ลูกค้าคุณภาพ RK247282993TH
ผมได้จัดส่งพระให้เรียบร้อยแล้วครับ RJ489861716TH เครดิตดี โอนเงินรวดเร็ว อัธยาศัยเยี่ยม เป็นอีกหนึ่งเสียงการันตี ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนครับ
พระกลีบบัว พระครูใบฎีกาเกลี้ยง วัดสุทัศน์เทพวราราม กทม. 2471 พระครูใบฎีกาเกลี้ยงท่านเป็นฐานานุกรมของสมเด็จพระวันรัตน์ (แดง) แห่งวัดสุทัศน์ เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ และท่านพระครูใบฎีกาเกลี้ยงท่านเก่งทางด้านทำผงและการลงยันต์พุทธซ้อน ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) ก็ยังเรียนกับพระครูใบฎีกาเกลี้ยง และหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ก็ได้เรียนกับพระครูใบฎีกาเกลี้ยงเช่นกัน ในด้านการทำผงวิเศษ ประกอบด้วยผงปถมัง อิทธิเจ มหาราช ตรี นิสิงเหนั้น ผงของพระครูใบฎีกาเกลี้ยงแห่งวัดสุทัศน์เจ้านี้ได้รับคำยกย่องมาก เล่าขานกันว่า ผงที่ท่านลบอยู่ในกระดานนั้นขณะที่ท่านบริกรรมปลุกเสกจะเดินได้ประหนึ่งมดปลวกที่มีชีวิต และผงวิเศษต่างๆ ที่ท่านสำเร็จดังกล่าวนี้แหละ ท่านได้รวบรวมแล้วนำมาสร้างเป็นพระครูกลีบบัว ท่านอาจารย์หนู (นิรันดร์ แดงวิจิตร) ได้เล่าให้ฟังว่า พระครูใบฎีกาเกลี้ยงขณะที่อยู่ที่ วัดสุทัศน์นั้น ท่านได้สร้างพระผงกลีบบัว ประมาณปีพ.ศ.เจ็ดสิบ ถึงปีพ.ศ.แปดสิบกว่า เป็นระยะเวลานานมาก การสร้างพระพิมพ์นี้ไม่ได้สร้างครั้งเดียวเสร็จ ท่านค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ มีพระเณรในวัดสุทัศน์ช่วยท่านทำ แม้แต่ท่านอาจารย์หนูก็ยังไปช่วยท่านทำด้วยตามโอกาส ท่านอาจารย์หนูเล่าต่อว่า เนื้อของพระกลีบบัวพิมพ์นี้เป็นเนื้อผงขาวปูนเปลือกหอยและน้ำมันตั้งอิ้ว มีสีต่างๆ เช่น เหลือง เทา เขียวและดำนั้นได้ตกแต่งด้วยสีฝุ่น จำนวนที่ท่านสร้างน่าจะประมาณ 84,000 องค์ เนื่องจากใส่โอ่งมังกรขนาดใหญ่ถึงสองโอ่ง ต่อมาเมื่อมีวัดใดจะสร้างโบสถ์หรือบูรณปฏิสังขรณ์ หรือมีการบรรจุพระลงพระเจดีย์มาขอ ท่านก็จะมอบให้แห่งละจำนวนมากๆ และอาจจะด้วยเหตุนี้กระมังพระผงกลีบบัวพิมพ์นี้จึงมีแจกอยู่แพร่หลายและหลายสำนักด้วยกัน เช่นที่หลวงพ่อท้วม วัดไชยนาวาส หลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ วัดบางหัวเสือ วัดยอด และอีกหลายวัดในอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม พระกลีบบัวพิมพ์นี้สร้างที่วัดสุทัศน์และเป็นพระที่พระครูใบฎีกาเกลี้ยงท่านสร้างไว้ครับ และเป็นพระที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกด้วยกันหลายครั้งในพระอุโบสถวัดสุทัศน์ พระผงกลีบบัวของพระครูใบฎีกาเกลี้ยงเด่นทางด้านเมตตามหานิยม
**เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๐.๐๐ น. ทางวัดเทวราชกุญชร ได้สกัดพื้นผิวเจดีย์ที่มุมกำแพงแก้ว รอบพระอุโบสถเพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์ ตามโครงการบูรณะพระอารามเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา ในขณะที่สกัดพื้นผิวเจดีย์เคียงคู่กับ พระอุโบสถได้พบพระเล็กๆ หลายพิมพ์ จึงได้ให้ผู้เชี่ยวชาญ มาพิจารณาดู โดยให้ความเห็นว่าเป็นพระเนื้อดินเผาพิมพ์ต่างๆ และสันนิษฐานว่า คงจะสร้างและบรรจุเจดีย์ ในสมัยพระเทพสิทธินายก (หลวงพ่อเลียบ ปุณฺณสิริ) ซึ่งเป็นพระเถราจารย์ผู้มีชื่อเสียงด้านวิทยาคมเข้มขลัง เป็นเจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๓ แล้วต่อมาย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเลา บางขุนเทียน พระเนื้อดินเผาพิมพ์นี้ จึงนับว่าเป็น วัตถุมงคลที่มีคุณค่า เหมาะที่จะมีไว้สักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็น การสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ร่วมกับ วัดเทวราชกุญชร ที่กำลังบูรณะพระวิหาร ศาลารายเจดีย์ และกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ พระที่พบนั้นมีทั้งหมด ๑๑ พิมพ์ ทั้งนี้ กรมศิลปากรได้สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๐-๒๔๘๐ ตามแบบพระพิมพ์สมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งบางพิมพ์มีลักษณะเหมือนพระพิมพ์ ที่พระเทพสิทธินายก (เลียบ ปุณฺณสิริ) อดีตเจ้าอาวาสที่ครองวัดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๗-๒๔๗๓ สร้างไว้เป็นพุทธบูชาและมอบให้แก่ผู้มีศรัทธาบูรณะพระอาราม
ประวัติความเป็นมาของพระชัยที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ ย้อนหลังไปถึงสมัยอยุธยา พระเดชพระคุณพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) แห่งวัดอัมพวัน เล่าไว้ถึงที่มาของพระพุทธชัยมงคลคาถา พาหุงฯ ๘ บท และพระชยปริตร มหาการุณิโกฯ ควบคู่กับพระราชประเพณีอัญเชิญพระชัยหลังช้างไปในราชการสงคราม ว่ามีมาตั้งแต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยจะทรงอัญเชิญพระชัยไปในราชการสงคราม กู้บ้านกู้เมืองเป็นปกติ หากเสด็จทางสถลมารคก็จะอัญเชิญพระชัยขึ้นประดิษฐานบนหลังช้าง จึงได้ชื่อว่าพระชัยหลังช้าง ในขณะที่ในพระชัยในยุครัตนโกสินทร์มีที่มาจากพระราชจริยาวัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงบูชาพระพุทธรูปประจำพระองค์นี้มาตั้งแต่ยังทรงเป็นสามัญชน ครั้นขึ้นป็นแม่ทัพก็จะอาราธนาพระชัยขึ้นหลังช้างโดยเสด็จราชการสงครามกู้แผ่นดินเป็นปกติเช่นกัน กลายมาเป็นพระราชประเพณีสร้างพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลสืบมา ด้วยประวัติความเป็นมาดังกล่าวย่อมเป็นที่น่าศรัทธาน่าสักการะพระชัยเพื่ออานิสงส์แห่งความมีชัยชนะนัก หากแต่เดิมประชาชนทั่วไปยากที่จะเข้าถึงเข้าสักการะบูชาพระชัยได้ ด้วยพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลทุกองค์จะประดิษฐานอยู่ ณ หอพระสุราลัยพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง "เหรียญพระชัยหลังช้าง" เหรียญดังพิธีดีอีกเหรียญหนึ่งที่หยิบยกมากล่าวถึง เป็นเหรียญที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ แห่งวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร ในนามคณะสงฆ์ได้ดำเนินการจัดสร้างขึ้น สืบเนื่องในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา ในปี พ.ศ.2530 เป็นเหรียญปั๊มด้านหน้าเป็นรูปพระชัยวัฒน์ที่เรียกกันว่า "พระชัยหลังช้าง" ด้านหลังเป็นพระปรมาภิไธยย่อ "ภปร." มีอักษรปรากฏบนเหรียญว่า "5 ธันวาคม 2530" และ "คณะสงฆ์สร้างในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ" "เหรียญพระชัยหลังช้าง" เป็นเหรียญดีเพราะพิธีการจัดสร้างเปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเจตนาการจัดสร้างเพื่อนำรายได้จากการบริจาคบูชานั้น ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2530 ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระเกจิอาจารย์ดังปลุกเสกมากมาย ประการสำคัญยิ่ง เหรียญพระชัยหลังช้าง มีสมเด็จพระสังฆราชถึง 2 พระองค์ ปลุกเสก นั้นคือ สมเด็จพระสังฆราช (วาส) วัดราชบพิธฯ และสมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ.2532 และ"เหรียญพระชัยหลังช้าง"มีสมเด็จพระราชาคณะที่ร่วมปลุกเสกอีก คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา สมเด็จพระวันรัต วัดโสมนัสวิหาร สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปทุมคงคา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ เมื่อครั้งยังเป็นที่พระพรหมคุณาภรณ์ แล้วยังมีพระเกจิอาจารย์ดังแห่งยุคนั้น อาทิ หลวงพ่อแพ แห่งวัดพิกุลทอง จังหวัดสิงห์บุรี พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง หลวงปู่ศรี วัดป่ากุง หลวงพ่อชื้น วัดญาณเสน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระครูสันติวรญาณ (สิม) วัดถ้ำผาปล่อง พระอุดมสังวรเถร (อุตตมะ) วัดวังก์วิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี พระครูฐาปนกิจสุนทร (เปิ่น) วัดบางพระ จังหวัดนครปฐม หลวงปู่ม่น วัดเนินตาหมาก จังหวัดชลบุรี พระครูเกษมธรรมนันท์ (แช่ม) วัดดอนยายหอม พระครูปริมานุรักษ์ (พูล) วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ที่สำคัญ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ท่านเคยกล่าวไว้กับลูกศิษย์ของท่านว่า เหรียญพระชัยหลังช้างนี้เป็นเหรียญที่มีพุทธานุภาพดีมากๆ กล่าวสำหรับพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์รัชกาลปัจจุบันนี้ มีความเป็นมาสืบเนื่องจากราชประเพณีหล่อพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาล เริ่มเมื่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชดำริว่า พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำพระองค์ที่เชิญไปในราชการศึกสงคราม ซึ่งเรียกกันว่า "พระชัยหลังช้าง" นั้น ได้เชิญไปประดิษฐานหน้าพุทธบัลลังก์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เพราะเป็นพระพุทธรูปคู่บารมีมาด้วยกัน จึงขาดพระพุทธปฏิมาสำหรับถวายสักการะ ณ พระราชมณเฑียร จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ขึ้นแทน ถวายพระนามว่า พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาล ในรัชกาลต่อมา เมื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ถือเป็นราชประเพณีที่จะต้องหล่อพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์สืบมาทุกรัชกาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 ยังไม่ได้สร้างพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาล ในการพระราชพิธีจึงต้องเชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ของรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช เป็นพระพุทธรูปประธานในงานพระราชพิธี ครั้น พ.ศ.2495 เสด็จพระราชดำเนินกลับจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มาประทับพระนคร พ.ศ.2506 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาลตามราชประเพณี และโปรดเกล้าฯ ให้ นายพิมาน มูลประมุข เป็นช่างปั้นหุ่นพระพุทธรูป พระเครื่องและเหรียญที่ระลึกที่มีพระปรมาภิไธยย่อ "ภปร" ประดิษฐานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า หรือด้านหลัง ถือว่าเป็นสิ่งมงคลที่น่าเก็บสะสมบูชาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเหรียญพระพุทธรูปของ วัดต่างๆ ที่มีตรา ภปร.ประดิษฐานอยู่ด้านหลังนั้นมีอยู่จำนวนมากเช่นกัน หลายๆ รุ่นมีพิธีการสร้างที่เข้มขลัง และมีพุทธศิลป์ที่งดงามอย่างยิ่ง ดั่งเช่นเหรียญพระพุทธ หรือเหรียญพุทธคุณ พระปรมาภิไธยย่อ ภปร.ที่เรียกขานกันว่า "เหรียญพระชัยหลังช้าง" สร้างโดยคณะสงฆ์ทั้ง 2 นิกายในปีมหามงคลเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธ.ค.2530 "เหรียญพระชัยหลังช้าง" มีเนื้อทองคำ, เนื้อเงิน, เนื้อกะไหล่ทอง มูลเหตุที่นำรูป พระชัยหลังช้างมาจัดสร้างเพื่อเทิดพระเกียรติล้นเกล้าทั้งสอง พระองค์ ด้วยเห็นว่าพระชัย (หลังช้าง) เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง คู่บุญญาบารมีของปฐมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ ควรที่ประชาชนจะมีไว้สักการบูชา เพราะเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในพระองค์ ดังเช่น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรุงเทพฯ ได้ลิขิตไว้ว่า"เหรียญพระชัยหลังช้าง" "หากอยู่กับบ้านก็คุ้มบ้าน หากอยู่กับตัวก็คุ้มตัว" และเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดดังกล่าว ท่านจึงได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง "ปรากฏการณ์อันน่าพิศวงเกี่ยวด้วยเหรียญพระชัย (หลังช้าง)" ขึ้น โดยรวบรวมเรื่องราวจากผู้ที่ได้รับประสบการณ์จากเหรียญนี้มากมายหลายท่าน เหรียญพระชัยหลังช้าง ความเป็นมาของ "พระชัยวัฒน์" เดิมมีพระนามว่า "พระชัย" หรือ "พระไชย" ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ออกพระนามเพิ่มว่า "พระไชยวัฒน์" และได้เปลี่ยนพระนามมาเป็น "พระชัยวัฒน์" ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ รัชกาลปัจจุบัน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร มีฉัตรปรุ 5 ชั้นปักกั้น หน้าตักกว้าง 7 นิ้ว สูงจากทับเกษตรถึงยอดพระรัศมี 9 นิ้ว มีพัดแฉกหล่อด้วยเงินปักข้างหน้า ที่ฐานมีคำจารึก ซึ่งเป็นต้นแบบในการนำมาสร้าง เหรียญพระชัยหลังช้าง ผู้ใดมีเหรียญนี้รุ่นใดรุ่นหนึ่งอยู่แล้ว ก็ขอให้รับรู้ถึงความพิเศษยิ่งของพระชัยหลังช้าง ขออย่าลืมเลือนในคุณค่าสุดวิเศษยิ่งในมือ ขอจงสักการะบูชาให้ซึ้งถึงดวงใจอย่างภาคภูมิ สมดังพระราชปณิธานแห่งองค์สมเด็จพระปฐมบรมมหากษัตริยาธิราชเจ้า จอมบดินทร์ปิ่นสยาม มหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สะท้อนกู่ก้องประดุจสีหนาทบันลือด้วยตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ นิราศท่าดินแดงว่า ....ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขันธสีมา รักษาประชาชนและมนตรี...
อ่านสักนิดก่อนเคาะครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาด้วยกันทั้งสองฝ่าย พระราคาไม่ถึง 5000 บาท รบกวนส่งออกบัตรเองครับ ผมรับประกันแท้ แต่ถ้าพระราคาเกิน 5000 บาท ยินดีทำตามกฎ ขอบคุณครับ โอนแล้วกรุณาแจ้งทาง mail box ด้วยนะครับเพื่อความถูกต้องและรวดเร็วในการจัดส่ง ขอบคุณครับ ยังมีรายการพระที่น่าสนใจอีกหลายรายการ เข้าไปดูได้โดยคลิกที่ตัว
หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู ลพบุรี ท่านเป็นหนึ่งในเกจิยุคสงครามอินโดจีน ตะกรุดของท่านได้รับความนิยมเสาะหากันมาก นอกจากนี้ท่านยังสร้างวัตถุมงคลแบบอื่นๆอีกหลายแบบ พระเนื้อผงน้ำมันท่านได้สร้างไว้เมื่อครั้งไปช่วยบูรณะเสนาสนะที่วัดโคกหม้อ เมื่อประมาณปี 2494 มีด้วยกันหลายพิมพ์องค์นี้เป็นพิมพ์พระพุทธชินราชที่ได้รับความนิยมเก็บกัน มาก เนื้อผงน้ำมันสีเหลืองพระรุ่นนี้ได้ถูกนำไปร่วมปลุกเสกที่วัดสุทัศเทพวราราม กทม.อีกด้วย ครั้งนั้นเจ้าคุณศรีฯได้นำเข้าพิธีพร้อมกับการเทพระพุทธชินราช รุ่น ม.ค.1 ในวันที่ 17 ก.ด. 2494 พระที่ผ่านพิธีแล้วได้นำกลับไปวัดโคกหม้อให้เช่าบูชาองค์ละ 5 บาท ก็ปรากฏว่าให้เช่าได้เป็นอย่างดีสร้างเสนาสนะที่จำเป็นได้ตามโครงการ ปรากฏว่าพระชุดนี้นอกจากเมตตามหานิยมแล้วยังได้แฝงไว้ด้านความคงกระพันชาตรี อีกด้วย