เหรียญสวยเดิมๆ น่าสะสมมากครับ มาพร้อมบัตรรับประกันจากดีดี รับประกันความแท้ตลอดชีพ!!
พระนารายณ์สี่กร เนื้อชินเขียว จ.ลพบุรี พระมีขนาดสูง 4.5 ซม. พระมีไขทั่วไป พระหนา สภาพพอใช้ พระผ่านการตรวจสอบความแท้จากทางเวปเรียบร้อยแล้ว มาพร้อมบัตรรับรองสวย ๆ ของเวป
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย “พระญาณสิทธาจารย์” หรือ “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร” มีนามเดิมว่า สิม วงศ์เข็มมา เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา ณ บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายสาน และนางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 10 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 5 สกุล “วงศ์เข็มมา” เป็นสกุลเก่าแก่สกุลหนึ่งของบ้านบัว ผู้เป็นต้นสกุลคือ ท่านขุนแก้ว และอิทปัญญา ผู้เป็นน้องชาย ตัวท่านขุนแก้วก็คือปู่ของหลวงปู่สิมนั่นเอง เท้าความในคืนที่หลวงปู่เกิด ประมาณเวลา 1 ทุ่ม โยมมารดาของท่านเคลิ้มหลับไป ก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมีรัศมีกายสุกสว่างเปล่งปลั่งแลดูเย็นตาเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก ลอยลงมาจากท้องฟ้าลงสู่กระต็อบกลางทุ่งนาของนาง ต่อมาเวลาประมาณ 3 ทุ่ม นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา ก็ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวขาวสะอาด และจากนิมิตที่นางเล่าให้ฟัง นายสาน วงศ์เข็มมา ผู้เป็นบิดา จึงได้ตั้งชื่อลูกชายว่า “สิม” ซึ่งภาษาอีสานหมายถึงโบสถ์ อันอาจบ่งบอกถึงความใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาเด็กชายสิมผู้นึ้ ก็ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ บำเพ็ญสมณธรรม ใช้ชีวิตที่ขาวสะอาดหมดจดตลอดชั่วอายุขัยของท่าน หลวงปู่แว่น ธนปาโล เมื่อเริ่มเข้ารุ่นหนุ่ม อายุได้ 15-16 ปี ท่านมีความสนใจในดนตรีอยู่ไม่น้อย หลวงปู่แว่น ธนปาโล เล่าว่า ตัวท่านเองเป็นหมอลำ ส่วนหลวงปู่สิมเป็นหมอแคน สิ่งบันดาลใจให้หลวงปู่อยากออกบวชคือความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า “ตั้งแต่ยังเด็กแล้วเมื่อได้เห็นหรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจทุกครั้ง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้ออกบวช” มรณานุสติได้เกิดขึ้นในใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เฝ้าย้ำเตือนให้ท่านไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในวัย ไม่ประมาทในความตาย เป็นเพราะหลวงปู่กำหนด “มรณํ เม ภวิสฺสติ” ของท่านมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกบวชจวบจนสิ้นอายุขัยของท่าน หลวงปู่ก็ยังใช้อุบายธรรมข้อเดียวกันนี้อบรมลูกศิษย์ลูกหาอยู่เป็นประจำ เรียกว่าหลวงปู่เทศน์ครั้งใดมักจะมี “มรณํ เม ภวิสฺสติ” เป็นสัญญาณเตือนภัยจากพญามัจจุราชให้ลูกศิษย์ลูกหาตื่นตัวอยู่เสมอทุกครั้ง ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ๏ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา เมื่อท่านอายุได้ 17 ปี ได้ขออนุญาตโยมบิดา-โยมมารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ที่บ้านบัวนั้นเอง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาคณะกองทัพธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินธุดงค์มาจากจังหวัดหนองคายเพื่อมาเผยแผ่ธรรมปฏิบัติแก่ประชาชน โดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิมจึงได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรมทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล สามเณรสิมได้เฝ้าสังเกตข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น และได้ขอญัตติใหม่มาเป็นธรรมยุตติกนิกาย แต่โดยที่ขณะนั้นยังไม่มีโบสถ์ของวัดฝ่ายธรรมยุติในละแวกนั้น การประกอบพิธีกรรมจึงต้องจัดทำขึ้นที่โบสถ์น้ำ ซึ่งทำจากเรือ 2 ลำทำเป็นโป๊ะลอยคู่กัน เอาไม้พื้นปูตรึงเป็นพื้นแต่ไม่มีหลังคา สมมติเอาเป็นโบสถ์ โดยมีท่านพระอาจารย์มั่น เป็นประธาน และท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม จากนั้นสามเณรสิมได้ติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เมื่อสามเณรสิมอายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง โดยมีท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “พุทฺธาจาโร” พระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) จากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) นี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐานแก่คณะศรัทธาญาติโยมชาวขอนแก่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ ได้ออกอุบายสอนลูกศิษย์ของท่านให้ได้พิจารณาอสุภกรรมฐานจากซากศพ โดยพาพระเณรไปขุดศพขึ้นมาพิจารณา หลวงปู่ได้เล่าประสบการณ์ที่ท่านได้อสุภกรรมฐานจากซากศพ และว่า “นี่แหละร่างกายนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน อย่าไปเห็นว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน” “สมมติโลกว่าสวยว่างาม สมมติธรรมมันไม่สวยงาม อสุภํ มรณํ ทั้งนั้น ถึงมันจะยังไม่ตายตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ ไม่นานละ เดี๋ยวมันก็ทยอยตายไปทีละคน สองคน หมดไป สิ้นไป ไม่เหลือ” ในชีวิตสมณเพศ ท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า “โสสานิ กังคะ” คือไปเยี่ยมป่าช้าเป็นธุดงควัตร และที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) นี้เอง ที่หลวงปูได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างใกล้ชิดกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเวลานาน 3 - 4 ปี ทั้งได้มีโอกาสมักคุ้นกับพระกรรมฐานองค์สำคัญๆ หลายองค์ เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, ท่านพ่อลี ธมฺมธโร และท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นต้น หลวงปู่ขาว อนาลโย ปี พ.ศ. 2479 (พรรษาที่ 8) เมื่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโม ณ วัดจักราช อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา สมเด็จฯ ท่านได้แลเห็นจริยาวัตรของหลวงปู่สิมขณะทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้และเกิดชื่นชอบถูกใจ ถึงกับปรารถนาจะชวนหลวงปู่ไปอยู่ด้วยกับท่าน จึงเอ่ยปากขอตัวหลวงปู่สิมกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ว่า “พระองค์นี้มีลักษณะเป็นผู้มีบุญบารมี ผมจะขอตัวให้ไปอยู่ด้วยจะขัดข้องหรือเปล่า” ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านก็มิได้ขัดข้อง ด้วยเห็นเป็นวาสนาบารมีของหลวงปู่สิม ที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่เยี่ยงท่านสมเด็จฯ นี้ ทั้งจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป หลวงปู่สิมจึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ มาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัยในสำนักสมเด็จฯ ที่วัดบรมนิวาส ซึ่งทำให้หลวงปู่สิมได้รับความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยมากขึ้น หลวงปู่สิมอยู่รับใช้สมเด็จฯ ด้วยจริยาดีเยี่ยม พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระธุดงค์กรรมฐานให้แก่พระเณรจำนวนมากที่มารับการฝึกฝนอบรมจากหลวงปู่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ปี พ.ศ. 2480 ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) แล้วเดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดคณะศรัทธาญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุตติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว คณะศรัทธาญาติโยมจึงต่างสนองตอบคำปรารภของหลวงปู่อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ โยมอาของท่านคือนางคำไพ ทุมกิจจะ ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่ เพื่อจัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2480 สำนักสงฆ์แห่งนี้ปัจจุบันได้พัฒนาเป็น “วัดสันติสังฆาราม” พร้อมด้วยวัดและสำนักสงฆ์สาขาเกิดขึ้นอีก 9 แห่ง สำหรับวัดสันติสังฆาราม จังหวัดสกลนคร แห่งนี้ หลวงปู่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จนแล้วเสร็จ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาทรงร่วมพิธีผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิต เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ 71 พรรษาของหลวงปู่ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม สำหรับการปฏิบัติธุดงค์นั้น หลวงปู่สิมได้ออกเดินธุดงค์ไปในหลายจังหวัด อาทิเช่น วัดป่าสระคงคา อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์, สำนักสงฆ์หมู่บ้านแม่ดอย (ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัด ชื่อว่า วัดป่าอาจารย์มั่น) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (ณ ที่นี้หลวงปู่ได้พบหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากหลวงปู่มั่นจนการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก) เมื่อแยกจากหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปทางอำเภอสันกำแพง เข้าพักที่วัดโรงธรรมสามัคคี ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเพียงสำนักชั่วคราว ซึ่งวัดโรงธรรมสามัคคีแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่ที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลายท่านเคยมาพำนักจำพรรษา อาทิเช่น หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นต้น หลวงปู่สิมได้พักจำพรรษาที่วัดโรงธรรมสามัคคีแห่งนี้ ติดต่อกันนานถึงห้าปี คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 ถึงปี พ.ศ. 2487 จึงย้ายไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระหว่างนั้นหลวงปู่ได้รับรู้ความคับจิตคับใจของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย หลวงปู่ได้ปลุกปลอบใจของชาวบ้านที่กำลังสิ้นหวังให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยการหยั่งพระสัทธรรมลงสู่จิตของพวกเขา พระนพีสีพิศาลคุณ (พระมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต) ในระหว่างออกพรรษา หลวงปู่สิมได้จาริกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียร ณ สถานที่วิเวกหลายแห่งในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ศิษย์อาวุโสชาวเชียงใหม่ท่านหนึ่งคือ เจ้าชื่น สิโรรส (วัย 96 ปี) โดยในปี พ.ศ. 2488 เจ้าชื่น สิโรรส ได้อพยพครอบครัวหลบภัยสงครามไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ ขณะที่หลวงปู่ได้จาริกธุดงค์ไปจำพรรษา ณ ถ้ำผาผัวะ ท่านเปรียบเสมือนเป็นที่พึ่งอันสูงสุดที่มีความหมายมากสำหรับคนที่อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดเนื่องจากภัยสงคราม ครั้นปลายปี พ.ศ. 2498 เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาใกล้จะยุติ เจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งอพยพจากถ้ำผาผัวะกลับคืนตัวเมืองเชียงใหม่ ได้กราบอาราธนาหลวงปู่ให้ย้ายเข้ามาพักจำพรรษาที่ตึกของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล (คิวริเปอร์) ซึ่งอยู่ที่ถนนดอยสุเทพตรงข้ามกับถนนไปสนามบินเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันคือที่ตั้งของศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ณ ที่แห่งนี้เอง หลวงปู่สิมได้พบกับลูกศิษย์คนแรกที่ท่านอุปสมบทให้ ในระยะที่มาจำพรรษาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ คือ พระนพีสีพิศาลคุณ (พระมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต) ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ “วัดสันติธรรม” ที่ได้ทำการก่อสร้างขึ้นในภายหลัง ปี พ.ศ. 2490 เมื่อสงครามสงบโดยสิ้นเชิง มีข่าวว่าเจ้าของบ้านคือ แม่เลี้ยงดอกจันทร์ และลูกหลานที่อพยพหลบภัยสงครามไปจะกลับคืนถิ่นฐานเดิม หลวงปู่จึงปรารภเรื่องการสร้างวัด คำปรารภในครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์ เกิดศรัทธาขึ้นมาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างวัดถวายหลวงปู่ ด้วยพลังศรัทธานั้นเอง “วัดสันติธรรม” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยอาศัยกำลังศรัทธาของสานุศิษย์ ปี พ.ศ. 2497 โยมมารดาของหลวงปู่ถึงแก่กรรม ท่านจึงได้เดินทางจากเชียงใหม่ลงมาที่บ้านบัวอีกครั้งหนึ่ง ครั้นเสร็จงานฌาปนกิจศพโยมมารดาแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ไปจังหวัดนครพนมทันที เพื่อจำพรรษาที่ภูลังกา ช่วงปี พ.ศ. 2498 - 2403 หลวงปู่ได้กลับไปพำนักจำพรรษาที่วัดสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่ แต่ในจิตใจส่วนลึกของท่านนั้น ยังปรารภความสงบวิเวกของป่าเขาและโพรงถ้ำต่างๆ อยู่ จนกระทั่งต้นปี พ.ศ. 2503 ต่อมาได้มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ไปพบถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่จึงย้ายไปอยู่ภาวนาที่ถ้ำปากเปียงบ่อยครั้ง ด้วยเป็นที่สงบสงัดร่มรื่น ครั้นต่อมาในฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2503 ลุงติ๊บ คนบ้านถ้ำ ได้เป็นคนนำทางพาหลวงปู่ปีนป่ายภูเขาขึ้นไปตามซอกเล็กๆ เพื่อหาถ้ำที่กว้างและอยู่สูงตามคำปรารภของหลวงปู่ที่ว่า “กิเลสจะได้เข้าหายาก” จนกระทั่งได้พบ “ถ้ำผาปล่อง” ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านคิดว่าจะเป็นบ้านสุดท้ายในการบำเพ็ญภาวนาในชีวิตของท่าน หลวงปู่ได้พักค้างคืนบนถ้ำผาปล่องหนึ่งคืน แล้วก็ลงไปพักที่ถ้ำปากเปียงต่อ ต่อจากนั้นท่านก็ได้แวะเวียนไปพักที่ถ้ำผาปล่องอีกเสมอ ท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร ในปี พ.ศ. 2504 ท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร (ท่านเจ้าคุณพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์) เจ้าอาวาสวัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศิษย์ในสายพระกรรมฐานของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เช่นกัน ได้ถึงแก่มรณภาพ ทางคณะสงฆ์จึงลงมติขอให้หลวงปู่รับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส หลวงปู่จึงได้ช่วยอยู่ดูแลวัดอโศการาม ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาสจนกระทั่งปี พ.ศ. 2508 และในปี พ.ศ. 2509 หลวงปู่ได้รับการขอร้องจากท่านเจ้าคุณพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฎ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ให้หลวงปู่ช่วยรับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส หลวงปู่สิมจึงจำใจต้องรับเป็นเจ้าอาวาสให้วัดป่าสุทธาวาส อยู่ 1 พรรษา โดยที่ใจจริงของท่านนั้นเบื่อหน่ายคิดอยากแต่จะออกธุดงค์อยู่เรื่อยไป หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ในระหว่าง พ.ศ. 2506 - 2509 หลวงปู่ได้มีปัญหาอาพาธด้วยโรคไตมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2510 ด้วยปัญหาสุขภาพของหลวงปู่ หลวงปู่จึงได้ตัดสินใจวางภารกิจต่างๆ โดยลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัดที่ท่านดูแลอยู่ จากนั้นท่านก็มาพำนักจำพรรษา ณ ถ้ำผาปล่อง ตลอดมา ในปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่ได้เดินทางไปมนัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย และได้เดินทางไปอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2523 นอกจากนี้แล้วหลวงปู่ยังได้มีโอกาสเดินทางไปที่เมืองปีนังปีนัง ประเทศมาเลเซีย, กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตลอดถึงทวีปยุโรปและอเมริกาอีกด้วย หลวงปู่สิมท่านมีความขยันขันแข็งและตั้งใจมั่นตั้งแต่เด็ก ดังเช่นพระอาจารย์ศรีทอง (พระอุปัชฌาย์ เมื่อครั้งเป็นพระในสังกัดมหานิกาย) ได้เล่าว่า ครั้งเมื่อทางวัดมีการขุดสระ สามเณรสิมก็ไปช่วยขุดและขุดจนกระทั่งใครต่อใครเขาทิ้งงานไปหมด เนื่องจากขุดลงไปลึกถึงสิบเอ็ดสิบสองวาแล้วก็ยังไม่มีน้ำ เมื่ออุปัชฌาย์ถามว่า “จะขุดไปถึงไหนกัน” สามเณรสิมตอบว่า “ขุดไปจนสุดแผ่นดินนั่นแหละ” ปฏิปทาของหลวงปู่ที่แสดงถึงความมีเมตตาอย่างล้นเหลือต่อบรรดาลูกศิษย์ลูกหานั้น ท่านได้แสดงให้ปรากฏเห็นอยู่เนืองๆ หลวงปู่ปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่นใกล้ชิดเหมือนพ่อดูแลลูกๆ ภาพในอดีตที่ประทับใจลูกศิษย์ (คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์) ภาพหนึ่งก็คือ เวลาที่พระเณรอาพาธ หลวงปู่จะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ ไม่ยอมห่าง จนกระทั่งผู้ป่วยอาการดีขึ้น ครั้งหนึ่งเณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิ ตัวเหลืองซูบซีดผอมเพราะฉันอาหารไม่ได้เลย “แม่ไล” ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา ทำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้ แต่หลวงปู่ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่อย่างใจเย็นได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านขึ้นว่า “วันพรุ่งนี้เถอะเน้อ ไปบิณฑบาตได้กล้วยก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน” งานพัฒนาชุมชนที่นับว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของหลวงปู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียงร่วมแรงร่วมใจกันทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส และผลงานก็ได้ก่อประโยชน์เป็นเอนกอนันต์แก่ชาวบ้านเกษตรกร ก็คือ งานสร้างฝายน้ำล้นลำน้ำอูน ที่ท่าวังหิน ซึ่งก็คือบริเวณสำนักสงฆ์เวฬุวันสันติวรญาณ ในปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ. 2521 ภายหลังจำพรรษาที่วัดสันติสังฆาราม หลวงปู่ก็ได้รับอาราธนาจากชาวบ้านทั้ง 4 ตำบล ใน 2 เขตอำเภอ ให้มาเป็นประธานในการสร้างฝายน้ำล้นกั้นลำน้ำอูน งานสร้างฝายน้ำล้นชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของหลวงปู่เด่นชัดมาก ในเรื่องความเป็นผู้เอาใจใส่ และรับผิดชอบในภารกิจ เมื่อที่ประชุมปรึกษาหารือกันว่าเห็นควรจะเริ่มงานกันวันใหม่ หลวงปู่ก็ว่าให้เริ่มงานกันวันนี้เลย หลวงปู่เป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร ทุกวันหลวงปู่จะพาเริ่มงานตั้งแต่เวลาตี 4 ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น พอเวลา 10 โมงเช้าจึงพักฉันอาหาร หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนมืดค่ำ พอถึงเวลา 1 ทุ่ม หลวงปู่ก็จะนำพาทำวัตรสวดมนต์ และฟังเทศน์ เสร็จแล้วก็เริ่มทิ้งหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็เวลา 4 ทุ่ม หรือบางวันหากงานติดพันจะได้จำวัดก็เป็นเวลาถึงตีหนึ่งตีสอง เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จ หลวงปู่จึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง หลวงปู่ได้รับสมณศักดิ์ “พระครูสันติวรญาณ” ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2502 และได้รับพัดยศโดยเลื่อนจากสมณศักดิ์ที่ “พระครูสันติวรญาณ” เป็น “พระญาณสิทธาจารย์” ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535 และในคืนวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2535 พระเณรพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกาได้พร้อมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ฉลองสมณศักดิ์ถวายแด่หลวงปู่ ที่ถ้ำผาปล่อง หลังจากเจริญพระพุทธมนต์หลวงปู่ได้พาพระเณรและญาติโยมนั่งภาวนา ต่อจนถึงเวลาประมาณ 21.30 นาฬิกา แล้วท่านก็นั่งพักดูบริเวณภายในถ้ำอีกประมาณ 20 นาที คล้ายกับจะเป็นการอำลา จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 นาฬิกา ท่านจึงกลับเข้ากุฏิที่พักด้านหลังภายในถ้ำผาปล่อง และได้มรณภาพในเวลาประมาณตีสาม สิริรวมอายุของหลวงปู่ 82 ปี 9 เดือน 19 วัน อายุพรรษา 63 พรรษา สรีระศพหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
พระสมเด็จแพ 5 พัน พิมพ์ไกเซอร์ พิเศษ เนื้อผงลายเสือ บรรจุตะกรุดสามกษัตริย์ ทองคำ เงิน ทองแดง รวม 3 ดอก หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จัดสร้าง พ.ศ.2534 องค์พระมีขนาด 2.6 x 4 ซ.ม. และหนาถึง 8 ม.ม. สภาพเก็บเดิม กล่องเดิม ยังมองเห็นคราบแป้งโรยพิมพ์อยู่ครับ ชั่วโมงนี้ตระกูลแพพันโดยเฉพาะรุ่นและปีลึกๆ ทั้งแบบพิเศษต่างๆ เป็นที่นิยมกันมากทั้งสายตรงในประเทศ และคณะศิษยานุศิษย์ต่างประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย พระสมเด็จแพ 5 พัน ถือเป็นรุ่นเลขมงคล หมายถึง ชัยชนะและความสำเร็จ
แดงแรกเชิญครับ พระโพธิจักร หลวงพ่อลี วัดอโศการาม ปี2500 พระเคยเลี่ยมมาบรรยายตามรูป พร้อมบัตรับรองครับ
ผู้ประมูลได้ ช่วยกรุณา แจ้งการโอนเงิน ทาง MAIL BOX ด้วยนะครับเพราะสะดวกและรวดเร็วในการจัดส่ง ขอบคุณมากครับ
เชิญแดงแรกครับ พระแผง ตัดคู่ เนื้อชินเงิน กรุวัดราชบุรณะ พร้อมบัตรรับรองครับ รับประกันตามกฎครับ
เหรียญเม็ดแตงหลวงปู่ดุลย์ รุ่นแจกแม่ครัว ปี2526เนื้อทองแดง วัดบูรพาราม จสุรินทร์ พร้อมบัตรรับรองDDครับท่าน
ประวัติการสร้างพระสมเด็จอาจารย์สุพจน์ ท่านอาจารย์สุพจน์(พระครูพุทธมนต์วราจารย์)ท่านเป็นพระที่เก่งเงียบท่านมี วิชาลบผงและสร้างผงจากตำราโบราณของวัดสุทัศน์ และเป็นสหายธรรมกับหลวงปู่นาค และหลวงปู่หินแห่งวัดระฆังฯ จึงได้รับมอบพระสมเด็จวัดระฆังที่ชำรุดแตกหักมาสร้างพระชุดนี้ และท่านได้กราบเรียนสมเด็จพระสังฆราชแพเพื่อขออนุญาตินำพระเข้าร่วมปลุกเสก ในพิธีอินโดจีนปี2485 ในวันที่1 กุมภาพันธ์ 2485 ที่วัดสุทัศน์โดยมีสมเด็จพระสังฆราชแพเป็นองค์ประธานในพิธี พระสวย ดูง่ายครับ เนื้อจัดมากครับ เพราะมีส่วนผสมของชิ้นส่วนวัดระฆังที่แตกหัก รับประกันตามกฏครับ
เหรียญรูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์โต รุ่นปี ๑๗ หรือ รุ่นอนุสรณ์ครบรอบการมรณภาพครบ ๑๐๑ ปี ที่ทางวัดใหม่อมตรสบางขุนพรหม จัดสร้างขึ้นนี้เป็นเหรียญรูปไข่หูในตัว ด้านหน้าตรงกลางเป็นรูปสมเด็จพระพุฒาจารย์โตครึ่งองค์ ด้านบนมีตัวหนังสือว่า “สมเด็จพระพุฒาจารย์” ด้านล่างระบุว่า “โต พรหมรํสี” ด้านหลังตรงกลางมียันต์รูปวงกลมมีอักขระ และล้อมรอบด้วยอักขระอีกชั้นหนึ่งด้านบนโค้งตามขอบเหรียญเขียนว่า “อิติสุคะโต นะโม พุทธายะ” ด้านล่างระบุชื่อ “วัดใหม่บางขุนพรหม พ.ศ.๒๕๑๗” ขนาดของเหรียญกว้างประมาณ ๒.๕ ซ.ม. และสูงประมาณ ๓.๕ ซ.ม. มีด้วยกัน ๔ เนื้อ คือ เนื้อทองคำ , เนื้อเงิน , เนื้อนวโลหะ , เนื้อทองแดงรมดำ เหรียญทุกเนื้อบรรจุในกล่องก่อนให้บูชา สำหรับเหรียญเนื้อทองคำ,เนื้อเงิน และเนื้อนวโลหะมีการตอกโค๊ดรูปเจดีย์ ตอกไว้ที่ด้านหลัง ป้องกันการปลอมแปลงและเป็นสัญลักษณ์ไว้ด้วย พระเกจิอาจารย์ที่ร่วมปลุกเสก อาทิ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพระองค์ หลวงพ่อเทียน วัดกษัตราธิราช หลวงปู่หิน วัดระฆัง