัว และหัวใจหยุดเต้น ทางคณะแพทย์ได้ทำการช่วยจนหลวงพ่อฟื้นคืนชีพได้สำเร็จ และทางได้ถวายดูแลรักษาจนอาการดีขึ้น จนกระทั่งวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 เวลา 12.36 น. หลวงพ่อท่านก็ได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ห้อง 901 ชั้น 9 อาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร โรงพยาบาลสิงห์บุรี สิริอายุ 94 ปี 73 พรรษา
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ เคาะเดียว ถึงราคาขั้นต่ำ @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ """"""ยังมีพระเครื่องราคาย่อมเยาว์ และยังมีพระเกจิพื้นบ้าน พระเกจิท้องถิ่น มากมายหลากหลายเกจิอาจารย์ ให้ท่านได้เข้ามาค้นหาและได้เป็นผู้ครอบครองบูชา"""""" ทางเลือกธนาคารมี 4 ช่องทาง 1. ณภัทร ณภัทรชนม์ "ธ.ไทยพาณิชย์" ออมทรัพย์ สาขาซอยประชาสงเคราะห์ 30 เลขที่บัญชี 102-236575-9 2. ณภัทร ณภัทรชนม์ "ธ.กสิกรไทย" ออมทรัพย์ สาขาห้วยขวาง เลขที่บัญชี 084-2-87497-1 3. ณภัทร ณภัทรชนม์ "ธ.ออมสิน" ออมทรัพย์ สาขาห้วยขวาง เลขที่บัญชี 0200-7377-9694 4. ณภัทร ณภัทรชนม์ "ธ.กรุงไทย" ออมทรัพย์ สาขาตลาดห้วยขวาง เลขที่บัญชี 033-0-26402-8 5. ณภัทร ณภัทรชนม์ "ธ.ทหารไทย" ออมทรัพย์ สาขารัชดาภิเษก-ห้วยขวาง เลขที่บัญชี 054-2-50783-5 """"""รบกวนผู้ประมูลได้ เมื่อทำการโอนเงินแล้ว -------@ ช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยครับ @-------กรุณาแจ้งถึง ธนาคาร -- วัน -- เวลา ที่ทำการโอน ให้ทราบ เพื่อความรวดเร็วในการตรวจสอบ"""""" """"""บางท่านหวังใช้ SMSธนาคาร แต่ไม่มีชื่อผู้โอน หรือเบอร์โทรไม่ตรงบ้าง ชื่อไม่ตรงบ้าง ทำให้ผมไม่ทราบว่าเป็นเงินของท่านใดโอนมา จึงยังไม่ได้ทำการส่งพระให้ เพื่อความชัวร์ แจ้งการโอนเงินและที่อยู่ปัจจุบันในการรับพระ""""""" """""'ใช้วิธีเมล์หน้าเวป สะดวก ประหยัด ยืนยันแน่นอน " ควรใช้เมล์หน้าเวปเท่านั้น ถ้าใช้เมล์หน้าเวปไม่ได้ กรุณาโทรหา 084-643-0809 ระหว่างเวลา 09.00-21.00 """"""" """"""และเมื่อผมทำการจัดส่งแล้ว จะให้รหัสพัสดุไว้ที่ FBของท่านครับผม""""" ปล. สำหรับเบอร์ติดต่อโดยตรง 084-643-0809 กรุณาโทรช่วงเวลา " 09.00 - 21.00 " ขอบคุณครับ
แร่พรหมชะแง้นี้เป็นของดี มีคุณวิเศษอยู่ในตัวทั้งแคล้วคลาด คงกะพันชาตรี เมตตามหานิยม ฯลฯ เป็นของที่อยู่ในป่าบนภูเขา ว่ากันว่าการได้แร่นี้มาไม่ใช้เรื่องง่ายๆ ผู้ที่จะไปเอามาต้องมีวาสนาและมีวิชาอาคมพอสมควรจึงจะนำออกมาได้และวัดในแถบ อำเภอท่ายางก็มีแค่หลวงพ่ออุ้นเองที่เอาออกมาได้องค์เดียว หลวง พ่อสมัย ช่วงปี พ.ศ. 2540-2542 พระแบบนี้เป็นวัตถุมงคลยุคต้นๆ ของท่านและหลวงพ่ออุ้นท่านทำเอง แล้วก็แจกเองด้วย ผู้ชายจะแจกแบบพิมพ์คะแนน ส่วนผู้หญิงจะแจกเป็นนางกวัก...สมัยก่อนท่านจะแจกพระสมเด็จเหม็นให้มากกว่า พระคะแนนแร่พรหมชะแง้เสียอีก เพราะท่านบอกว่าแร่แบบนี้หายาก ทำยากมีน้อย **ใน สมัยนั้น พระสมเด็จเหม็นทำบุญองค์ละ 100 บาท แต่ถ้าอยากได้ฟรีก็ไปขอกับหลวงพ่อได้ แต่พระแร่พรหมชะแง้แบบนี้จะไม่มีให้ทำบุญ มีแต่ที่ท่านจะแจกอย่างเดียว** ประสบการณ์ วัตถุมงคลของท่านมีครบทุกด้าน ทั้งคงกะพันชาตรี เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ เป็นข่าวลงให้เห็นทางสื่อบ้าง และจากปากชาวบ้านบ้าง เป็นวัตถุมงคลที่ดีมิอาจมองข้ามกับพระดี ที่หลวงพ่ออุ้นท่านหาแร่มาเอง ทำเอง และแจกเอง ไม่มีกรรมการ-กรรมเกินอะไรทั้งหลายเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น หลวง พ่ออุ้น สุขกาโม มีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญในไสยเวทพุทธาคม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานมีญาณสมาบัติแก่กล้า มีวิชาการทำวัตถุมงคล ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงหน้าพระภักตร์ ผงพระจันทร์ครึ่งซีก ผงยาเพชรจินดา ทำชินปรอท เล่นแร่แปรธาตุ การสักยันต์ หุงสีผึ้ง ลงนะ บรรจุพลังเสือโคร่ง หนุมาน เสกลิงลม ขับครูปาอาจารย์ ทั้งเรียนรู้ปฏิบัติผลสำเร็จจริง สุดยอดวิชาไสยเวทต่าง ๆ เหมือนพระเกจิโบราณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคอดีต วัตถุ มงคลของท่าน ไม่ว่ารุ่นไหน ๆ ล้วนมีพลังพุทธคุณเข้มขลัง เชื่อมั่นได้เต็มร้อย ดีทางด้านเมตตามหานิยม ค้าขายโชคลาภอยู่ยงคงกระพันมหาอุด แคล้วคลาด มหาเสน่ห์ มีการพิสูจน์กันมาแล้ว ของจริง และมากด้วยประสบการณ์ ใน การสร้างวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง ได้มีการสร้างมานานแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2545 รวมระยะเวลา 50 ปีเศษ (ปัญญาสวรรษ) หากจะนับจำนวนรุ่นก็เกินร้อย การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุ้น เมื่อกล่าวโดยสังเขปดังนี้ วัตถุ มงคล เนื้อแร่เขาพรหมชะแง้ของหลวงพ่ออุ้น มีหลายพิมพ์ เช่น พระสมเด็จปรกโพธิ์ พระสมเด็จขี่เสือใหญ่ เสือเล็ก พระสมเด็จคะแนน นางกวัก พระสิวลี และปลัดขิก แร่ ขาพรหมชะแง้เป็นเพียงสินแร่ ก่อนจะสร้างเป็นพระพิมพ์ได้ต้องมีกรรมวิธีหลอมเหลว การที่จะหลอมเหลวก็ต้องมีสูตร ถ้าทำไม่ถูกสูตรจะกลายเป็นผงธุลี เหมือนเผาหินทำปูนขาว หลวง พ่ออุ้น มีวิชาในการหลอม โดยใช้วัสดุกำกับด้วยไสยเวทมนต์คาถาอาคมกำกับ เมื่อสามารถหลอมทำให้แร่เหลวเป็นน้ำแล้ว ก็หล่อเป็นวัตถุมงคลองค์พระพิมพ์ต่างๆ ได้ ส่วนการปลุกเสกด้วยเวทมนต์ก็จะเกิดพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นวัตถุธาตุกายสิทธิอย่างไรที่มีสรรพคุณในตัวเองด้วย บวกกับพลังอิทธิคุณของหลวงพ่ออุ้น จะมีพุทธคุณสูงส่งครอบจักรวาล ประดุจดังเหล็กไหลปานนั้น แร่เขาพรหมชะแง้วิเศษศักดิ์สิทธิ์อย่างไร เรื่อง แร่วิเศษจากเขาศักดิ์สิทธิ์มีเรื่องเล่าว่า ลุงแฉ่ง อินทโณ บ้านอยู่ทุ่งเขาพรหมซะแง้ได้ไปที่วัดตาลกง เห็นเม็ดแร่ของหลวงพ่ออุ้นเม็ดหนึ่ง จึงได้ขอหลวงพ่อ แล้วหยิบให้ทันทีใส่กระเป๋าเสื้อติดตัวไปหาหมอที่คลินิก หมอแย้ม คลินิกในตลาดเพชรบุรีได้ตรวจรักษาแล้วฉีดยาให้ลุงแฉ่ง ฉีดจนเข็มงอก็ฉีดไม่เข้าถามว่ามีของดีอะไรติดตัวมาให้เอาออก ลุงแฉ่งบอกว่าไม่มีแล้วหมอก็ฉีดยาให้ใหม่ ปรากฏว่าเข็มงออีก ทีนี้ลุงแฉ่งก็สงสัย คงจะเป็นเม็ดแร่ที่ขอมาจากหลวงพ่ออุ้นแน่ๆ ก็เลยเอาออก ปรากฏว่าคราวนี้หมอฉีดยาอย่างสะดวยสบาย บรรดา ลูกหลานของลุงแฉ่งรู้เรื่องเข้าก็ไปถามหลวงพ่ออุ้นท่านบอกว่าแร่นี้มี ความศักดิ์สิทธิ์วิเศษในตัว ไปอธิษฐานขอขมาจากถ้ำเขาพรหมชะแง้ที่ข้างบ้านโยมแฉ่งแหละ ต่อมาลูกหลานและลุงแฉ่งได้ไปเก็บเม็ดแร่ที่ยังมีหลงเหลืออยู่ประปรายตามพื้น ดินข้างเขา นำมาเก็บรักษาไว้ ทั้งได้เคยนำติดตัวไปฉีดยา ก็ไม่เห็นปรากฏว่าเข็มฉีดไม่เข้าเหมือนกับเม็ดที่รับมาจากหลวงพ่ออุ้นเลย เรื่อง นี้ไปมีข่าวรู้ถึงหลวงพ่อจ้วน วัดเขาลูกข้าง ท่านก็มาดูที่เขาพรหมชะแง้ เพื่อเอาแร่ไปทำวัตถุมงคล ไม่ปรากฏว่ามีเศษเม็ดแร่แม้เพียงเล็กน้อยให้เหลืออยู่ตามพื้นดินเลย จึงทำพิธีบวงสรวงขอขุดแร่และขอให้แร่ได้ปรากฏ แต่ก็ไม่ยอมปรากฏให้เห็นไม่เหมือนกับเมื่อครั้งหลวงพ่ออุ้นไปนั่งสมาธิขอ เป็นเหตุให้หลวงพ่อจ้วน ต้องเดินทางไปขอแร่จากหลวงพ่ออุ้นวัดตาลกงไปส่วนหนึ่ง เขา พรหมชะแง้นี้เป็นภูเขาลูกหนึ่งที่ขึ้นอยู่กลางทุ่งนาสมัยที่ยังไม่ได้บวช คือครั้งเป็นฆราวาสเคยไปที่เขาลูกนี้ ภายในภูเขามีถ้ำอยู่หลายแห่ง ชาวบ้านเชื่อกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ว่าเขาลูกนี้ศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งลี้ลับจะ ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ เช่นเห็นงูใหญ่มีหงอนมีลำแสง ได้เคยไปพบเห็นแร่สีดำอมเขียวมีสนิมเหล็กติดอยู่ที่ผิวอยู่ในถ้ำ เมื่อกาลเวลาผ่านไป...ปรากฏว่าที่จุดนั้นไม่ปรากฏมีแร่เหมือนดังเดิมอยู่เลย แล้วปล่อยให้เรื่องผ่านไปถึง 30 ปี หลังจากนั้นได้เล่าเรียนวิชาต่างๆ มาแล้ว ก็อยากทำวัตถุมงคลไว้แจกญาติโยมที่มาทำบุญสร้างอุโบสถ จึงเดินทางกลับไปค้าหากับพระลูกวัดก็หาไม่พบ แล้วนั่งลงบริกรรมอธิษฐานขอแร่จากเขา เทวดาที่ปกปักรักษาสถานที่ ขอให้พบแร่เอาไปทำตามจุดประสงค์เถิด หลังจากนั้นกลับไปวัด ต่อมาคืนหนึ่งฝนตกหนักลงแรงกระทั่งรุ่งเช้ามีชาวบ้านแถบนั้นมานิมนต์ไปฉัน เพล เขาเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนนี้ฝนตกใหญ่ ลมแรง มีหินกลิ้งมาจากข้างเขาเป็นลูกดำ ๆ แล้วได้เดินทางไปดู ปรากฏว่าพบแร่ชนิดเดียวกับที่เคยพบมาแล้วจึงได้เดินทางไปดู ปรากฏว่าพบแร่ชนิดเดียวกับที่เคยพบมาแล้วจึงได้เก็บรักษาไว้ที่วัด ประสบการณ์ : วัตถุมงคลเนื้อแร่เขาพรหมชะแง้ ที่มีประสบการณ์แล้ว เช่น พระสมเด็จขี่เสือรุ่นแรก เนื้อแร่เขาพรหมชะแง้ เรื่อง มีว่า ชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ไปนมัสการหลวงพ่ออุ้น ที่วัดตาลกง แล้วขอบูชาพระสมเด็จขี่เสือ รุ่นแรก เล่าถึงสาเหตุที่มาบูชา เพราะไปมีประสบการณ์พระสมเด็จขี่เสือที่ตนเองบูชาติดตัวอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งมีอยู่องค์เดียวในกระเป๋าเสื้อ ช่วยให้รอดจากรถชนประสานงา เหตุเกิดขึ้นที่อำเภอท่าวุ่ง จังหวัดลพบุรีแต่เพื่อนที่ร่วมเดินทางไปด้วย 2 คน ตายหมด ส่วนตัวเขาไม่ได้บาดเจ็บเป็นอะไรเลย
ประวัติการสร้างพระสมเด็จเกษไชโย รุ่นประวัติศาสตร์ ปี2531 หลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์ (หลวงพ่อโต) สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) เมื่อร้อยกว่าปีเศษมาแล้ว พระมหาพุทธพิมพ์เดิมนั้นได้ลงรัก ปิดทอง แต่กาลเวลาผ่านมาถึงเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2470 ท่านมีความประสงค์ที่จะลงรัก ปิดทองใหม่ จึงได้ทำการลอกทองออกจากองค์พระ ทำการเรี่ยไรเพื่อหาปัจจัยมาซื้อทองปิดองค์หลวงพ่อ แต่แล้วท่านได้มรณภาพลงเสียก่อน นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีผู้ใดที่จะทำการลงรักปิดทององค์หลวง พ่อได้ พระสมเด็จเกษไชโย รุ่นประวัติศาสตร์ ปี2531 พิมพ์ 7ชั้น A จนมาถึง ปี พ.ศ. 2531 ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน พระวิสิฐนิมมานการ (แฉล้ม จนฺทวณฺโณ) ได้ริเริ่มที่จะปิดทองหลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์ เหตุการณ์มหัศจรรย์ได้ปรากฏขึ้น คือ หลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์ ได้ไปเข้าฝัน ดร.เถลิง เหล่าจินดา บอกว่าขณะนี้ยังไม่ได้ปิดทอง ดังนั้นท่านเจ้าอาวาส กับ ดร.เถลิง เหล่าจินดา พร้อมด้วยข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน จึงร่วมกันทำพิธีลงรัก ปิดทอง และก่อนที่จะลงรัก ปิดทอง ต้องกะเทาะ ลอกทองเก่าออกจากองค์หลวงพ่อพุทธพิมพ์ก่อน ขณะที่ทำการกะเทาะลอกทององค์หลวงพ่ออยู่นั้น ท่านเจ้าอาวาสได้นิมิตว่า หลวงพ่อ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) มาบอกว่า ผงและทองคำ ที่เอาออกมาจากองค์พระนั้นควรจะนำไปทำพระสมเด็จ (ทองคำนำไปผสมทำพระทองคำ) เพื่อให้พระชาชนได้นำไปบูชา
เหรียญที่ระลึกฉลอง 700 ปี ลายสือไทย บล๊อคกองกษาปณ์ ด้านหน้าพระพุทธสิหิงค์ ด้านหลังพระนามาภิไธยย่อ ภปร. ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.9 ซ.ม.พ.ศ.๒๕๒๖ พิธีใหญ่ ปลุกเสก ๓ วาระ ครั้งที่ 1. เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๖ ณ.บริเวณวิหารหลวงหน้าพระอจนะ วัดศรีชุม ครั้งที่ 2. เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๗ ณ.บริเวณวิหารหลวงหน้าพระอจนะ วัดศรีชุม อีกวาระ ครั้งที่ 3. เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๗ ณ.สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง (ปลุกเสกโดย ลพ.เกษม เขมโก.)