เวปประมูลก็ต้องเคาะประมูล ชิมิๆ เคาะกันวันละนิดจิตแจ่มใส พี่ๆแต่ละท่านก็มี ((( สไตล์ ))) ที่แตกต่างกัน อย่าว่างั้นงี้เลย ปอดกับหัวใจนู๋ไม่ค่อยแข็งแรง " พี่ๆคงไม่ปล่อยให้นู๋เร้าใจอยู่คนเดียวนะคร๊าบบบ " พี่ๆแวะชมดูแล้วล็อคอินกันรึยังจ๊ะ วันนี้เปิด พรุ่งนี้ปิด ??? ลับแป้นรอกันเร้ยยย..ไม่เก็บวันนี้วันหน้าจะไม่มีให้เก็บนะจ๊ะ ผ้ายันต์ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก นครปฐม ((( อนุสรณ์ 100 ปี ปี2536 เก่าตามสภาพ ))) ...คลาสสิคสุดๆ ควรค่าแก่การบูชา น่าสะสมจังเลย คร๊าบ... (เพื่อความอุ่นใจ..พี่ๆลองเช็คราคานอกเวปดูก่อนเข้าร่วมประมูลนะคร๊าบบบ ^_^) หมายเหตุ ทุกข้อสงสัยล้วนมีคำตอบ สงสัยเรื่องใดเมล์ถามข้อมูลได้เลยคร๊าบบบ พี่ๆ ชาวดี ดี..... *** จัดส่งพระตามรูป รับประกันตามกฎเวป *** ผู้ชนะการประมูลโอนเงินแล้วรบกวนฝากข้อความในกล่องข้อความหรือโทร.แจ้งก็ได้นะครับ เพื่อความรวดเร็วในการจัดส่ง จัดส่งไปรษณีย์ลงทะเบียน ปลอดภัย ไร้กังวล คร๊าบ... ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเยี่ยมชมหรือเข้าร่วมการประมูล ขอบพระคุณคร๊าบบบ ^_^
เวปประมูลก็ต้องเคาะประมูล ชิมิๆ เคาะกันวันละนิดจิตแจ่มใส พี่ๆแต่ละท่านก็มี ((( สไตล์ ))) ที่แตกต่างกัน อย่าว่างั้นงี้เลย ปอดกับหัวใจนู๋ไม่ค่อยแข็งแรง " พี่ๆคงไม่ปล่อยให้นู๋เร้าใจอยู่คนเดียวนะคร๊าบบบ " พี่ๆแวะชมดูแล้วล็อคอินกันรึยังจ๊ะ วันนี้เปิด พรุ่งนี้ปิด ??? ลับแป้นรอกันเร้ยยย..ไม่เก็บวันนี้วันหน้าจะไม่มีให้เก็บนะจ๊ะ เหรียญ พระพุทธชัยมงคล วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่ รุ่นพิเศษ ((( หลังครูบาเจ้าดวงดี ))) เก่าตามสภาพ ...คลาสสิคสุดๆ ควรค่าแก่การบูชา น่าสะสมจังเลย คร๊าบ... (เพื่อความอุ่นใจ..พี่ๆลองเช็คราคานอกเวปดูก่อนเข้าร่วมประมูลนะคร๊าบบบ ^_^) หมายเหตุ ทุกข้อสงสัยล้วนมีคำตอบ สงสัยเรื่องใดเมล์ถามข้อมูลได้เลยคร๊าบบบ พี่ๆ ชาวดี ดี..... *** จัดส่งพระตามรูป รับประกันตามกฎเวป *** ผู้ชนะการประมูลโอนเงินแล้วรบกวนฝากข้อความในกล่องข้อความหรือโทร.แจ้งก็ได้นะครับ เพื่อความรวดเร็วในการจัดส่ง จัดส่งไปรษณีย์ลงทะเบียน ปลอดภัย ไร้กังวล คร๊าบ... ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเยี่ยมชมหรือเข้าร่วมการประมูล ขอบพระคุณคร๊าบบบ ^_^
พระสมเด็จฐานนะโมพุทธายะ หลัง ชร บรรจุกริ่งข้างใน วัดชิโนรสาราม กรุงเทพฯ ปี 2512 หายาก ประวัติ พระชุดนี้ จัดสร้างโดย พระปลัดมานพ วัดชิโนรสาราม กรุงเทพฯ ได้จัดสร้างเมื่อปี 2512 พิธีพุทธาภิเษก 22 - 31 ส.ค.2512 จัดเป็นชุดพระเครื่องที่มีรูปแบบสวยงาม พิธีใหญ่ มีพระเกจิดังๆ ร่วมงานเพียบ อาทิ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อสุข วัดโพธิ์ทรายทอง อาจารย์นำ วัดดอนศาลา หลวงพ่อมิ่ง วัดกก ธนบุรี หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อดี วัดพระรูป เป็นต้น พระชุดนี้ เกจิอาจารย์ที่ร่วมงานถึงกับออกปากว่าเป็นของดี ที่น่าใช้ และทำให้ศิษย์สายหลวงพ่อสุข วัดโพธิ์ทรายทอง สะสมกัน เนื่องจาก หลวงปู่สุข ธมมโชโต ได้นำกลับมาทำการปลุกเสกเดี่ยวให้อีกครั้งใน วันที่ 1 ก.ย.2512 (บางส่วน)
หลวงพ่อวัดเขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่วัดเขาตะเครา ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ และมีชื่อเสียงมานาน ที่ได้นามว่า วัดเขาตะเครา เพราะได้สันนิษฐานกันว่า มีเจ้าสัวชาวจีนผู้หนึ่งมีศรัทธามาก เมื่อได้พระพุทธรูปหลวงพ่อขึ้นมาแล้ว และนำมาประดิษฐาน ณ บ้านแหลม จึงได้สละทรัพย์สร้างเป็นวัดขึ้น ให้นายช่างซึ่งเป็นลูกน้องไม่ปรากฎนาม เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง นายช่างเป็นชาวจีน จึงไว้เครายาว ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวจีนในยุคนั้น ชาวบ้านเห็นคนจีนเอาไว้เครายาวดังนี้ จึงเรียกวัดและเขา ผนวกกันเข้าไปว่า วัดเขาจีนเครา ต่อมาคำว่า จีนเป็นคำเรียกยากสำหรับชาวเมืองเพชร ไม่คุ้นหูชาวบ้าน ในยุคต่อมาจึงเปลี่ยนคำว่า จีน เป็น ตา กลายเป็นเขาตาเครา เมื่อกาลเวลาล่วงไป ภาษากร่อน สระอา จึงกลายเป็นสระอะ เปลี่ยนจาก ตา เป็น ตะ นามที่เรียกกันในปัจจุบันจึงเรียกกันว่า วัดเขาตะเครา ส่วนหลวงพ่อวัดเขาตะเครา นี้ มีตำนานเกี่ยวกับท่านสองตำนานคือ ตำนานแรก ท่านเป็นพี่น้องกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อีกสององค์คือ หลวงพ่อพุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา และหลวงพ่อวัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม (หรือวัดเพชรสมุทร) อีกตำนานหนึ่ง เชื่อว่าท่านเป็นพี่น้องกับพระพุทธรูปอีกสององค์คือ หลวงพ่อวัดบางพลีใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ และหลวงพ่อวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ท่านเป็นพี่น้องกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์ใดแน่ หากเอาตามตำนานหรือประวัติของวัดบ้านแหลม หรือวัดเพชรสมุทร กับของวัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี แล้วใกล้เคียงกัน และพื้นที่จังหวัดก็อยู่ติดต่อกันด้วย จึงขอเล่าประวัติของหลวงพ่อวัดเขาตะเครา หรือหลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา ไว้ดังนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๓๐๒ ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ ให้แก่พม่า (เสียกรุงครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๐๑) ชาวบ้านแหลม เพชรบุรี ได้อพยพหนีทัพพม่า ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากแม่น้ำแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ใกล้กับวัดบ้านแหลม หรือวัดเพชรสมุทร ในปัจจุบัน ซึ่งเวลานั้น วัดบ้านแหลมชื่อว่า วัดศรีจำปา เป็นวัดร้าง ชาวบ้านแหลมที่อพยพไปอยู่ จึงช่วยกันบูรณะ ก่อสร้างขึ้นใหม่แล้วให้ชื่อตามท้องถิ่น ที่พวกตนจากมาคือชื่อ วัดบ้านแหลม เพื่อเป็นอนุสรณ์ของชาวบ้านแหลมผู้สร้าง และต่อมาได้เปลี่ยนเป็น วัดเพชรสมุทร วันหนึ่งชาวบ้านแหลมที่มีอาชีพดั้งเดิมคือ ชาวประมง ได้ไปจับปลาลากอวน ลากอวนติดเอาพระพุทธรูปมา ๒ องค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่ง ปางมารวิชัย อีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปยืน จึงนำองค์พระพุทธรูปยืน มาประดิษฐานไว้ ณ วัดบ้านแหลม (วัดศรีจำปา) ต่อมาชาวบ้านเรียกพระพุทธรูปยืนองค์นี้ว่า หลวงพ่อบ้านแหลม ตามนามที่ได้พระพุทธรูปมา ส่วนอีกองค์หนึ่ง ที่เป็นพระพุทธรูปนั่งนั้น ได้มอบให้ชาวบ้าน ชาวบางตะบูน ซึ่งเป็นท้องถิ่นเดิมที่พวกตนได้จากมา ชาวบางตะบูน จึงนำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดเขาตะเครา และเรียกกันว่า หลวงพ่อวัดเขาตะเครา ส่วนที่เรียกกันในภายหลังว่า หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา เพราะว่าเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๒๗ เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ เณรรูปหนึ่ง ได้วิ่งมาบอกเจ้าอาวาสคือ พระครูวชิรกิจโสภณ ว่า เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นที่โบสถ์ พระเณรจึงวิ่งไปดูที่โบสถ์ เห็นไฟไหม้ลุกท่วมองค์หลวงพ่อทอง และไฟได้ไหม้ลุกลามขึ้นไปสูง ปรากฎว่ามีทองคำหลอมเหลวไหลออกมาจากหลวงพ่อทอง เมื่อไฟดับแล้ว นำทองคำไปชั่งได้น้ำหนักถึง ๙ กิโลกรัม ๙ ขีด ท่านเจ้าอาวาสจึงนำทองคำไปหล่อเป็นลูกอมทองไหล หลวงพ่อทอง ลักษณะเป็นรูปทองคำทรงกลม และมีรูปหลวงพ่อทองติดอยู่ แล้วหุ้มรูปทรงกลมด้วยพลาสติค นำออกให้ประชาชนเช่าบูชา มีรายได้เข้าวัดเป็นเงินมากถึง ๒๑ ล้านบาทเศษ และนำรายได้นี้ไปสร้างมณฑป สร้างโรงเรียน สร้างประปา สร้างศาลาเอนกประสงค์ หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา ปัจจุบันไม่ได้ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถ แต่ประดิษฐานอยู่ในศาลาหลังคาสีแดง ตรงข้ามกับอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๒๑ นิ้ว สูง ๒๙ นิ้ว ประดิษฐานอยู่ที่วัดเขาตะเครา นับถึง พ.ศ.๒๕๕๑ เป็นเวลา ๒๔๔ ปี ส่วนหลวงพ่อที่เป็นพระประธานในอุโบสถนั้น นามหลวงพ่อคือ หลวงพ่อเทวฤทธิ์ ประดิษฐานในอุโบสถ เป็นพระทรงเครื่องแบบเทวรูป สูง ๕๔ นิ้ว หน้าตักกว้าง ๓๘ นิ้ว เนื้อปูน เป็นพระเก่าแก่องค์หนึ่ง พุทธลักษณะคล้ายกับพระประธานในอุโบสถวัดพระเมรุ ที่อยุธยา การปั้นอยู่ในลักษณะเดียวกัน ปูนก็ชนิดเดียวกัน มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา ชาวบ้านในละแวกนั้น และชาวจังหวัดใกล้เคียว หากจะบนบานขอพึ่งพระบารมี ไม่ว่าในด้านใด ๆ ก็ตาม มักจะไปขอคู่กันคือ ขอจากหลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา ในศาลาหลังคาสีแดง ก่อน แล้วจึงไปขอจากหลวงพ่อเทวฤทธิ์ ในอุโบสถควบคู่กันไป มักได้รับความสำเร็จสมปรารถนา วัดเขาตะเครา ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกองค์หนึ่ง ประดิษฐานเป็นพระประธาน อยู่ในวิหารบนเขาที่อยู่ด้านหลังอุโบสถ มีบันไดให้ขึ้นไปนมัสการได้ หลวงพ่อองค์นี้ สร้างจำลองแบบหลวงพ่อเขาตะเครา สูง ๗๗ นิ้ว หน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้ว ปั้นด้วยปูนขาวผสมน้ำเชื้อแบบโบราณ ตามตำนานเล่าไว้ว่า เมื่อได้หลวงพ่อทอง มาแล้ว ก็นำไปประดิษฐานไว้ที่ยอดเขาตะเครา เพื่อความสะดวกในการที่จะผ่านไป ผ่านมา ระหว่างแม่กลองกับบ้านแหลม ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของตน สมัยก่อนทะเลกับเขาตะเครา ไม่ห่างกันมากนัก เมื่อชาวทะเลผ่านมาทางทะเล ก็นมัสการได้จากในทะเล ต่อมาชายทะเลได้งอกยาวออกไป นมัสการจากทะเลชักจะมองไม่เห็น ต้องขึ้นจากเรือมานมัสการบนบก ก็ต้องไต่เขาขึ้นไปเพราะยังไม่มีบันไดให้ขึ้น ได้สะดวกเช่นทุกวันนี้ (ขนาดมีบันได คนปูนผมก็หัวใจเกือบวาย) ชายทะเลก็งอกยาวออกไปไม่รู้จบ จึงได้ย้ายหลวงพ่อทอง ลงมาไว้ที่อุโบสถ และย้ายต่อมาไว้ที่ศาลาหลังคาแดง (น่าจะย้ายลงมาหลังเกิดไฟไหม้แล้ว) ในอุโบสถจึงสร้างหลวงพ่อเทวฤทธิ์เอาไว้ ส่วนวิหารยอดเขาตะเครา สร้างหลวงพ่อหมอ ไว้แทนหลวงพ่อทองวัดเขาตะเครา เหตุที่ไปเรียกท่านว่า หลวงพ่อหมอ ก็เพราะประชาชนละแวกนั้น ในสมัยก่อน เมื่อยามเจ็บป่วย หาหมอรักษายาก จึงเด็ดเอาต้นไม้บนเขา ที่เชื่อแน่ว่ากินได้ ถือว่าเป็นยาของหลวงพ่อ แล้วใส่หม้อยาเอาไปตั้งหน้าหลวงพ่อ จุดธูป เทียน อธิษฐานขอให้กินยาในหม้อนี้ แล้วหายโรค แล้วนำขี้ธูปเศษเทียน ที่จุดบูชาใส่ลงไปในหม้อด้วย นำไปต้มกิน ปรากฎว่าหายมากว่าตาย จึงเรียกท่านว่า หลวงพ่อหมอ และยังมีอีกในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ในด้านเมตตามหาลาภ ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเป็นหมอเท่าไรนัก หากผู้ใดเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ไม่สามารถหาทางออกได้ อาจจะถึงขั้นล้มละลาย หายนะแล้ว ก็จุดธูปเทียนออกนามหลวงพ่อหมอ หลวงพ่อหมอ อาจจะไปเข้าฝันบอกลาภให้ ก็จะพ้นจากล้มละลายหายนะได้ และยังมีอีกหลายเรื่อง
รับประกันแท้ตามกฎดีดี ถ้าได้โอนเงินให้แล้วช่วยแจ้งรายละเอียดและยอดเงินให้ทราบทาง maibox หรือโทรแจ้ง เนื่องด้วยมียอดซ้ำและเพื่อรวดเร็วในการจัดส่ง...*****การจัดส่ง...ยอดเงินไม่เกิน 500 บาท จัดส่งให้แบบลงทะเบียน ถ้าเกิน 500 บาท จัดส่งให้แบบ EMS. และหลังการจัดส่งแล้วจะแจ้งเลขไปรษณีย์ให้ทราบในinbox ของท่านค่ะ....****และภาพที่ลงประมูลเป็นภาพองค์จริงที่ลงประมูลค่ะ ถ้ามีกล่อง ซอง ก็จะถ่ายให้ดูด้วยค่ะ ****.***** ถ้ารายการพระที่ปิดประมูลราคาไม่เกิน 1000 บาท และผู้ปิดประมูลต้องการออกบัตร ขออนุญาติให้ส่งออกเองนะคะ (เนื่องด้วย เรารับประกันแท้ตามกฎ ถ้าพบว่าไม่แท้เราก็ยินดีคืนเงิน+ค่าใช้จ่ายให้อยู่แล้วค่ะ )แต่ถ้าเกิน1000 บาท แล้วต้องการออกบัตร ต้องบวกค่าใช้จ่ายตามเวปกำหนดเพิ่มด้วยค่ะ แจ้งมาเพื่อให้ผู้ร่วมประมูลทราบกันค่ะ ขอบคุณค่ะ ***เฉพาะหนังสือขอจัดส่งให้แบบลงทะเบียนนะคะ เนื่องจากมีน้ำหนักมากค่าจัดส่งสูง
พระชุดวัดประสาทบุญญาวาส สามเสน กรุงเทพฯ ปี ๒๕๐๖ มวลสารผสมผงวัดระฆัง และสมเด็จบางขุนพรหม จัดสร้างโดย "พระสมุห์อำพล" อดีตเจ้าอาวาสวัดประสาทฯ ในช่วงปี ๒๕๐๕ - ๒๕๐๙ มวลสารผสมผงวัดระฆังฯ โดยท่านพยายามเสาะหาผงวิเศษจากหลายๆพระอาจารย์รวมทั้งชิ้นส่วนพระเครื่องแตก หักเก่าๆทั้งพระกรุและพระเกจิอาจารย์นับไม่ถ้วน โดยเฉพาะชิ้นส่วนแตกหักของ "สมเด็จบางขุนพรหมกรุใหม่" ที่ทางวัดเปิดกรุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ มีจำนวนหลายลังทีเดียว ว่ากันว่า พระผงวัดประสาทฯ มีชิ้นส่วนแตกหักของพระสมเด็จบางขุนพรหมมีผสมอยู่มากกว่าสมเด็จบางขุนพรหม ๐๙ เสียอีก พระเกจิที่มาร่วมพิธีวัดประสาทฯ นั้นก็มีมากถึง ๒๐๐ กว่ารูป จนนั่งภายในพระอุโบสถไม่หมด ต้องให้นั่งข้างนอกพระอุโบสถแล้วโยงสายสิญจน์ออกมา พิธีในครั้งนั้นจัดว่าเป็นพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ ที่สุดนับแต่พิธีปลุกเสกพระเครื่องฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เป็นต้นมา *** มวลสาระสำคัญที่ได้รับมอเพื่อการจัดสร้างพระมีดังนี้ *** 1.มวลสารในการจัดสร้างสุดยอด มีส่วนผสม - ผงสมเด็จบางขุนพรหม พระครูบริหารคณาวัตร รองเจ้าอาวาสมอบให้ - ผงพระหักสมเด็จพระพุฒาจารย์โต - ผงพระหักสมเด็จปิลันท์ ซึ่งพบในเจดีย์วัดเทพากร - ผงพระเครื่องของขวัญวัดปากน้ำ ลพ.สดมอบให้วัดประสาทเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ - ผงพระหักกรุลำพูน - ผงพระกรุวัดพลับ - ผงหลวงพ่อโอภาสี เป็นต้น เกจิที่ร่วมพิธีปลุกเสก อาทิ เช่น อาจารย์ทิม วัดช้างไห้ ลป.โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ลพ.น้อย วัดธรรมศาลา ลพ.เงิน วัดดอนยายหอม ลพ.พรหม วัดช่องแค ลป.ทิม วัดละหารไร่ ลพ.กวย วัดโฆสิตาราม ลพ.คล้าย วัดสวนขัน ลป.เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ลป.เฮี้ยง วัดป่าฯ ลพ.แดง วัดเขาบันไดอิฐ ลพ.มุ่ย วัดดอนไร่ ลพ.ทบ วัดชนแดน ลป.เขียว วัดหรงมล ลพ.จง วัดหน้าต่างนอก ลพ.เต๋ วัดสามง่าม ลป.สี วัดสะแก ลป.เทียน วัดโบสถ์ ลป.นาค วัดระฆังฯ ลพ.เนื่อง วัดจุฬามณี ลพ.โบ๊ย วัดมะนาว ฯลฯ ส่งพระองค์ตามภาพ พร้อมบัตร DD - PRA
พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย (พระวิสุทธิญาณเถร) เหรียญ รุ่น17 เสือ-วัว ปี พ.ศ.๒๕๒๑ เนื้อทองแดง บล๊อค นวะ พิมพ์ใหญ่ สวยเดิม
หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม เหรียญ(รุ่นแรก) เนื้อทองแดงรมดำ พ.ศ 2517 เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่เม้า วัดสี่เหลี่ยม จ.บุรีรัมย์ พ.ศ 2517 เนื้อทองแดงรมดำ สภาพสวย *หลวงปู่ท่านเกิดในสกุลสุราษฎร์ มีนามเดิมว่าเม้าเกิดเมื่อขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปี 2417 เมื่ออายุ 13 ขวบได้บรรพชาเป็น สามเณรจนถึงอายุได้ 20 ขวบจึงได้อุปสมบทเป็นพระ ณ ที่วัดใหม่เรไรทอง โดยมีพระอาจารย์เพียรเป็นพระอุปัชณาย์ ซึ่งพระอาจารย์องค์นี้เป็นพระนักวิปัสสนาที่มีชื่อเสียงในสมัยโน้น เมื่อเรียนได้ 5 ปีก็เรียนรู้จากอาจารย์จนหมดสิ้นจาก นั้นท่านก็เดินธุดงค์ไปศึกษากับอาจารย์เสาร์กันตสีลเถระ ซึ่งขณะนั้นท่านพระอาจารย์มั่นภูริทัตตเถระได้จำวัดที่วัดเลียบ จังหวัด.อุบลราชธานี จากนั้นท่านก็ได้เดินธุดงค์ไปตามที่ต่างๆเพื่อบำเพ็ญเพียรในระหว่างเดินทางธุดงค์นั้นท่านได้บูรณะสิ่งก่อสร้างต่างๆไว้มากมาย เช่นพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฎิ โรงเรียนและสระน้ำ ซึ่งนับว่าบุญบารมีของ หลวงปู่มีมากจึงสามารถบูรณะสิ่งต่างๆได้มาก *หลวงปู่เม้า พลวินิโย วัดสี่เหลี่ยม อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่จัดอยู่ในชั้นแนวหน้าของคณาจารย์เรืองวิทยาคุณทั้งหลาย ของดีแต่ละชนิดที่ท่าน สร้างขั้นแจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์ปรากฎคุณวิเศษนานาประการ จนเป็นที่นิยมแสวงหาของนักสะสมพระเครื่องทั่วไป และเป็นที่เคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยจริยาวัตรที่หมดจดงดงามไม่บกพร่องด่างพร้อยแต่ประการใด อีกทั้งเป็นพระ เถระที่มีความเชี่ยวชาญในวิทยาคม และเคร่งครัดในการวิปัสสนากรรมฐานที่สูงอีกรูปหนึ่ง ปัจจุบันนี้ท่านก็มีอายุครบ 100 ปี แต่ก็ยังเดินได้คล่องไม่แพ้คนหนุ่ม ซึ่งนับว่าท่านเป็นพระเถระที่มีอายุยืนและมีวาสนามากในยุคนี้ *หลวงปู่เม้า พลวินิโย ท่านได้ถือการธุดงค์วัตรเป็นนิจสิน ท่านได้ธุดงค์ในจังหวัดต่างๆ ยินดี ส่งออกบัตรรับรอง และ โอนเงินผ่านเว็บดีดีพระ พุทธคุณเหนือ คำบรรยาย พิธีใหญ่ครับ ไม่ผ่านการล้าง ไม่ผ่านการใช้พุทธคุณเหนือคำบรรยาย ศิษย์สายตรง ไม่ควรพลาด!! หายากๆ สร้างน้อยๆ พระดี พระสวย ไว้ใจผม พันธุ์ทิพย์ครับ โอนเร็ว ส่งไว ทันใจแน่นอนครับๆๆๆๆๆๆๆๆ ผู้ชนะการประมูลโอนเงินแล้วรบกวนฝากข้อความในกล่องข้อความหรือโทร.แจ้งก็ได้นะครับ บริหารงานโดย พันธุ์ทิพย์ ครับ ชื่อนี้ ไม่มีผิดหวัง รายการวัดใจ มีเรื่อยๆ ฝาก คลิ๊ก !! หลังชื่อด้วยนะครับ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เปิดประวัติ พระหลวงปู่แหวน วัตถุมงคลดัง เหรียญหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง หรือที่รู้จักกันในนาม "พระอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม" มีนามเดิมว่า "ญาณ" โยมบิดาชื่อ นายใส โยมมารดาชื่อ นางแก้ว อาชีพทำนาและตีเหล็ก เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2430 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน ณ บ้านหนองบอน หมู่ 2 ตำบลนาโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย มีพี่น้อง 2 คน ท่านเป็นคนที่ 2 ประวัติหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง ท่านออกบรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุได้ 13 ปี โดยมีจิตมุ่งมั่นจะอยู่ในสมณเพศ ตามแนวความคิดของมารดาเมื่อครั้งยังมีชีวิต เมื่อออกบรรพชาเป็นสามเณรนั้นได้บวชในฝ่ายมหานิกาย โดยมีพระอาจารย์คำมา เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "แหวน" สามเณรแหวนสนใจปฏิบัติธรรมและเรียนรู้ในตำราต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง แม้ด้วยวัยเพียง 13 ปี ท่านก็สามารถอ่านตำราในใบลานได้ทั้งภาษาขอม และภาษาล้านนาจนแตกฉาน ในด้านความประพฤติตนของสามเณรแหวนนี้เป็นที่น่าเลื่อมใสและก่อศรัทธาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านขยันเจริญสมาธิ ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว และไม่เสพเนื้อสัตว์ บุคลิกลักษณะสุขุม พูดน้อย ดูเคร่งขรึมสมกับการครองเพศสมณะ อาจารย์อ้วน ผู้มีศักดิ์เป็นอาของสามเณรแหวน ได้พิจารณาส่งเสริมความตั้งใจศึกษาของหลานเป็นอย่างดี ได้นำไปฝากเรียนธรรมและวิชาการอื่นๆ ที่สำนักสงฆ์วัดนาสัก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และได้ไปเรียนต่อ ณ สำนักสงฆ์วัดสร้างถ่อ อำเภอหัวสะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ณ วัดนี้ ได้มีพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ทางภาษาบาลี ภาษาไทย ทำให้ได้เข้าใจและรู้แจ้งในธรรมะขึ้นอีก ความใฝ่รู้ของท่านทำให้รู้และเริ่มเชี่ยวชาญในทางไสยศาสตร์ประกอบไปด้วย เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดสร้างถ่อนอก (ห่างจากวัดสร้างถ่อเล็กน้อย) บวชในฝ่ายมหานิกายเช่นเดิม ได้ศึกษาธรรมวินัย ธรรมปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผู้รอบรู้ทั้งปริยัติธรรมตลอดจนถึงวิชาอาคมอย่างกว้างขวาง จากความที่ท่านเป็นผู้ชอบแสวงและใฝ่หาความรู้นั้นเอง จึงเกิดความคิดที่จะออกเสาะหาอาจารย์ผู้ที่จะประสิทธิ์ความรู้ให้แก่ท่านต่อไปอีก จึงได้ออกเดินทางธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ขณะที่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เริ่มออกธุดงค์เพื่อแสวงหาโมขธรรมนั้นอายุได้ประมาณ 30 ปี บ่อยครั้งจากการธุดงค์ได้พบสหายธรรมจากที่ต่างๆ บ้างก็เป็นพระสงฆ์ในแนวมหานิกายด้วยกัน บ้างก็เป็นสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย แต่ก็มีความผูกพันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตลอดกระทั่งมีการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อคิดต่างๆ แก่กันเสมอ ผู้ที่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ สนิทสนมด้วยเป็นพิเศษ และได้คบหากันต่อมาก็คือ หลวงปู่ตื้อ อาจลธรรมโม ซึ่งเป็นผู้ชักนำให้ไปพบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งกำลังเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และกำลังออกสั่งสอนธรรมปฏิบัติอยู่ทางภาคอีสานขณะนั้น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้พบและฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่น บังเกิดความซาบซึ้ง และทราบว่าเป็นทางแห่งการแสวงหาธรรมตามที่ประสงค์ หลังจากหลวงปู่แหวนได้พบพระอาจารย์มั่น และได้เดินทางธุดงค์ไปกับหลวงปู่ตื้อ โดยเดินทางไปจากภาคอีสานไปสู่ประเทศลาว เขมร เวียดนาม พม่า จนกระทั่งทะลุผ่านกลับสู่ประเทศไทย ทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วกลับมาสู่อีสานแล้ว ต่อมาอีกไม่นาน (ประมาณอายุ 33 ปี) หลวงปู่แหวนได้ติดตามท่านเจ้าคุณพระอุมาลีคุณปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ไปจำพรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนี้หลวงปู่แหวนได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อีกครั้ง พร้อมทั้งได้ขอรับเป็นพระสงฆ์ในฝ่ายธรรมยุติกนิกาย โดยมีท่านเจ้าคุณพระอุมาลีคุณปมาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์ นับแต่นั้นหลวงปู่แหวนก็ได้ออกธุดงคกรรมฐานหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรแถบภาคเหนือตลอดมา จวบจนได้พบวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ และได้ทำการพัฒนาจนเจริญรุ่งเรือง จนเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปถึงทุกวันนี้ ปีพ.ศ.2489 หลวงปู่แหวนจำพรรษาที่วัดป่าบ้านปง อ.แม่แตง ในพรรษานั้นท่านอาพาธเป็นแผลที่ขาอักเสบต้องผ่าตัด โดยมีพระอาจารย์หนู สุจิตโต ซึ่งเดินทางมาจากดอยแม่ปั๋งพยาบาลอยู่ใกล้ๆ เมื่อครบ 7 วัน ต้องกลับไปดอยแม่ปั๋ง เพราะอยู่ระหว่างพรรษา จนกระทั่งเดือนเมษายนในปีต่อมา อาการอาพาธจึงดีขึ้น แต่ก็ยังไม่หายสนิทยังเดินไปไหนไกลๆไม่ได้ นับแต่นั้นมาอาจารย์หนูได้พยาบาลอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูแลหลวงปู่แหวน ต่อมาท่านอาจารย์หนูได้ดำริว่า ปัจจุบันหลวงปู่มีอายุมากแล้ว ไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่ด้วยเพื่อเป็นอุปัฏฐาก ถ้านิมนต์มาอยู่ที่ดอยแม่ปั๋งก็จะได้ถวายการดูแลได้โดยง่ายไม่ต้องไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ แต่ก็ต้องเป็นเพียงความคิดของพระอาจารย์หนูเท่านั้น เพราะในเวลาดังกล่าว ดอยแม่ปั๋งยังไม่มีอะไรพร้อมแม้แต่กุฏิก็ยังไม่มี ปีพ.ศ.2505 ขณะที่หลวงปู่แหวนมีอายุ 75 ปี คืนวันหนึ่งท่านอาจารย์หนูนั่งภาวนาอยู่เกิดเป็นเสียงหลวงปู่แหวนดังขึ้นมาที่หูว่า จะมาอยู่ด้วยคนนะ หลังจากวันที่ได้ยินเสียงหลวงปู่แหวนอีกสามวัน พระอาจารย์หนูได้ถูกนิมนต์ไปที่วัดบ้านปงสถานที่ที่หลวงปู่อยู่ และถือโอกาสนิมนต์หลวงปู่แหวนมาที่วัดดอยแม่ปั๋งด้วย เมื่อหลวงปู่แหวนได้มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ครั้งแรกท่านพักอยู่ที่กุฏิหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง การมาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนี้ ท่านได้มีข้อตกลงกับพระอาจารย์หนูว่า หน้าที่ต่างๆ และกิจทุกอย่างที่มีขึ้นในวัด ให้ตกเป็นภาระของพระอาจารย์หนูแต่เพียงผู้เดียว ส่วนท่านจะอยู่ในฐานะพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่มีภาระใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้น หลวงปู่แหวน จะไม่รับนิมนต์โดยเด็ดขาด แม้ที่สุดถึงจะเกิดอาพาธหนักเพียงใดก็ตาม ท่านไม่ยอมนอนรักษาที่โรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นที่อยู่ ตามอริยโคตรอริยวงศ์ ซึ่งบูรพาจารย์ท่านเคยปฏิบัติมาแล้วในกาลก่อน นับตั้งแต่หลวงปู่แหวนได้ขึ้นไปทางเหนือ ท่านไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นเลย เพราะอากาศทางภาคเหนือสัปปายะ สำหรับท่าน หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋งได้มรณภาพลงที่วัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2528 สิริอายุ 98 ปี มีผู้กล่าวถึงหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรมและมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ นานา หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้หยุดชีวิตธุดงควัตรของท่านเพื่อพำนักอย่างจริงจังในวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ มีผู้นิยมเลื่อมใสและศรัทธาในวัตถุมงคลของท่านมาก พระเครื่องหลวงปู่แหวน ต่างก็พยายามหามาไว้เป็นสิริมงคลแก่ตัว เพราะต่างร่ำลือในความขลังจากการปลุกเสกของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ