หลวงพ่อแพท่านเป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรี เกิดในราวปี พ.ศ.2452 ที่บ้านสวนกล้วย ต.ดอนสมอ อ.ท่าช้าง เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต จึงย้ายมาอยู่กับบิดามารดาบุญธรรมที่วัดใหม่ อ.ท่าช้าง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพิกุลทอง ตอนเด็กเรียนเขียนอ่านที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน แล้วเข้ากรุงเทพฯ เพื่อบวชเป็นสามเณรและศึกษาเล่าเรียนด้านพระปริยัติธรรมกับพระอาจารย์เขมร ที่วัดชนะสงคราม ท่านมีความใส่ใจและขวนขวายในการศึกษา อายุเพียง 14 ปีก็สามารถสอบได้เปรียญ 3 ประโยค เมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้รับฉายา "เขมังกโร" แปลว่า ผู้ทำความเกษมแล้ว ท่านเป็นพระภิกษุที่มีจิตมุ่งมั่นที่จะบำเพ็ญตนเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นหลายๆ รูป อาทิ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) พระครูภาวนา สำนักวัดโพธิ์ หลวงพ่อสี ผู้ทรงคุณวิเศษนานัปการ ฯลฯ ท่านจึงมีความเชี่ยวชาญและแตกฉานทั้งด้านคันถธุระ วิปัสสนาธุระ รวมทั้งไสยศาสตร์และวิทยาการต่างๆ ต่อมาได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ให้เดินทางกลับบ้านเกิดและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามในท้องถิ่นที่ชำรุดทรุด โทรม เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป ท่านจึงเดินทางกลับไปดูแลวัดพิกุลทอง ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของชาวบ้าน ด้วยบารมีและกุศลบุญของท่านและหลวงพ่อสี การบูรณะวัดพิกุลทองสำเร็จลุล่วงในเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น นอกจากนี้ ท่านยังพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญควบคู่ไปด้วย ชื่อเสียงของท่านเป็นที่ร่ำลือขจรขจาย มีศิษยานุศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมากราบนมัสการอย่างเนืองแน่น หลวงพ่อแพท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2542 เมื่อหลวงพ่อแพ มีบารมีมากขึ้นผู้คนเริ่มรู้จักตามลำดับ วัดหลายวัดต่างนิมนต์ หลวงพ่อแพท่านเป็นประธานในการก่อสร้างวัด วิหาร ถาวรวัตถุต่างๆมากมายหลายวัด และเมื่อ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 ทางวัด แถบ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ก้อได้นิมนต์ท่านร่วมงาน หลวงพ่อแพเล่าว่า ท่านเพลียมากจึงชวนศิษย์ไปจำวัด ที่หอสวดมนต์ โดยมีคนหลายนอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนนอนท่านเอาผ้าอาบน้ำฝนใส่ไว้ในย่าม จึงรู้สึกว่าย่ามใหญ่ คิดว่าคนที่นอนอยู่คงเข้าใจว่าเป็นเงิน ด้วยความอ่อนเพลียท่านจึงหลับไป พอท่านตื่นจากจำวัดเวลาเช้ามืด พบว่าย่ามหายไปแล้ว จึงแจ้งทางวัดทราบ สำหรับสิ่งของในย่าม มีเพียงของเล็กๆน้อยๆ แต่ของที่สำคัญก็คือ พระสมเด็จวัดระฆังฯ ซึ่งได้รับจากสมบัติของโยมวัดชนะสงคราม จึงเป็นของที่แท้ และทรงคุณค่าทางด้านจิตใจของหลวงพ่อมาก ท่านจึงเสียดายเป็นอย่างมาก ญาติโยมช่วยกันติดตาม ปรากฏว่าได้รับของอื่นคืนครบทุกชิ้น ยกเว้นพระสมเด็จ สอบถามผู้ขโมยได้ความว่าได้นำไปขายให้บุคคลไม่ทราบชื่อ ไม่สามารถติดตามคืนได้หลวงพ่อเล่าว่าท่านเสียดายมาก ระหว่างนั้นต้องไปขอยืมสมเด็จวัดระฆังจาก อาจารย์หยด ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาส มาติดตัวไปก่อนด้วยความเคารพในบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เป็นอย่างยิ่ง ทำให้หลวงพ่อแพ อธิษฐานขอบารมี ณ วัดไชโยวรวิหาร ขอสร้างพระโลหะพิมพ์สมเด็จ พระสมเด็จทองเหลืองขึ้นใช้เอง และแจกจ่ายให้กับผู้เคารพศรัทธา ในปี 2494 ประมาณเดือน 6 โดยนำช่างมาเททองหล่อ ที่ด้านใต้ โบสถ์หลังเก่า ได้รับโลหะจากผู้ที่มาร่วมพิธี นำมาหล่อเช่น เครื่องเงิน ขันลงหิน โต๊กทาน เชียนหมาก ตะบันหมาก สตางค์แดง สตางค์ข้าว สตางค์สิบ ทองเหลือง เป็นจำนวนมาก หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ท่านเป็นพระเกจิที่เก่งและดังมากๆ อีกท่านหนึ่งของสิงห์บุรี ท่านมีลูกศิษย์มากมายทั่วประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย วัตถุมงคลที่ท่านสร้างมีประสบการณ์มากมาย ทั้งแคล้วคลาด คุ้มครอง โชคลาภ ค้าขายร่ำรวย
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ยอดพระเกจิอาจารย์แห่งภาคอีสาน วัตถุมงคลของท่านที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกล้วนแล้วแต่สร้างประสบการณ์ให้กับผู้ที่ใช้บูชามากมาย โดยเฉพาะทางด้าน คงกระพันชาตรี โชคลาภ ค้าขาย วัตถุมงคลของท่านหลายรุ่นจึงเป็นที่นิยมและเสาะแสวงหาในหมู่ลูกศิษย์และประชาชนทั่วไป พระผงเจ้าสัวสร้างปี พ.ศ. 2536 มีฝังตะกรุดทอง ตะกรุดเงิน และไม่ฝังตะกรุด ปลุกเสกเสาร์ 5 ใช้มณฑลพิธีในพระอุโบสถเป็นสถานที่ปลุกเสก สุดเข้มขลัง เป็นรุ่นยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่ง องค์พระด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อคูณเต็มองค์นั่งสูบยา อยู่ในซุ้มกระจังแบบพิมพ์พระเจ้าสัวมหาเศรษฐี ด้านหลังเป็นยันต์ที่ท่านใช้ประจำในวัตถุมงคลของท่าน องค์นี้ฝังตะกรุดทอง 1 ดอก พระสวยมีคุณค่าสุดเข้มขลังน่าบูชาสะสมครับ
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ยอดพระเกจิอาจารย์แห่งภาคอีสาน วัตถุมงคลของท่านที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกล้วนแล้วแต่สร้างประสบการณ์ให้กับผู้ที่ใช้บูชามากมาย โดยเฉพาะทางด้าน คงกระพันชาตรี โชคลาภ ค้าขาย วัตถุมงคลของท่านหลายรุ่นจึงเป็นที่นิยมและเสาะแสวงหาในหมู่ลูกศิษย์และประชาชนทั่วไป พระผงเจ้าสัวสร้างปี พ.ศ. 2536 มีฝังตะกรุดทอง ตะกรุดเงิน และไม่ฝังตะกรุด ปลุกเสกเสาร์ 5 ใช้มณฑลพิธีในพระอุโบสถเป็นสถานที่ปลุกเสก สุดเข้มขลัง เป็นรุ่นยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่ง องค์พระด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อคูณเต็มองค์นั่งสูบยา อยู่ในซุ้มกระจังแบบพิมพ์พระเจ้าสัวมหาเศรษฐี ด้านหลังเป็นยันต์ที่ท่านใช้ประจำในวัตถุมงคลของท่าน องค์นี้ฝังตะกรุดทอง 1 ดอก พระสวยมีคุณค่าสุดเข้มขลังน่าบูชาสะสมครับ
ประวัติ หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชือ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (บางตำราว่าวันที่ ๔ ตุลาคม) ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน เป็นบุตรชายคนหัวปี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ ๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส ๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า... เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขอำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไปและเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย "ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง" การศึกษา เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย อุปสมบท หลวงพ่อคูณ อุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หนังสือบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณ ได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อคูณ ตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า... " เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด... หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้กับ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน น้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า... "อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเราและของเขา” และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้ พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้ พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้ พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้ พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว" ส่วนพระกัมฏฐานนั้น หลวงพ่อคงได้สอนให้ใช้หมวดอนุสติ โดยดึงเอาวิธีกำหนด “ความตาย” เป็นอารมณ์ เรียกว่า “มรณัสสติ” เพื่อให้ เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงในในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ประมาทในความโลภ ความโกรธ และความหลง กำหนดลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เกิด สัมมาสมาธิ เรียกว่า “อานาปานสติ” เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง สู่มาตุภูมิ หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณ จึงออกเดินทางจากประเทศเขมรสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทาง พระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ โดยชาวบ้านได้ช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้น ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จแล้ว ต้องเผชิญกับการขนย้ายที่ยากลำบาก โดยอาศัยโคเทียมเกวียนบ้าง ใช้แรงงานคนลากจูง บนทางที่แสนทุรกันดาร เนื่องจากถนนทางเกวียนนั้นเป็นดินทรายเสียส่วนใหญ่ เมื่อต้องรับน้ำหนักมากก็มักทำให้ล้อเกวียนจมลงในทราย การชักจูงไม้แต่ละเที่ยวจึงต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน แต่กระนั้น หลวงพ่อคูณ ก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน) นอกจากสร้างพระอุโบสถแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ยังความสะดวกสบาย และความเจริญในบ้านไร่ยิ่งนัก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว เนื่องจากหลวงพ่อได้เปลี่ยนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวทั้งหมด มาเป็นปูนเป็นอิฐให้สวยงามและทนทานยิ่งขึ้น นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น หลวงพ่อคูณ ยังได้สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ สร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อคูณ สร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว ๗ พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคล ซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.๒๔๙๓ “ใครขอ กูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน” เป็นคำกล่าวของท่าน เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ เมื่อมีผู้ถามว่า หลวงพ่อแจกให้กับคนไม่ดีเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนี้หลวงพ่อไม่บาปหรือ “กูจะไปรู้หรือว่ามันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจร เมื่อมันได้รับประโยชน์จากของที่กูแจก มันคงคิดได้ว่า เป็นเพราะพระศาสนา มันจะได้เข้ามาสนใจปฏิบัติธรรม….” “ถ้ามีใจอยู่กับ “พุทโธ” ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง… ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก” การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณจะใช้คาถาไม่กีบท หัวใจพระคาถามีว่า มะอะอุ นะมะพะธะ นะโมพุทธายะ พุทโธ และยานะ แต่ในการปลุกเสก หลวงพ่อคูณจะใช้วิธี อนุโลมปฏิโลม (การต่อตามและย้อนลำดับ) เรียกว่า คาบพระคาถา เมื่อนำหัวใจธาตุ ๔ คือ นะมะพะธะ มาใช้ หลวงพ่อคูณจะภาวนาด้วยจิตอันเป็นหนึ่ง(สมาธิ) ให้อักขระทั้ง ๔ นี้ เป็น ๑๖ อักขระ ดังนี้ นะ มะ พะ ธะ มะ พะ ธะ นะ พะ ธะ นะ มะ ธะ นะ มะ พะ ระยะเวลาการปลุกเสกของท่านใช้เวลาไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับอารมณ์จิต ท่านเคยปรารภว่าเมื่อจะปลุกเสกวัตถุใด ใจต้องเป็นสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิ ปลุกเสกสิ่งใดก็ขลัง ระยะเวลาหนึ่งนาทีก็ดีแล้ว แต่หากใจไม่เกิดสมาธิ ปลุกเสกทั้งคืนทั้งวันก็ไม่มีผล อย่างนี้สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า ท่านั่งยอง หลวงพ่อคูณ ให้เหตุผลว่า เป็นท่าที่สบายที่สุด อีกทั้งเป็นลักษณะของคนเตรียมพร้อมที่ลุกเดินไปไหนมาไหนได้ทันที จะหยิบจับอะไรก็ง่ายและสะดวกในการทำงาน การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ หลวงพ่อคูณ ได้จัดสร้างโรงพยาบาลถึง 3 หลัง ตลอดจนโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้บริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ ทุกๆวัน แต่ละเดือนเป็นจำนวนหลายแสนบาท "หลวงพ่อคูณ เป็นคนยากจนมาโดยกำเนิด จึงอยากคิดช่วยเหลือคนอื่น การนำเงินออกไปช่วยคนอื่น ก็จะมีคนบริจาคเรื่อยๆ ถ้าเก็บไว้จะทำให้ตนตาบอด ใจก็บอดอีกด้วย จึงอยากช่วยคนอื่นอยู่เรื่อยไป วันใดไม่มีคนมาขอเงิน ก็ไม่ค่อยสบายใจ” ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ หลวงพ่อคูณ สั่งว่า เมื่อมีพระเครื่องของหลวงพ่อคูณ ติดตัว ให้ภาวนา "พุทโธ" ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอ ค่าพ่อแม่ตน และพ่อแม่บุคคลอื่น และอย่าผิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ให้สวยมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และหวงพ่อคูณย้ำว่า "ถ้ามีใจอยู่กับ พุทโธ ให้เป็นกลาง ๆ ไม่สอดส่ายไปที่ไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง...ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใด ๆ ในโลก" คาถาที่หลวงพ่อคูณใช้บริกรรมเวลานั่งสมาธิ เวลาหายใจเข้า ให้บริกรรมว่า ตาย เวลาหายใจออก ให้บริกรรมว่า แน่ เป็นตายแน่... ตายแน่... ตายแน่ไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกสบาย จิตสงบ
ปลุกเสกโดย หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ และ หลวงพ่อจอย ชินวังโส วัดโนนไทย ปลุกเสก 17 เมษายน 2542 สวยๆๆๆๆ เนื้อทองทิพย์ครับ หากพูดถึงวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ ย่อมเป็นที่ปรารถนาของบรรดานักสะสม รวมทั้งศิษย์ศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งท่านได้จัดสร้างไว้มากมายหลายรุ่น หลายวัด แม้กระทั่งหน่วยงานราชการ และองค์กรเอกชน ก็ได้ขออนุญาตจัดสร้าง และขอความเมตตาให้ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งกล่าวได้ว่า วัตถุมงคลของหลวงพ่อคุณถูกจัดสร้างออกมาแล้วแทบทุกรูปแบบ แม้กระแสนิยมจะให้ความเชื่อถือในวัตถุมงคลยุคแรกๆ หรือรุ่นแรก แต่ก็มีหลายรุ่นที่มาแรงในยุคหลัง ๆ แถมยังมีราคาเช่าหาแพงกว่าอีกด้วย ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากประสบการณ์ของวัตถุมงคลรุ่นนั้นๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เชื่อในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ต่างหันมาเสาะหา ผนวกกับเซียนพระสายตรงฟันธงให้เก็บสะสม และสื่อด้านพระเครื่องต่างเสนอข่าวแทบทุกวัน ส่งผลให้บางรุ่นเริ่มหายาก และเล่นหากันด้วยราคาเรือนหมื่นเรือนแสน แต่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน วัดใด พิมพ์ใด สำหรับผู้ที่เคารพศรัทธาหลวงพ่อคูณแล้ว ขอเพียงให้เป็นวัตถุมงคลที่ผ่านการปลุกเสกจากท่านเท่านั้นก็พอ ไม่สนเรื่องราคาค่านิยม เพราะเชื่อว่า ถึงไม่ดัง ก็ขลังได้ด้วยเหตุนี้ ถนนทุกสายจึงมุ่งหน้าไปวัดบ้านไร่ เพื่อกราบไหว้ขอพรและทำบุญบูชาของดี-ของขลังที่ยังหลงเหลืออยู่ครับ เก็บได้เก็บครับ รุ่นนี้ทำออกมาสวย พิธีใหญ่ครับผม เก็บก่อนไม่มีให้เก็บนะครับ ใช้ดี ประสบการณ์สูงครับ ราคาขยับสูงทุกวันครับ อนาคตไกลครับ โค๊ดสวยแบบนี้ หาไม่ได้แล้วครับ แบบนี้ห้ามพลาดครับ หลวงพ่อปลุกเสก เก็บได้เลยครับ รุ่นไหนทันหลวงพ่อเก็บได้เลยครับ แต่ขอให้หลวงพ่อคูณปลุกเสก เป็นใช้ได้ครับ สุดยอดหายากแล้วครับ ตอนนี้
เหรียญคุ้มเกล้า เนื้อเงิน พ.ศ.2522 ในวาระครบรอบ๓๐ปีของการ ให้บริการของโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชเมื่อ ๒๗ มีนาคม ๒๕๒๒ กองทัพอากาศได้ดำริสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉินขนาดใหญ่สูง ๑๒ ชั้น มีดาดฟ้าเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์สำหรับลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ พร้อมด้วยเครื่องอำนวย ความสะดวกและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล และเสริมสร้างพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมสิ้นค่าใช้จ่าย ๖๐๐ ล้านบาท จากเงินที่ประชาชนทั่วประเทศร่วมใจกันบริจาค . ในโอกาสที่มูลนิธิคุ้มเกล้าฯได้จัดพีธีถวายพระพรชัยมงคลในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๒๖ โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆ-ปรินายก ทรงเป็น องค์ประธานพร้อมด้วยสมเด็จพระราชาคณะและพระ เถระผู้ใหญ่รวม ๖๐ รูป ณ อุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามนั้นได้อาราธนาพระเถระนุเถระทั้งหมดนี้ ทำพิธีลงอักขระแผ่น ทอง นาก เงินเป็นปฐมฤกษ์ ์หลังจากนั้นได้นำแผ่นทอง นาก เงิน ไปให้พระเถราจารย์ผู้ทรงคุณทั่วประเทศจารึกอักขระจนครบ ๑,๒๕๐ รูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเททองหล่อพระพุทธรูป คุ้มเกล้าฯ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ในวันจันทร์ที่๑๖ มกราคม ๒๕๒๗ ซึ่งตรงกับวันที่พระคุณเจ้าหลวงปู่แหวนสุจิณโณมีอายุครบ ๙๗ พรรษา โดยมีสมเด็จพระสังฆราชฯ พร้อมด้วยพระเถระผู้ใหญ่ผู้ทรงคุณอีก ๙ รูป เจริญชัยมงคลคาถาในโอกาสนี้ได้ทรงทำพิธีหลอมแผ่นทอง นาก เงิน ที่ได้ทำพิธีลงอักขระ แล้วเป็นชนวนนำไปสร้างวัตถุมงคล คุ้มเกล้าฯ ต่อไป จัดสร้าง ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยโยงสายสิญจน์จากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มายังปะรำพิธีในคืนวันท ี่๖ - ๙ เมษายน ๒๕๒๗ รวม ๔ คืน โดยนิมนต์พระเถรานุเถระผู้ทรงคุณทั่วประเทศจำนวน ๑๐๘ รูปร่วมทำพิธี พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล"คุ้มเกล้าฯ"๖ เมษายน ๒๕๒๗ ในวันแรกของพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดไฟพระฤกษ์ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มอบให้พลอากาศเอกประพันธ์ ธูปะเตมีย์ผู้บัญชาการทหารอากาศอัญเชิญเข้าขบวนแห่มายังปะรำพิธี จากนั้นในเวลา ๑๙.๑๙ น.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกได้เสด็จมาจุดเทียนจากไฟพระฤกษ์เริ่มพิธีพุทธาภิเษกจนถึงรุ่งอรุณ ของวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๗ จึงได้เชิญเสด็จสมเด็จพระญาณสังวรดับเทียนชัยเป็นอันเสร็จพิธีพุทธาพิเษกนับเป็นพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์
เหรียญพระนอนหลังรัชการที่ ๑ ปี2530 เนื้อทองแดงกะหลั่ยทอง วัดพระเชตุพน ก ท ม พร้อมบัตรรับรองDDครับท่าน
เหรียญเสมาพระสีลา ๒๕ พุทธศตวรรษ ประวัติพิธีการสร้างและปลุกเสกครั้งยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ พระเครื่องที่มีพิธีกรรมปลุกเสกครั้งยิ่งใหญ่ในเมืองไทย วงการพระจักต้องจารึกพระราชพิธีที่สำคัญยิ่งไว้ในครั้งนั้น ได้แก่ พิธีพุทธาภิเษก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “25 พุทธ ศตวรรษ” ซึ่งพิธีนี้ปลุกเสกที่พระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานครนี่เอง และนับเป็นพิธีมหาพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นพระเครื่องที่ทางการได้จัดสร้างขึ้นเพื่อนำเงินรายได้จัดสร้างพุทธมณฑล ที่ตำบลศาลายา และบูรณปฏิสังขรณ์ปูชนียสถานที่สำคัญๆ ในทางพุทธศาสนาของเรา นับเป็นการสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และถูกต้องครบถ้วนตามพิธีทางศาสนา ทำการปลุกเสกโดยพระคณาจารย์ที่มีชื่อ 108 องค์ ซึ่งทางการได้คัดเลือกมาจาก ทั่วราชอาณาจักร เป็นพระเครื่องที่มีพุทธานุภาพและปาฏิหาริย์หลายอย่างแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง พิธีกรรม การทำพิธีพุทธาภิเษกปลุกเสกพระเครื่อง ได้นิมนต์พระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาทำพิธีถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกนำสิ่งของที่จะสร้างมาทำพิธีพุทธาภิเษกปลุกเสกเสียก่อนครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2500 ณ พระอุโบสถวัดสุทัศน์ มีพระคณาจารย์มาทำพิธีครบ 108 องค์ ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2500 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงพระกรุณาเททอง หล่อพระทองคำ แล้วทรงพิมพ์พระเนื้อดินและชนิดเนื้อชินเป็นปฐมฤกษ์ แต่วันนั้นได้สร้างในบริเวณวัดสุทัศน์เป็นเวลาถึง 3 เดือนเศษจึงแล้วเสร็จ ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2500 ได้ทำพระเครื่องทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวแล้ว เข้าพิธีพุทธาภิเษกอีกครั้งเป็นระยะเวลา 3 วัน 3 คืน รวมเวลาทำพิธีพุทธาภิเษก 2 ครั้ง 6 วัน 6 คืน มีพระเกจิอาจารย์ที่ทางการ ร่วมอาราธนามาปลุกเสก 108 องค์ เหรียญสวยมากครับ เนื้ออัลปาก้า ราคาวัดใจ พร้อมตะหลับใส่เหรียญ
!!หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง!! การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อแพนั้น ท่านมิได้เน้นเรื่องความสวยงาม หากแต่เน้นไปในเรื่องของความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลนั้น ๆ โดยท่านจะพิถีพิถันในการปลุกเสก ทั้งวิชาอาคม ทั้งอำนาจจิต เพื่อให้เกิดความแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง และด้วยพลังบริสุทธิ์ดังกล่าว จึงทำให้วัตถุมงคลของหลวงพ่อแพรุ่นต่าง ๆ มีประสบการณ์อภินิหารมากมาย สืบสานยาวนานมาจนทุกวันนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงพ่อแพได้สร้างพระสมเด็จเนื้อผงรุ่นหนึ่งขึ้นมาหลายพิมพ์ กล่าวกันว่า พระสมเด็จที่หลวงพ่อแพสร้างขึ้น มีอานุภาพด้านพุทธคุณ ไม่ได้เป็นรองพระสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง แม้แต่น้อย ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากหลวงพ่อแพท่านมีศรัทธาในสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อแพจึงได้สร้างพระสมเด็จขึ้น โดยยึดถือแนวทางการสร้างวัตถุมงคลชุดพระสมเด็จของสมเด็จโตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหลักใหญ่หลวงพ่อแพท่านได้ลบผง เรียกว่า ผงวิเศษห้าประการ เป็นผงหลักในการสร้างพระสมเด็จ คือ ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห และ ผงพุทธคุณ โดยเฉพาะผงพุทธคุณนั้น ท่านเขียนและลบด้วยพระคาถาชินบัญชร เพื่อใช้เป็นส่วนผสมอีกด้วย นอกจากผงวิเศษห้าประการแล้ว ยังมีผงอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบ เช่น ผงบดจากหนังสือ ๗ ตำนาน, ผงยันต์ในคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นต้น ในการทำผงแต่ละอย่างนั้น มีเคล็ดลับที่หลวงพ่อแพถือปฏิบัติคือ รักษาความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งภายในและภายนอก, ตั้งจิตสงบเป็นสมาธิจดจ่ออยู่กับคาถาอาคม และอักขระต่าง ๆ โดยเฉพาะการบริกรรมภาวนา ต้องแม่นยำ ไม่ผิดพลาด ด้วยเหตุนี้ พระสมเด็จที่หลวงพ่อแพจัดสร้างขึ้น จึงมีพุทธานุภาพทรงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เยี่ยมยอดทุกรุ่น ทุกแบบพิมพ์ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ท่านสร้างพระไว้มาก ถ้าจะประเมินกันอย่างคร่าว ๆ ก็คงไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ แบบพิมพ์เป็นอย่างต่ำ แต่ที่นิยมแพร่หลายนั้น ส่วนมากจะเป็นเนื้อผง เช่น พระสมเด็จ พระนางพญา พระรอด พระปิดตา พระลีลาทุ่งเศรษฐี พระสิวลี พระสังกัจจายน์ พระขุนแผน พระผงรูปเหมือน นางกวัก ฯลฯ ซึ่งลูกศิษย์ลูกหา ญาติโยม ต่างก็เชื่อว่า มีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยม, แคล้วคลาด อุดมด้วยลาภผล โภคทรัพย์พูลทวี ซึ่งก็คือ คำอวยพรของท่านน่ะแหละ
เริ่มจัดสร้าง ปี 36 ได้รับเมตตามอบมวลสารจากพระครูวิจิตรธรรมภิรัต เจ้าอาวาสวัดระหารไร่ องค์ปัจจุบัน มอบจีวรเก่าและผงพรายพระเครื่องที่ชำรุดของหลวงปู่ทิม พระมหาสวง เจ้าคณะ 2 วัดระฆังฯ ได้มอบกระเืบื้องหลังคาโบสถ์วัดระฆัง พอดีปีนั้นทางวัดได้เปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์พอดี โดยนำมารวมกับผงที่ทางวัดสะสมไว้ เช่น ผงพุทธคุณ ผงอิทธิเจ ผงปธมัง ผงบางขุนพรม ปี 09 ผงหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ผงพระปิดตาหลวงปู่ฮ้ยง วัดป่า ผงว่าน 108 ผงเกสร 108 ผงธูป 108 วัด และพระเครื่องชำรุดกรุลำพูนอีกจำนวนหนึ่ง พิธีปลุกเสก 1.หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ ทำพิธีปลุกเสกพระปรกใบมะขามและตะกุด (มีทั้งทองคำ เงิน และกะลั่ยทอง) เพื่อนำมาบรรจุในพระปิดตาทุกองค์ 2.กดพิมพ์องค์แรก 23 ก.พ. 2538 เป็นปฐมฤกษ์ โดย หลวงพ่อสิริ วัดตาล หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดเม้าสุขา หลวงพ่อมงคล วัดเนินหลังเต่๋า โดยมีเจ้าอาวาส 9 รูปมงคลชัยคถา เจริญพุทธมนต์ โดยพระทุกองค์ที่จัดสร้างกดพิมพ์เองในวัด สร้างเสร็จทุกพิมพ์ 7 พ.ค.2538 3.พระสงฆ์วัดบ้านคลองเจริญพุทธมนต์ 4. 22 ส.ค.2538 เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่พระอุโบสถวัดบวรนิเวศฯ โดยได้รับเมตตาจากสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานจุดเทียนชัย และอธิฐานจิต 5. 11 ก.พ. 2539 เข้าพิธีพุทธาภิเษกอีกครั้ง ณ วัดบ้านคลอง โดยมีคณาจารย์โดยมีนามอันเป็นมงคล 9 รูป รูปที่ 1 หลวงพ่อประเสริฐ รูปที่ 2 หลวงพ่อสะอาด รูปที่ 3 หลวงพ่อสิริ วัดตาล จุดเทียนชัย รูปที่ 4 หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดเม้าสุขา ดับเทียนชัย รูปที่ 5 หลวงพ่อมงคล รูปที่ 6 หลวงพ่อวิบูลย์ วัดลำต้อยติ่ง รูปที่ 7 หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน รูปที่ 8 หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว รูปที่ 9 หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร *******พระปิดตาไตรมาสวัดบ้านคลอง******* มีเพียงพิมพ์เดียวเท่านั้น แยกเป็น 2 แบบ คือ แบบด้านหลังฝังปรกใบมะขาม กับแบบด้านหลังไม่ฝังปรก แบบฝังปรก มี 5 เนื้อ คือ ผงใบลาน เนื้อเกสร เนื้อเทียนชัย เนื้อกระเบื้องโบสถ์ เนื้อผงธูป แบบไม่ฝังปรก มี 4 เนื้อ คือ ผงใบลาน เนื้อเกสร เนื้อกระเบื้องโบสถ์ เนื้อผงธูป ทุกองค์ทุกแบบฝังตะกุดด้านหน้าและติดจีวรหลวงปู่ทิมทุกองค์ จำนวนการจัดสร้าง 1.กรรมการ เนื้อเกสร ตะกุดทองคำแท้ฝังที่ท้ององค์พระ (ตะกุดแนวนอน) สร้าง 61 องค์ 2.กรรมการ เนื้อเกสร ตะกุดทองคำแท้ฝังที่ท้ององค์พระ (ตะกุดแนวตั้ง) สร้าง 108 องค์ 3.กรรมการ เนื้อเกสร ตะกุดเงินแท้ สร้าง 1,085 องค์ รวมกรรมการ สร้าง 1,254 องค์ 4.เนื้อเทียนชัยหลังฝังปรก สร้าง 9,130 องค์ 5.เนื้อใบลานฝังปรก สร้าง 10,255 องค์ 6.ผงธูปฝังปรก สร้าง 6,372 องค์ 7.เนื้อเกสร สร้าง 9,448 องค์ 8.กระเบื้องโบสถ์ สร้าง 10,223 องค์ รวมแบบฝังปรก สร้าง 45,428 องค์ แบบไม่ฝังปรก 1.เนื้อใบลาน สร้าง 20,688 องค์ 2.ผงธูป สร้าง 20,390 องค์ 3.เนื้อกระเบื้องโบสถ์ สร้าง 21,080 องค์ 4.เนื้อเกสร สร้างส 2,666 องค์ รวมแบบไม่ฝังปรก สร้าง 64,824 องค์