boy99

ข้อมูลสมาชิก – boy99

เริ่มเป็นสมาชิก: May 15, 2010 05:58:18 , สถานะ: ปกติ , ตั้งประมูล: 0 รายการ , รายการที่ยังไม่ปิด: 0 รายการ , คำชม: 2058 รายการ , คำติ: 0 รายการ

ประวัติ Feedback

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระปิดตาทุกสำนัก/6906520


หลวงพ่อแพ หรือ พระธรรมมุนี เป็นพระที่มากด้วยเมตตาบารมี และมีชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนปี 2500 หลวงพ่อแพ ตลอดชีวิตของท่านสร้างแต่คุณงามความดีเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน วัดต่างๆ หลวงแพ เป็นพระที่มีอายุยืนยาวมากถึง 94 ปี มรณภาพเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 สำหรับหลวงพ่อแพ  ในเรื่องของวิทยาคมก็เก่งไม่เป็นรองใคร หลวงพ่อแพ เคยไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งแถวพัทยา ในปี 2512 ในพิธีนั้นมีพระดังๆจากตะวันออกมาหลายท่าน เช่นหลวงพ่อหอม วัดชากหมาก หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า เป็นต้น เมื่อเสร็จงาน หลวงพ่อหอม ได้บอกกับคนพื้นที่แถวนั้น ให้เข้าไปกราบหลวงพ่อแพ  ซึ่งขณะนั้นชาวบ้านไม่รู้จักท่าน  เดิมที หลวงพ่อแพ ท่านเรียนด้านปริยัติ เข้ามาศึกษาพักอยู่ที่วัดชนะสงคราม หลายปี  ต่อมา เมื่อหลวงพ่อแพ ได้เป็นเจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง  ท่านได้หันมาให้ความสนใจด้านวิทยาคม เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ต่อมาหลวงพ่อแพ ได้ไปขอเรียนวิชากับ หลวงพ่อเกลี้ยง วัดสุทัศน์  และ ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ สิงห์บุรี  และหลวงพ่อจุ้ย วัดสามปลื้ม นอกจากนี้หลวงพ่อแพ ยังมีความสนิทสนมกับพระเกจิดังๆในอดีตหลายท่าน เช่น เจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์ หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ เป็นต้น หลวงพ่อแพ เป็นพระที่น่าเคารพกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจรูปหนึ่ง  แม้ว่าหลวงพ่อแพ จะออกวัตถุมงคลมาจำนวนนับร้อยรุ่น แต่ถ้าเป็นพระยุคแรกๆของหลวงพ่อก็ไม่ค่อยได้พบให้เห็นบ่อยนัก โดยเฉพาะพระแท้ๆ  เนื่องจากพระของหลวงพ่อแพ มีปลอมเยอะ บางครั้งคนที่คิดจะสะสมไม่กล้าซื้อก็มีครับ  เท่าที่ทราบพระเครื่องของหลวงพ่อแพ จะเด่นด้านเมตตา แคล้วคลาด ค้าขาย เป็นหลัก - พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ " พระราชสิงหคณาจารย์ " หรือที่รู้จักกันดีในนาม หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง พระเครื่องของท่านทุกรุ่น ทุกพิมพ์ทรงล้วนมีพุทธคุณสูงเยี่ยมในทุกๆด้าน ผู้ประสบปาฏิหาริย์แห่งความเข้มขลังเป็นที่เลื่องชื่อลือชาอย่างกว้างขวาง ทั้งชาวไทย ชาวจีน ตลอดจนชาวต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ต่างรู้จักกิตติคุณของหลวงพ่อแพเป็นอย่างดี


เขียนโดย :กานต์ เมืองปทุม เจ้าของรายการ October 11, 2016 05:41:14

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระชุดภาคอีสาน/6906537


หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ  บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (บางตำราว่าวันที่ ๔ ตุลาคม) ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน เป็นบุตรชายคนหัวปี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ ๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส ๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า... เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขออำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย "ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง" การศึกษา เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย อุปสมบท หลวงพ่อคูณอุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หนังสือบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา  (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อคูณตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า... " เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด... หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้กับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน น้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า... "อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเราและของเขา” และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้ พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้ พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้ พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้ พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว" ส่วนพระกัมฏฐานนั้น หลวงพ่อคงได้สอนให้ใช้หมวดอนุสติ โดยดึงเอาวิธีกำหนด “ความตาย” เป็นอารมณ์ เรียกว่า “มรณัสสติ” เพื่อให้ เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงในในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ประมาทในความโลภ ความโกรธ และความหลง กำหนดลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เกิด สัมมาสมาธิ เรียกว่า “อานาปานสติ” เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง สู่มาตุภูมิ หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศเขมรสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทาง พระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ โดยชาวบ้านได้ช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้น ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จแล้ว ต้องเผชิญกับการขนย้ายที่ยากลำบาก โดยอาศัยโคเทียมเกวียนบ้าง ใช้แรงงานคนลากจูง บนทางที่แสนทุรกันดาร เนื่องจากถนนทางเกวียนนั้นเป็นดินทรายเสียส่วนใหญ่ เมื่อต้องรับน้ำหนักมากก็มักทำให้ล้อเกวียนจมลงในทราย การชักจูงไม้แต่ละเที่ยวจึงต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน แต่กระนั้นหลวงพ่อก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน) นอกจากสร้างพระอุโบสถแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ยังความสะดวกสบาย และความเจริญในบ้านไร่ยิ่งนัก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว เนื่องจากหลวงพ่อได้เปลี่ยนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวทั้งหมด มาเป็นปูนเป็นอิฐให้สวยงามและทนทานยิ่งขึ้น นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น หลวงพ่อยังได้สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ สร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อคูณสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว ๗ พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคล ซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.๒๔๙๓ “ใครขอ กูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน” เป็นคำกล่าวของท่าน เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ เมื่อมีผู้ถามว่า หลวงพ่อแจกให้กับคนไม่ดีเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนี้หลวงพ่อไม่บาปหรือ “กูจะไปรู้หรือว่ามันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจร เมื่อมันได้รับประโยชน์จากของที่กูแจก มันคงคิดได้ว่า เป็นเพราะพระศาสนา มันจะได้เข้ามาสนใจปฏิบัติธรรม….” “ถ้ามีใจอยู่กับ 'พุทโธ' ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง… ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก” การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณจะใช้คาถาไม่กีบท หัวใจพระคาถามีว่า มะ อะ อุ นะ มะ พะ ธะ นะ โม พุท ธา ยะ พุทโธ และยานะ แต่ในการปลุกเสก หลวงพ่อคูณจะใช้วิธี อนุโลมปฏิโลม (การต่อตามและย้อนลำดับ) เรียกว่า คาบพระคาถา เมื่อนำหัวใจธาตุ ๔ คือ นะมะพะธะ มาใช้ หลวงพ่อคูณจะภาวนาด้วยจิตอันเป็นหนึ่ง (สมาธิ) ให้อักขระทั้ง ๔ นี้ เป็น ๑๖ อักขระ ดังนี้ นะ มะ พะ ธะ มะ พะ ธะ นะ พะ ธะ นะ มะ ธะ นะ มะ พะ ระยะเวลาการปลุกเสกของท่านใช้เวลาไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับอารมณ์จิต ท่านเคยปรารภว่าเมื่อจะปลุกเสกวัตถุใด ใจต้องเป็นสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิ ปลุกเสกสิ่งใดก็ขลัง ระยะเวลาหนึ่งนาทีก็ดีแล้ว แต่หากใจไม่เกิดสมาธิ ปลุกเสกทั้งคืนทั้งวันก็ไม่มีผล อย่างนี้สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า ท่านั่งยอง หลวงพ่อให้เหตุผลว่า เป็นท่าที่สบายที่สุด อีกทั้งเป็นลักษณะของคนเตรียมพร้อมที่ลุกเดินไปไหนมาไหนได้ทันที จะหยิบจับอะไรก็ง่ายและสะดวกในการทำงาน การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ หลวงพ่อคูณได้จัดสร้างโรงพยาบาลถึง 3 หลัง ตลอดจนโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้บริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ ทุกๆวัน แต่ละเดือนเป็นจำนวนหลายแสนบาท "หลวงพ่อเป็นคนยากจนมาโดยกำเนิด จึงอยากคิดช่วยเหลือคนอื่น การนำเงินออกไปช่วยคนอื่น ก็จะมีคนบริจาคเรื่อยๆ ถ้าเก็บไว้จะทำให้ตนตาบอด ใจก็บอดอีกด้วย จึงอยากช่วยคนอื่นอยู่เรื่อยไป วันใดไม่มีคนมาขอเงิน ก็ไม่ค่อยสบายใจ” ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ หลวงพ่อคูณสั่งว่า เมื่อมีพระเครื่องของหลวงพ่อคูณติดตัว ให้ภาวนา "พุทโธ" ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอ ค่าพ่อแม่ตน และพ่อแม่บุคคลอื่น และอย่าผิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ให้สวยมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และหวงพ่อคูณย้ำว่า "ถ้ามีใจอยู่กับ พุทโธ ให้เป็นกลาง ๆ ไม่สอดส่ายไปที่ไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง...ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใด ๆ ในโลก" คาถาที่หลวงพ่อคูณใช้บริกรรมเวลานั่งสมาธิ เวลาหายใจเข้า ให้บริกรรมว่า ตาย เวลาหายใจออก ให้บริกรรมว่า แน่ เป็น ตายแน่... ตายแน่... ตายแน่ ไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกสบาย จิตสงบ


เขียนโดย :เฮียตุ้ย เจ้าของรายการ October 11, 2016 05:40:24

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระชุดภาคเหนือ/6906544


เหรียญพระรอดภยันตราย วัดพันอ้น จ.เชียงใหม่ ปี 2513 พระดีพิธีใหญ่พิธีเดียวกับพระกริ่ง-ชัยวัฒน์ พระเอกาทศรถ เหรียญผิวรมดำเดิม ประสบการณ์สูง ราคาพร้อมจัดส่งครับ  


เขียนโดย :เฮียตุ้ย เจ้าของรายการ October 11, 2016 05:40:16

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระชุดภาคเหนือ/6895484


  ปัจฉิมบท                 หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร เกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้กับตนเอง และใช้ชีวิตที่เหลือในการเกื้อกูลมหาชนอย่างแท้จริง หลวงปู่สิม พร่ำสอนเสมอๆ มิให้ ตั้งตนในทางที่ประมาท ทั้งความประมาทในชีวิต ความประมาทในวัย และความ ประมาทในความตาย         หลวงปู่สิม เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติภาวนาว่า เป็นหนทางอัน สูงสุดที่จะทำให้คนพ้นทุกข์ ดังคำสอนตอนหนึ่งว่า                "ทางพระสอนให้ละชั่วทำความดี แต่ก็ไม่ให้ติดอยู่ในความดี ให้บำเพ็ญจิตให้ยิ่งขึ้นจนถึงไม่ติดดีติดชั่วจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้ เพราะแม้คุณความดีจะส่งผลให้เป็นสุขไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นเทพ อินทร์ พรหม ก็ตาม แต่เมื่อกำลังของกุศลกรรมความดีนั้นๆ หมดลง ก็ย่อมต้อง กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทางพระจึงมุ่งสอนให้มุ่งภาวนา ทำจิตให้รวม ระวังตั้งมั่น ทำจิตให้มีปัญญารู้ความเป็นจริงด้วยตนเอง จนถอดถอนอุปทานความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ออกเสียจึงจะเป็นไปเพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ หมดทุกข์หมดยากโดยแท้จริง"                หลวงปู่สิม ได้ทำหน้าที่ครูอาจารย์ไว้โดยสมบูรณ์ยิ่งแล้ว ทั้งด้านเทศนาธรรม และด้วยการประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีงาม หลวงปู่สิม เป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคงไม่ หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย ซึ่งพวกเราจักยึดถือปฏิบัติตามได้โดยสนิทใจ หลวงปู่สิม จากไปอย่างผู้ที่พร้อมรับต่อความตายทุกขณะ สมดังที่หลวงปู่สิม ได้พร่ำสอนผู้อื่นเสมอ                ถ้าท่านได้ไปถ้ำผาปล่อง ท่านจะได้พบรูปหล่อเหมือนองค์หลวงปู่สิม ประดิษฐานอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำองค์ท่าน และ "เจดีย์แห่งความกตัญญู" ที่คณะศิษย์ได้จัดสร้างถวายให้ใช้เป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุและเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารของ "หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร"  


เขียนโดย :เฮียตุ้ย เจ้าของรายการ October 07, 2016 08:14:20

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระชุด-จ.นครปฐม/6895966


  หลวงปู่หลิว วัดไร่วัดแตงทอง   ประวัติย่อหลวงปู่หลิว ปณฺณโก          นามเดิม “หลิว” นามสกุล “แซ่ตั้ง” (นามถาวร)  บุตร คุณพ่อเต่ง แซ่ตั้ง คุณแม่น้อย แซ่ตั้ง  อาชีพ ทำไร่ ทำนา  เกิด วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2448  ขึ้น 11 ค่ำ เดือนอ้าย (ปีมะเส็ง) ณ หมู่บ้านหนองอ้อ ตำบลบ้านสิงห์  อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี พี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งสิ้น 9 คน ชาย 5 คน หญิง 4 คน สมรส นางหยด มีบุตรชาย 1 คน ชื่อ  นายกาย นามถาวร   อุปสมบท อายุ 27 ปี ณ พัทธสีมาพระอุโบสถ วัดโบสถ์ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี (ประมาณเดือน 7 ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. 2475 ปีวอก)   หลวงพ่อโพธาภิรมย์ แห่งวัดบำรุงเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่ออินทร์ วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีพระอาจารย์ห่อ วัดโบสถ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า “ปณฺณโก”  เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงปู่หลิว ได้มาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ หลังจากนั้นท่านได้ไปเรียนวิชาอาคม จากอาจารย์หม่ง ชาวกระเหรี่ยง, หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี, หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช, หลวงพ่ออุ้ม จังหวัดนครสวรรค์ และคณาจารย์อีกหลาย ๆ ท่าน ทั้งที่เป็นภิกษุ และฆราวาส หลวงปู่หลิว ท่านเป็นพระที่ไม่หยุดนิ่ง ท่านได้ไปจำพรรษา และบูรณะปฏิสังขรณ์ ยังวัดต่าง ๆ ดังนี้ คือ วัด โศก จังหวัดสุพรรณบุรี วัดท่าเสา, วัดสนามแย้, วัดไทรทองพัฒนา จังหวัดกาญจนบุรี, วัดไร่แตงทอง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม, วัดหนองอ้อ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี, สำนักสงฆ์ประชาสามัคคี ตำบลบ้านฆ้องน้อย อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี          หลวงปู่หลิวได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2540 จนท่านละสังขารด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ.2543 เวลา 20.35 น. รวมอายุ 95 ปี 74 พรรษา          หลวงปู่หลิว ปณฺณโก นับเป็นผู้ทรงอภิญญา และมีพุทธาคมสูงส่ง ท่านเป็นผู้มีเมตตา พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านพร้อมจะสร้าง พร้อมจะเสียสละ ให้กับบวรพุทธศาสนา ท่านไปอยู่ยังที่แห่งใด ก็เปรียบเหมือนดวงประทีปของที่นั้นจนท่านได้ชื่อว่า “พุทธบุตร” ทุกคนยกย่องในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ใช้ความสามารถต่าง ๆ ที่ท่านมีบูรณะปฏิสังขรณ์สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัด เช่น โบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ โดยมิได้หยุด หลวงปู่หลิว เคยตั้งปฏิธานด้วยสัจจะ 2 ประการ คือ 1. เลิกอบายมุข ทุกชนิด 2. เมื่อมีโอกาสจะสั่งสมบารมี ด้วยการสร้างเสนาสนะภายในวัด เช่น โบสถ์ วิหาร กุฏิ ศาลาการเปรียญ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความ ปรารถนาอันแรงกล้าของหลวงปู่หลิว ปณฺณโก เป็นผลให้อำนาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่สถิตทั่วจักรวาล ดลบันดาลให้ท่านมี “วาจาสิทธิ์” กับ “ญาณทิพย์” มาขจัดปัดเป่าความทุกข์โศก ของเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์ ได้อย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะยากดีมีจนท่านก็ช่วยเหลือจนหมดสิ้น          หลวงปู่หลิว ปณฺณโก เป็นพระที่ถือสันโดษ ไม่ลุ่มหลงทั้งทางโลกและทางธรรม ท่านไม่รับและไม่ยินดียินร้ายต่อสมณศักดิ์ทางสงฆ์ แม้จะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย อ้อนวอนให้หลวงปู่รับสมณศักดิ์ทางสงฆ์ หลวงปู่หลิวก็หายอมรับไม่   หลวงปู่หลิวขออยู่อย่างพระธรรมดาทั่วไป กุฏิหลวงปู่หลิว ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไม่มีที่นอนอย่างดี ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างดีราคาแพง ท่านอยู่แบบสมถะ เป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง  ท่านมีบุคคลต่าง ๆ จากทั่วทุกสารทิศมาพึ่งบารมีขอพร ขอให้ท่านช่วยคลายทุกข์มากมาย หลวงปู่หลิวมีลูกศิษย์ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และฮ่องกง  หลวงปู่หลิวนั้น เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าท่านสมถะไม่หวังในยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านพัฒนาทั้งทางธรรมและทางโลกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หลวงปู่หลิวนั้นท่านฉันอาหารอย่างง่าย อาหารที่หลวงปู่หลิวฉันทุกมื้อ คือ ผักต้มนิ่ม ๆ และมีมะระขี้นกทุกมื้อ น้ำพริก รสไม่เผ็ด แกงเลียง ข้ามต้ม ผัดหมี่ซั่ว ผลไม้ที่ท่านชอบมากคือ ทุเรียน นอกจากนั้น ท่านชอบฉันหมากเป็นประจำ  นอกจากหลวงปู่หลิวจะมีวัตรปฏิบัติที่เพียบพร้อมแล้ว หลวงปู่ยังมีอารมณ์ขัน จนเป็นที่ทราบของบุคคลใกล้ชิดทั่วไป และลูกศิษย์ลูกหาที่มาหา จนมีการรวบรวมอารมณ์ขันของหลวงปู่มาเป็นหนังสือได้ 1 เล่มทีเดียว   กลางปี พ.ศ. 2543 หลังจากพิธี พุทธาภิเษกวัตถุมงคลรุ่นเสาร์ 5 เป็นต้นมา หลวงปู่ก็เริ่มอาพาธ ด้วยโรคชรา หลวงปู่หลิวเคยปรารภกับลูกหลานว่า ท่านเกิดที่หนองอ้อ ท่านก็อยากตายที่หนองอ้อ และหากว่าเมื่อถึงเวลาที่ท่านต้องจากไป ก็อย่าได้หน่วงเหนี่ยวท่านไว้ เพราะวัฏสงสารเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์  ในค่ำคืนวันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2543 เวลา 20.35 น. หลวงปู่หลิวได้ละสังขารอย่าสงบท่ามกลางลูกหลานที่คอยมาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย ที่กุฏิของท่าน ณ วัดหนองอ้อ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี รวมอายุ 95 ปี พรรษา 74 พรรษา          ทำไมถึงต้องเป็นพญาเต่าเรือน หลวงปู่หลิวท่านเคยบอกไว้ว่า ต้องการทำวัตถุมงคลให้แปลกและดีจึงนึกถึงเต่า เพราะว่าเต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาว เต่าเป็นสัตว์ที่มีศีลธรรม นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังเคยเสวยพระชาติเป็นพญาเต่ามาแล้ว          หลวงปู่หลิวได้เล่าถึงตำนานพญาเต่าเรือนว่า  เมื่อสมัยพุทธกาลนั้นมีพญากาเผือกผัวเมียคู่หนึ่งอาศัยอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ พญากาเผือกตัวเมียได้ออกไข่มา 5 ฟองในรังบนต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนั้น   อยู่มาวันหนึ่งพญากาเผือกทั้งสองได้บินออกไปหากิน ปล่อยให้ไข่ทั้ง 5 ฟองอยู่ในรังโดยไม่มีใครเฝ้า   วันนั้นได้เกิดพายุรุนแรงขึ้บริเวณริมฝั่ง แม่น้ำแห่งนั้น ไข่ทั้ง 5 ฟอง   จึงถูกพายุพัดตกลงไปในแม่น้ำ แล้วลอยน้ำกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง   ไข่พญากาเผือกได้ถูกเก็บไปเลี้ยงโดยสัตว์ชนิดต่าง ๆ คือ           ฟองแรก      เต่านำไปเลี้ยงไว้ ฟองที่สอง   พญานาคนำไปเลี้ยงไว้ ฟองที่สาม   พญาราชสีห์นำไปเลี้ยงไว้ ฟองที่สี่        โคนำไปเลี้ยงไว้ ฟองที่ห้า      งูนำไปเลี้ยงไว้ ไข่แต่ละฟองนั้นเมื่อถูกนำไปเลี้ยงก็ได้มีพระโพธิสัตว์มาเสวยพระชาติเป็นสัตว์ตามผู้ที่เก็บมาเลี้ยงดูเช่น   ไข่ฟองแรกเต่าเก็บไปเลี้ยงพระโพธิสัตว์ก็มาเสวยพระชาติเป็นเต่า ไข่ฟองที่สองพญานาคเก็บไปเลี้ยง พระโพธิสัตว์ก็เสวยพระชาติเป็นพญานาค ไข่ฟองที่สามพญาราชสีห์เก็บไปเลี้ยง  พระโพธิสัตว์ก็เสวยพระชาติเป็นพญาราชสีห์ ไข่ฟองที่สี่ โคเก็บไปเลี้ยง  พระโพธิสัตว์ก็เสวยพระชาติเป็นโค ไข่ฟองที่ห้า งูเก็บไปเลี้ยง   พระโพธิสัตว์ก็เสวยพระชาติเป็นงู            ในกาลต่อมาพระโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองค์ได้มาเกิดใหม่ในชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าตามลำดับดังนี้            พระพุทธเจ้าพระองค์แรกทรงพระนามว่า  กะกุสันโธ            พระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ทรงพระนามว่า พระโกนาคมโน            พระพุทธเจ้าองค์ที่สาม ทรงพระนามว่า กัสสโป            พระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ ทรงพระนามว่า โคตาโม            พระพุทะเจ้าองค์ที่ห้า ทรงพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรโย (ซึ่งยังไม่ประสูติ)           พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก่อนจุติต้องเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์เพื่อบำเพ็ญบารมีมาแล้ว   เป็นร้อยชาติ    เป็นพันชาติหรือเป็นหมื่นชาติเลยทีเดียว  พญาเต่าเรือนจึงเป็นชาติหนึ่งของพระโพธิสัตว์ที่เสวย พระชาติเพื่อบำเพ็ญบารมี           หลวงปู่หลิวท่านเล็งเห็นว่า  พญาเต่าเรือนนี้เป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล    ท่านจึงได้นำมาเป็นแบบในการสร้างวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมอย่างสูง        พญาเต่าเรือนใช้บูชากันได้ร้อยแปด ทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี สู้คดีความ ประกอบการธุรกิจและอื่น ๆ อีกมากมาย                พระคาถาที่ใช้ในการอาราธนานั้นมีหลายบทด้วยกัน  ในกรณีที่ตกอยู่ในอันตราย มีคดีความให้ท่าน นึกถึงหลวงปู่หลิวแล้วสวดมนต์ภาวนาคาถาดังนี้                “ ให้ตั้งนโม  3  จบ        นะมะพะทะ   นาสังสิโม สังสิโมนา   สิโมนาสัง   โมนาสังสิ  นะอุทะกะ  เมมะอะอุ    แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอพระบารมีพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่เสวยพระชาติเป็นพญาเต่าเรือน    ให้ช่วยพ้นภัยอันตรายที่ประสบอยู่ สำหรับตัวคาถา 4 ตัวคือ    นาสังสิโม  นั้นท่านว่าเป็นหัวใจของพญาเต่าเรือน


เขียนโดย :พันธุ์ทิพย์ เจ้าของรายการ October 07, 2016 08:13:13



เขียนโดย :คนคลองสาม เจ้าของรายการ October 06, 2016 09:32:44

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระเนื้อผง-เนื้อว่าน/6868680



เขียนโดย :chettsongpra เจ้าของรายการ October 06, 2016 07:53:08

อ้างอิงถึงรายการ : /auction/พระชุด-จ.นครปฐม/6853244


ประวัติหลวงพ่อเต๋ เกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ  ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2434 ณ บ้านสามง่าม หมู่ที่ 4 โยมบิดาชื่อ จันทร์ โยมมารดาชื่อ บู่ นามสกุล สามงามน้อย  ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม 7 คน  เป็นชาย 3 คน เป็นหญิง 4 คน  ท่านเป็นบุตรคนที่ 5                 เมื่ออายุได้ 7 ปี ลุงของท่านซึ่งบวชอยู่ที่วัดกาหลง จังหวัดสมุทรสาคร  มีชื่อว่า หลวงลุงแดง  เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในขณะนั้นรูปหนึ่ง  ได้ไปเยี่ยมญาติที่บ้านสามง่าม ได้พบหลานชายจึงได้ชวนให้ไปอยู่ด้วยกันที่วัดกาหลงเพื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือ ธรรมะ และเวทมนต์คาถา เป็นเวลา 3 ปี จนสามารถเขียนอ่านได้เป็นอย่างดี จึงได้กลับมาบ้านเกิด                 หลวงลุงแดงของหลวงพ่อเต๋ ท่านเป็นผู้สนใจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง  ท่านเห็นว่าบ้านสามง่าม  ควรจะมีวัดวาอารามสำหรับให้พระภิกษุและชาวบ้านประกอบกิจทางพระพุทธศาสนา  จึงได้ชักชวนหลานชายไปสร้างวัดขึ้นที่บ้านดอนตูม  ห่างจากบ้านสามง่ามประมาณ 3 กิโลเมตร                 เมื่อ หลวงพ่อเต๋ คงทอง มีอายุได้ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร  ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่กับหลวงลุงแดง ร่วมจัดสร้างวัดใหม่ไปพร้อมกัน  รวมทั้งได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมจากหลวงลุงแดง  ประวัติหลวงลุงแดงท่านเป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีความเชี่ยวชาญพุทธาคมทั้งทางด้านเมตตามหานิยมและอยู่ยงคงกระพันชาตรี  มีลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถือมากมาย  อีกทั้งหลวงพ่อเต๋ มีศักดิ์เป็นหลานของท่าน  จึงได้รับถ่ายทอดวิชามาอย่างครบถ้วนโดยไม่มีการปิดบังอำพราง                 พ.ศ. 2454 ท่านมีอายุได้ 21 ปี จึงได้ทำการบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ  โดยมี พระครูอุตตรการบดี (หลวงพ่อทา)  วัดพะเนียงแตก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์เทศ วัดทุ่งผักกูด เป็นพระกรรมวาจาจารย์  และพระอธิการจอม วัดลำเหย เป็นพระอนุสาวนาจารย์  ได้รับฉายาทางธรรมว่าคงทอง (ภายหลังเปลี่ยนเป็น คงสุวัณโณ  แต่ชาวบ้านยังคงเรียกติดปากว่า คงทอง                 พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อเต๋ คือหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก  เป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณชื่อเสียงโด่งดังมากในฐานะพระเกจิอาจารย์ที่มีพุทธาคมเข้มขลังในขณะนั้น  หลวงพ่อเต๋ได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งทางธรรม สมถกัมมัฏฐาน  ตลอดจนรับการสืบทอดด้านพุทธาคมต่าง ๆ                 ต่อมาไม่นาน หลวงลุงแดง  มรณภาพลงที่วัดกาหลง  สมุทรสาคร  ก่อนมรณภาพท่านได้ฝากวัดสามง่ามให้หลวงพ่อเต๋ดูแล                 หลวงพ่อเต๋ เริ่มออกธุดงค์ระหว่าง พ.ศ. 2455 – 2472 เป็นเวลา 17 ปี  รวมทั้งศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติม  นอกจากที่ได้ศึกษาจาก หลวงลุงแดง  และ หลวงพ่อทา หลังจากหลวงพ่อทา มรณภาพแล้ว  ท่านได้เดินทางไปขอศึกษาวิชาเพิ่มเติมกับ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง  จากนั้นออกธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ และได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมกับพระอาจารย์อื่นทั้งพระสงฆ์และฆราวาส  อาทิ หลวงพ่อกอน วัดบ่อตะกั่ว  นอกจากนี้ท่านยังเดินทางไปเรียนกับพระอาจารย์ทางจังหวัดพิจิตร ยังมีอีกหลายรูปในขณะที่เดินธุดงค์  รวมทั้งอาจารย์ฆราวาส ท่านเป็นชาวเขมร  เคยเป็นอดีตแม่ทัพเขมร หลวงพ่อเต๋ได้พบอาจารย์ท่านนี้ที่เขาตะลุง จังหวัดกาญจนบุรี  เป็นอาจารย์ที่หลวงพ่อเต๋ เคารพนับถือมาก  ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ท่านจะทำการไหว้ครูเขมรมิได้ขาด                 ภายหลังท่านกลับมาพำนักที่วัดสามง่ามได้ 3 ปี  ท่านทำการสร้างวัดสามง่ามต่อจากหลวงลุงแดงที่ฝากฝังไว้ให้ท่านสร้างต่อก่อนจะมรณภาพ  สมัยก่อน อุปกรณ์การก่อสร้างต่าง ๆ หาได้ยากมาก  เรื่องไม้ที่จะนำมาสร้างวัดต้องเข้าไปเอาในป่าลึก  กว่าจะได้ไม้มาแต่ละเที่ยวยากลำบาก  การออกไปตัดไม้แต่ละเที่ยว ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 - 3 เดือน  และการนอนป่าหลวงพ่อเต๋ ก็มักจะใช้การตัดไม้ใหญ่เป็นที่พำนักอาศัย การเดินทางไปตามถิ่นต่าง ๆ ก็เพื่อประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา  ท่านจึงไม่กลัวต่อภยันตรายทั้งเสือ ช้าง อันเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้าย  ตลอดจนสิ่งแวดล้อมภายในป่าที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ตลอดเวลา 15 ปี ในการตัดไม้มาก่อสร้างปฏิสังขรณ์วัดของท่าน  บางครั้งถึงกับอดน้ำ  นับว่าเป็นความอุตสาหะมานะอันแรงกล้าอย่างประเสริฐสุดหาที่เปรียบมิได้                 ในการพัฒนา หลวงพ่อเต๋ เป็นนักพัฒนาหาตัวจับยาก  สร้างสถานีอนามัย บ้านพักนายแพทย์และพยาบาล โรงเรียนประถมและมัธยม  สถานีตำรวจ  ถนนหนทาง  ขุดบ่อน้ำบาดาล  สร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง                 หลวงพ่อเต๋ เป็นผู้กอปรด้วยความเมตตาปรานี  ท่านจะให้ความรักความเมตตาแก่ศิษย์ทุกคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง  นอกจากนี้ท่านยังให้ความเมตตาต่อสัตว์เลี้ยง ได้แก่ วัว ชะนี นก สุนัข แมว ไก่ เป็นต้น  ไม่ว่านก สุนัข ไก่ และแมว ก่อนท่านจะฉันภัตตาหาร  ท่านจะต้องให้ข้าวสัตว์เหล่านี้เป็นนิจสิน                 พ.ศ. 2475 กรรมการสงฆ์จังหวัดโดย พระเทพเจติยาจารย์  วัดเสน่หา เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ได้พิจารณาแต่งตั้งให้  หลวงพ่อเต๋เป็นเจ้าอาวาสวัดสามง่าม                 พ.ศ. 2476 แต่งตั้งให้ท่านรักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะตำบล  มีวัดที่ขึ้นอยู่ในความปกครอง 5 วัด คือ วัดสามง่าม วัดลำลูกบัว วัดแหลมมะเกลือ วัดทุ่งสีหลง และวัดตะโกสูง                 การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อเต๋ ท่านสร้างไว้หลายแบบมาตั้งแต่ครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 มีทั้งแบบพระเนื้อดิน เนื้อผง เนื้อว่าน เหรียญรูปเหมือน พระกริ่ง รูปหล่อ เหรียญหล่อ และเครื่องรางของขลัง ตะกรุดหนังเสือ ตะกรุดสามห่วง สีผึ้ง เป็นต้น  แต่ละอย่างล้วนมีอภินิหารเป็นที่ประจักษ์และเล่าขานกันมาทุกวันนี้                 พระเครื่องของท่านไม่ได้เน้นเรื่องความสวยงาม  แต่เน้นเรื่องพุทธคุณ  เพราะท่านตั้งใจสร้างให้บูชาติดตัวเพื่อป้องกันภัยต่าง ๆ มีทั้งทางมหาอำนาจ  เมตตามหานิยม  แคล้วคลาด เนื้อพระส่วนมากเป็นแบบเนื้อดินผสมผงปนว่าน  เนื้อดินอาถรรพ์ที่นำมาจัดสร้างวัตถุมงคลได้แก่ ดินโป่ง 7 โป่ง ดิน 7 ป่าช้า ดินขุยปู เป็นต้น  ผสมลงไปในพระทุกพิมพ์  ด้านหลังองค์พระจะประทับชื่อ หลวงพ่อเต๋ กดลึกลงไปในเนื้อพระ วัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่านมาจนทุกวันนี้คือ ตุ๊กตาทอง  หรือที่นิยมเรียกกันว่า กุมารทอง ตำราการสร้างได้จากหลวงลุงแดง  ประกอบด้วย ดินโป่ง 7 โป่ง ดิน 7 ป่าช้า ดินขุยปู เป็นต้น  มาปั้นตุ๊กตาทอง (กุมารทอง) แจกชาวบ้าน  นำไปไว้เป็นเครื่องคุ้มครอง  เพราะดินดังกล่าวจะมีเทวดารักษา จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อเต๋ปั้นแล้วเอาวางนอนไว้  จึงทำการปลุกเสกให้ลุกขึ้นเองตามตำรา  ตุ๊กตาทองนี้นิยมกันมากใครได้ไปบูชามักจะมีเรื่องเล่าสู่กันฟังเป็นที่อัศจรรย์  ทำรายได้มหาศาล สามารถขออะไรสำเร็จทุกอย่างและเป็นที่ศรัทธาอย่างสูงของประชาชน                 ในปี พ.ศ. 2505 หลวงพ่อเต๋ ท่านได้จัดสร้างพระเครื่องเนื้อดินพิธีใหญ่อีกครั้ง เพื่อฉลองอายุครบ 5 รอบ  เนื้อดินที่ใช้ยังได้นำดินทวารวดี ที่ชำรุดหักและผงว่านผสมลงไปด้วย สังเกตเนื้อองค์พระเมื่อเผาแล้ว เนื้อดินจะนุ่มเมื่อถูกเหงื่อถูกสัมผัส  ปรากฏมวลสารและว่านแลดูเก่ามาก พิมพ์ที่จัดสร้าง มีดังนี้ 1.      พระรูปเหมือนซุ้มเรือนแก้ว 2.      พระปรกโพธิ์ใหญ่ 3.      พระปรกโพธิ์เล็ก 4.      พระตรีกาย (พระสาม) 5.      พระทุ่งเศรษฐี พระเครื่องเนื้อดิน 4 พิมพ์แรก  ด้านหลังจะมียันต์อักขระนูน เรียกว่า ยันต์สามง่าม  เนื่องจากด้านหลังมีรูป ตรี เป็นสัญลักษณ์ของวัดสามง่ามนั่นเอง  ส่วนพระทุ่งเศรษฐี  ด้านหลังมียันต์และชื่อฉายา คงทอง กดประทับลึกลงไปในเนื้อ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม มรณภาพลงโดยอาการสงบ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2524 รวมสิริอายุได้ 80 ปี 6 เดือน 10 วัน พรรษาที่ 59  ปัจจุบันทางวัดยังคงบรรจุสังขารของท่านไว้ให้ลูกศิษย์ลูกหารวมทั้งผู้ที่เคารพศรัทธาได้ไปกราบไหว้บูชาจนทุกวันนี้


เขียนโดย :พันธุ์ทิพย์ เจ้าของรายการ October 04, 2016 08:27:03


 พระสมเด็จ วัดศีลขันธาราม จังหวัดอ่างทอง เนื้อผงพุทธคุณ จัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2513 โดยท่านเจ้าคุณสนิท(สนิท ทองสีนวล) เป็นถึงพระราชาคณะ อดีตเจ้าอาวาสวัดขณะนั้น ท่านนับถือกันกับท่านเจ้าคุณนร วัดเทพศิรินทร์ฯ กทม. จึงนำพระเครื่องทั้งหมดหลายพิมพ์ รวมทั้งมวลสารที่เหลือจากการกดพิมพ์พระเข้าพิธีอธิษฐานจิตครั้งสุดท้าย ครั้งใหญ่ที่สุดของท่านเจ้าคุณนรฯ ณ อุโบสถวัดเทพศิรินทร์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2513 ถือว่าเป็นหนึ่งในพระสายท่านเจ้าคุณนรฯอีกรุ่นด้วย พระสมเด็จรุ่นนี้จะเป็นพระผงน้ำมัน มีหลากหลายสี สมเด็จสายรุ้งจะมีสามขนาดที่รู้มา คือ พิมพ์เล็ก ด้านหลังจะเป็นยันต์พร้อมฉายาท่านเจ้าคุณนรฯ พิมพ์ใหญ่ ด้านหลังจะเป็นยันน้ำเต้า และเขียนว่า เย็น อยู่เย็น เป็นสุข และพิมพ์พระประธาน สร้างน้อยมาก ขนาดใหญ่ประมาณพระบูชา อนึ่งท่านเจ้าคุณสนิทเป็นศิษย์รุ่นน้องของท่านเจ้านรฯ โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชและศึกษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์มาตลอดจนไปประจำอยู่ที่วัดศีลขันธ์ อ่างทอง จึงไม่แปลกที่ท่านจะสนิทสนมและรู้จักท่านเจ้านรฯและทางสายวัดเทพศิรินทร์ ตัวหลวงพ่อท่านเจ้าคุณสนิทเองในสมัยโน้นได้รับนิมนต์ไปปลุกเสกพระอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นเรื่องพุทธาคมของท่านคงไม่ธรรมดาแน่ อีกเรื่องที่ได้ยินมาจากหลายๆท่านที่ไปวัดศีลขันธ์ในสมัยโน้น(หลังปี2513) ไปขอพระสมเด็จสายรุ้ง แต่ท่านเจ้าคุณบอกว่าพระหมดนานแล้วเหลือแต่พระบูชาในกุฏิท่าน ท่านให้เดินเข้าไปหยิบเอาเอง ท่านแสดงออกถึงความเมตตาอย่างสูง และไม่ถือยศ ศักดิ์อันใด ท่านให้มาฟรีโดยไม่เรียกร้องอะไร 


เขียนโดย :พันธุ์ทิพย์ เจ้าของรายการ October 04, 2016 08:26:56


เหรียญรัชกาลที่ 6 ที่ระลึกครบรอบ 60 ปี ธนาคารออมสิน พ.ศ.2516 เนื้ออัลปาก้า สภาพสวยเดิม เคาะเดียวครับ


เขียนโดย :พันธุ์ทิพย์ เจ้าของรายการ October 04, 2016 08:26:41

หน้าที่ :  200