พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ) อายุ ๘๙ พรรษา ๕๙ (พ.ศ.๒๕๔๖) เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม สถานะเดิม ชื่อ คำพันธ์ ศรีสุวงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๕๘ โยมบิดาชื่อ นายเคน ศรีสุวงค์ โยมมารดาชื่อ นางล้อม ศรีสุวงค์ เป็นบุตรคนโต มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน ๒ คน คือ ๑. พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (คำพันธ์ ศรีสุวงค์) ๒. นายพวง ศรีสุวงค์ (ถึงแก่กรรม) และมีน้องร่วมมารดา แต่ต่างบิดากันอีก ๔ คน คือ ๑. นางสด วงษ์ผาบุตร (ถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗) ๒. ด.ช.บด แสนสุภา (ถึงแก่กรรม) ๓. ด.ญ.สวย แสนสุภา (ถึงแก่กรรม) ๔. นางกดชา เสนาช่วย (ถึงแก่กรรม) การบรรพชา-อุปสมบท วันที่ ๗ กันยายน ๒๔๗๕ (อายุ ๑๗ปี) ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดศรีบุญเรือง บ้านหนองหอย ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม โดยมีพระอาจารย์เชื่อม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากได้บรรพชาแล้วก็ได้ศึกษาอักษรธรรม และหนังสือสูตรคาม แบบโบราณ ในขณะเดียวกันก็ได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฎฐานควบคู่ไปด้วย หลังจากบรรพชาได้ ๓ พรรษา ได้ออกเดินธุดงค์ทรงกรดไปที่จังหวัดเลย พร้อมกับพระภิกษุ ๒ รูป คือ พระภิกษุบุญ และพระภิกษุวัน ได้พบกับชีปะขาวคนหนึ่งชื่อว่าครุฑ ได้ศึกษาแนวทางการปฎิบัติจากชีปะขาวอยู่ประมาณ 3-4 เดือน ก่อนหน้าที่จะได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น เคยได้รับความรู้เรื่องกัมมัฏฐานมาจาก พระอาจารย์เสาร์ ซึ่งท่านไปอบรมประชาชนที่วัดโพนเมือง ท่านอาจารย์เสาร์ให้แนวทางในการ ปฏิบัติกรรมฐานไว้ว่า ให้กำหนดลมหายใจออก ท่านอาจารย์เสาร์ได้ให้ข้อคิดต่อ ไปอีกว่า “ร่างกายของคนเรานั้น เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันทำงานอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจเข้า-ออกนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าลมไม่ทำงานคนเราจะตายทันที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดลมหายใจ” นอกจากนั้นท่านอาจารย์เสาร์ยังได้ย้ำอีกว่า “ให้คนเราตีกลองคือขันธ์ ๕ ให้แตก” ซึ่งก็หมาย ความว่า ท่านให้ทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ให้จงดีให้เข้าใจตามสภาพที่เป็นจริง........ หลวงปู่ได้ศึกษาภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติกับหลวงปู่เสาร์ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นหลวงปู่คำพันธ์ ก็ได้นำเอาแนวทางการปฎิบัติของอาจารย์ทั้ง 2 มาเป็นแนวทางปฎิบัติกัมมัฎฐาน หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดเลยเป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นได้เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดเชียงรายประมาณ 3-4 เดือน โยมบิดาได้เสียชีวิตลง หลวงปู่จึงได้เดินทางกลับมาทำบุญงานศพบิดา และได้เดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆในเขตจังหวัดนครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองคายและข้ามไปฝั่งลาวประมาณ 3-4 เดือน แต่ไม่ได้จำพรรษา แต่กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านเดิมอยู่ประมาณ 3 ปี และญาติโยชาวบ้านก็นิมนต์ท่านให้เข้ามาอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านเพื่อโปรดญาติ โยมชาวบ้านบ้าง หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ต่อ จนอายุถึง 40 ปี จึงหยุดเดินธุดงค์ แต่ก็พยายามศึกษาปฎิบัติธรรมกัมมัฎฐานมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน พ.ศ. ๒๔๗๘ อายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๔๘๒ อายุ ๒๔ ปี มารดาก็ถึงแก่กรรม เวลานั้นเหลือน้องผู้หญิง ๒ คน ซึ่งยังเล็กมาก จึงได้ลาสิกขาบทออกไปเลี้ยงดูน้อง พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี ได้กลับเข้าอุปสมบทอีกครั้ง และได้ออกไปจำพรรษาที่วัดป่า เป็นเวลา ๓ พรรษา ต่อมาก็ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานพร้อมเป็นครูสอน พระปริยัติธรรมด้วยที่วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้นำญาติโยมประมาณ ๕ ครอบครัว จากบ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก มาสร้างบ้านและวัดใหม่ ที่โนนมหาชัย และให้ชื่อบ้านว่า “บ้านมหาชัย” ในปัจจุบันนี้ ได้สร้างวัดธาตุมหาชัย (เดิมชื่อวัดโฆษการาม) จนเจริญรุ่งเรืองตราบถึงปัจจุบัน การศึกษา พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุ ๒๒ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุ ๓๑ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม เมื่อหลวงปู่สอบได้นักธรรมเอกได้แล้ว หลวงปู่ก็ได้พยายามศึกษาพิเศษ เช่น เรียนหนังสืออักษรธรรม อักษรขอมได้เป้นอย่างดี และยังทรงพระปาฎิโมกข์ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย งานการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่ได้ตั้งสำนักเรียนวัดพระธาตุมหาชัย ทั้งแผนกธรรม-บาลีขึ้นจนสามารถมีลูกศิษย์สอบนักธรรม ได้เป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และมีลูกศิษย์สามารถสอบเปรียญธรรมได้ทุกปี ปีละหลายๆ รูป ทำให้การศึกษาแผนกธรรมบาลีอำเภอปลาปากดีขึ้นตามลำดับ พ.ศ. ๒๕๓๔ หลวงปู่ได้จัดตั้งทุนมูลนิธิการศึกษาพระปริยัตธรรม แผนกธรรม-บาลีขึ้นที่วัดธาตุมหาชัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เพื่อส่งเสริมและมอบทุนการศึกษาให้แก่พระภิกษุ สามเณร ที่มีความรู้ความสามารถสอบนักธรรมชั้นตรี โท เอก ได้ และสามารถสอบเปรียญธรรมได้ หลวงปู่ยังให้ทุนการศึกษาแก่ลูกศิษย์ที่ไปเรียนต่ออีกด้วย งานการศึกษาสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงปู่ได้จัดตั้งกองทุนมูลนิธิการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ยากจน ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ในเขตอำเภอปลาปาก และทุกอำเภอในเขต จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 10 เดือนมกราคมของทุกๆ ปี หลวงปู่คำพันธ์จะมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนทุกอำเภอๆ ละ 9 ทุน และมอบทุนให้เป็นค่าอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียนต่างๆ ด้วย พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงปู่คำพันธ์ได้สร้างโรงเรียนมัธยมขึ้นที่บ้านนกเหาะ ตำบลโคกสูง อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนมตั้งชื่อโรงเรียนมัธยมแห่งนี้ว่า ธรรมโฆษิตวิทยา มีนักเรียนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี และหลวงปู่คำพันธ์ยังได้เป็นผู้ อุปถัมภ์โรงเรียนแห่งนี้มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๓๘ หลวงปู่คำพันธ์ได้ขออนุญาตสร้างโรงเรียนสุนทรธรรมากรและในปัจจุบันนี้ทาง ราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ชื่อว่า โรงเรียนมัธยมมหาชัยธรรมากร เพราะตั้งอยู่ ที่บ้านโนนศรีชมภูทางแยกเข้ามาบ้านมหาชัยหลวงปู่ก็ให้การอุปถัมภ์ในทุก วันนี้และได้จัดบรรพชา สาเณรภาคฤดูร้อนเป็นประจำ
วัดใจ ! พระพุทธประจำวัน เนื้อดินเก้าบัง " หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย " นครพนม ปี 2533 สุดยอดของดี หายาก ( 2 องค์ ) หนึ่งในชุดพระประจำวัน ของหลวงปู่คำพันธ์ครับ ทั่วไปต้องมี 500.- ขึ้น ผมเปิดวัดใจ ! ของหายากครับ ปกติวางขายอยู่หน้าตู้องค์ละ 500 บาทนะครับ คู่นี้ต้องมี 1,000 บาท ขายได้เรื่อย ๆ ตอนนี้ของจะหมด เลยเอามาวัดใจ ! ครับ ไม่มีเปิดให้บ่อย ๆ นะครับ พลาดแล้วจะเสียใจ ส่วนท่านที่ประมูลพระของผมและรอรวบรวมทีเดียวแล้วค่อยโอน ไม่ว่ากันนะครับ แต่ไม่อยากให้เกินเดือน เพราะบางท่าน 2 เดือนแล้วยังไม่โอนเคาะไปเรื่อย รอราคาหลุดอย่างเดียว ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะครับ เพราะขายพี่ในเวปขาดทุนอยู่แล้ว แค่ระบายของเท่านั้น แต่บางครั้งต้องเกรงใจกันบ้างนะครับ เพราะพระซื้อมามีต้นทุน และต้องหมุนเวียนครับ ปัญหาก็คือพอมันเกินเดือนรายการมันจะหายไป ทีนี้ต้องมานั่งถกเถียงกันอีก หรือตกหล่นเป็นอย่างนี้เสียเวลามากครับ จึงต้องรบกวนพี่ ๆ ทุกท่าน หากประมูลได้จำนวนหนึ่งแล้ว และยอดพอที่จะโอนได้แล้วก็รบกวนโอนแล้วแจ้งรายการมาด้วยนะครับ ขอบคุณครับ รายการนี้พระจัดส่งตรงตามภาพครับ
พระสวยและสมบูรณ์ ขนาดเหมาะกำลังใส่ พุทธคุณกลับร้ายกลายเป็นดีร่มเย็นเป็นสุข โชคลาภเงินทอง (((สุดท้าย)))
พระสวยและสมบูรณ์ ขนาดเหมาะกำลังใส่ พุทธคุณกลับร้ายกลายเป็นดีร่มเย็นเป็นสุข โชคลาภเงินทอง
หลังยันต์นารายณ์เปล่งรัศมีและผงนารายณ์หลั่งน้ำตา สุดๆเมตตามหานิยม ก้นพระมีรูเสียบแบบโบราณงัดออกจากบล็อก พระสมบูรณ์และสวย
พระสวยและสมบูรณ์ รุ่นนี้สร้างตอนท่านเลื่อนยศชั้นแรก รุ่นประสบการณ์
วัดใจ ! เหรียญนำรวย ปิดตามหาลาภ " หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ " อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ปี 2537 สวย ๆ " หลวง ปู่หยอด ชินวังโส" หรือ "พระครูสุนทรธรรมกิจ" อดีตเจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม มีนามเดิมว่า สุนทร ชุติมาศ ถือกำเนิดเมื่อวันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2454 ณ บริเวณตลาดบางน้อย จ.ราชบุรี เมื่ออายุได้ 18 ปีได้ฝากตัวเข้าบรรพชากับพระครูเปลี่ยน สุวัณณโชโต เจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ จนเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2474 โดยมีพระครูสุทธิสาร (หลวงปู่ใจ) เจ้าอาวาสวัดเสด็จ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาธรรมพร้อมทั้งได้รับถ่ายทอดวิชาอาคมจากหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ จนหมดสิ้น วัตถุมงคลของหลวงปู่หยอดที่ได้รับความนิยมสูง คือ ไหมเบญจรงค์ 5 สี ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ วัตถุมงคลที่หลวงพ่อหยอดสร้าง มีอานุภาพทางเมตตาและแคล้วคลาดจากภยันตราย เปี่ยมด้วยพุทธคุณอันเข้มขลัง เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว บรรดาศิษย์และผู้มีความเลื่อมใสต่างเสาะแสวงหามาพกติดตัวไว้คุ้มภัย ด้วยประสบการณ์และอภินิหารย์ที่เกิดแก่ผู้ใช้ จึงจัดเป็นของดีที่น่าเก็บสะสมเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่หยอดละสังขารไปนานหลายปี คงเหลือไว้เพียงสังขารที่ไม่เน่าเปื่อย ให้ได้กราบไหว้ ณ กุฏิวัดแก้วเจริญ
วัดใจ ! เหรียญนำรวย ปิดตามหาลาภ " หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ " อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ปี 2537 สวย ๆ " หลวง ปู่หยอด ชินวังโส" หรือ "พระครูสุนทรธรรมกิจ" อดีตเจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม มีนามเดิมว่า สุนทร ชุติมาศ ถือกำเนิดเมื่อวันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2454 ณ บริเวณตลาดบางน้อย จ.ราชบุรี เมื่ออายุได้ 18 ปีได้ฝากตัวเข้าบรรพชากับพระครูเปลี่ยน สุวัณณโชโต เจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ จนเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2474 โดยมีพระครูสุทธิสาร (หลวงปู่ใจ) เจ้าอาวาสวัดเสด็จ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาธรรมพร้อมทั้งได้รับถ่ายทอดวิชาอาคมจากหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ จนหมดสิ้น วัตถุมงคลของหลวงปู่หยอดที่ได้รับความนิยมสูง คือ ไหมเบญจรงค์ 5 สี ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ วัตถุมงคลที่หลวงพ่อหยอดสร้าง มีอานุภาพทางเมตตาและแคล้วคลาดจากภยันตราย เปี่ยมด้วยพุทธคุณอันเข้มขลัง เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว บรรดาศิษย์และผู้มีความเลื่อมใสต่างเสาะแสวงหามาพกติดตัวไว้คุ้มภัย ด้วยประสบการณ์และอภินิหารย์ที่เกิดแก่ผู้ใช้ จึงจัดเป็นของดีที่น่าเก็บสะสมเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่หยอดละสังขารไปนานหลายปี คงเหลือไว้เพียงสังขารที่ไม่เน่าเปื่อย ให้ได้กราบไหว้ ณ กุฏิวัดแก้วเจริญ
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ตำบล กุดพิมาน อำเภอ ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ประวัติ หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชือ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (บางตำราว่าวันที่ ๔ ตุลาคม) ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน เป็นบุตรชายคนหัวปี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ ๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส ๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า... เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขอำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไปและเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย "ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง" การศึกษา เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย อุปสมบท หลวงพ่อคูณ อุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หนังสือบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณ ได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อคูณ ตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า... " เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด... หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้กับ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน น้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า... "อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเราและของเขา” และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้ พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้ พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้ พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้ พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว" ส่วนพระกัมฏฐานนั้น หลวงพ่อคงได้สอนให้ใช้หมวดอนุสติ โดยดึงเอาวิธีกำหนด “ความตาย” เป็นอารมณ์ เรียกว่า “มรณัสสติ” เพื่อให้ เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงในในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ประมาทในความโลภ ความโกรธ และความหลง กำหนดลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เกิด สัมมาสมาธิ เรียกว่า “อานาปานสติ” เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง สู่มาตุภูมิ หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณ จึงออกเดินทางจากประเทศเขมรสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทาง พระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ โดยชาวบ้านได้ช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้น ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จแล้ว ต้องเผชิญกับการขนย้ายที่ยากลำบาก โดยอาศัยโคเทียมเกวียนบ้าง ใช้แรงงานคนลากจูง บนทางที่แสนทุรกันดาร เนื่องจากถนนทางเกวียนนั้นเป็นดินทรายเสียส่วนใหญ่ เมื่อต้องรับน้ำหนักมากก็มักทำให้ล้อเกวียนจมลงในทราย การชักจูงไม้แต่ละเที่ยวจึงต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน แต่กระนั้น หลวงพ่อคูณ ก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน) นอกจากสร้างพระอุโบสถแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ยังความสะดวกสบาย และความเจริญในบ้านไร่ยิ่งนัก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว เนื่องจากหลวงพ่อได้เปลี่ยนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวทั้งหมด มาเป็นปูนเป็นอิฐให้สวยงามและทนทานยิ่งขึ้น นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น หลวงพ่อคูณ ยังได้สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ สร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อคูณ สร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว ๗ พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคล ซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.๒๔๙๓ “ใครขอ กูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน” เป็นคำกล่าวของท่าน เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ เมื่อมีผู้ถามว่า หลวงพ่อแจกให้กับคนไม่ดีเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนี้หลวงพ่อไม่บาปหรือ “กูจะไปรู้หรือว่ามันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจร เมื่อมันได้รับประโยชน์จากของที่กูแจก มันคงคิดได้ว่า เป็นเพราะพระศาสนา มันจะได้เข้ามาสนใจปฏิบัติธรรม….” “ถ้ามีใจอยู่กับ “พุทโธ” ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง… ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก” การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณจะใช้คาถาไม่กีบท หัวใจพระคาถามีว่า มะอะอุ นะมะพะธะ นะโมพุทธายะ พุทโธ และยานะ แต่ในการปลุกเสก หลวงพ่อคูณจะใช้วิธี อนุโลมปฏิโลม (การต่อตามและย้อนลำดับ) เรียกว่า คาบพระคาถา เมื่อนำหัวใจธาตุ ๔ คือ นะมะพะธะ มาใช้ หลวงพ่อคูณจะภาวนาด้วยจิตอันเป็นหนึ่ง(สมาธิ) ให้อักขระทั้ง ๔ นี้ เป็น ๑๖ อักขระ ดังนี้ นะ มะ พะ ธะ มะ พะ ธะ นะ พะ ธะ นะ มะ ธะ นะ มะ พะ ระยะเวลาการปลุกเสกของท่านใช้เวลาไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับอารมณ์จิต ท่านเคยปรารภว่าเมื่อจะปลุกเสกวัตถุใด ใจต้องเป็นสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิ ปลุกเสกสิ่งใดก็ขลัง ระยะเวลาหนึ่งนาทีก็ดีแล้ว แต่หากใจไม่เกิดสมาธิ ปลุกเสกทั้งคืนทั้งวันก็ไม่มีผล อย่างนี้สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า ท่านั่งยอง หลวงพ่อคูณ ให้เหตุผลว่า เป็นท่าที่สบายที่สุด อีกทั้งเป็นลักษณะของคนเตรียมพร้อมที่ลุกเดินไปไหนมาไหนได้ทันที จะหยิบจับอะไรก็ง่ายและสะดวกในการทำงาน การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ หลวงพ่อคูณ ได้จัดสร้างโรงพยาบาลถึง 3 หลัง ตลอดจนโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้บริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ ทุกๆวัน แต่ละเดือนเป็นจำนวนหลายแสนบาท "หลวงพ่อคูณ เป็นคนยากจนมาโดยกำเนิด จึงอยากคิดช่วยเหลือคนอื่น การนำเงินออกไปช่วยคนอื่น ก็จะมีคนบริจาคเรื่อยๆ ถ้าเก็บไว้จะทำให้ตนตาบอด ใจก็บอดอีกด้วย จึงอยากช่วยคนอื่นอยู่เรื่อยไป วันใดไม่มีคนมาขอเงิน ก็ไม่ค่อยสบายใจ” ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ หลวงพ่อคูณ สั่งว่า เมื่อมีพระเครื่องของหลวงพ่อคูณ ติดตัว ให้ภาวนา "พุทโธ" ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอ ค่าพ่อแม่ตน และพ่อแม่บุคคลอื่น และอย่าผิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ให้สวยมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และหวงพ่อคูณย้ำว่า "ถ้ามีใจอยู่กับ พุทโธ ให้เป็นกลาง ๆ ไม่สอดส่ายไปที่ไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง...ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใด ๆ ในโลก"
อีกหนึ่งวัตถุมงคลอันเรื่องลือ พญาเต่าหิน เป็นอีกหนึ่งวัตถุมงคล ที่หลวงพ่อท่านตั้งใจสร้างอย่างพิธี พิถันตามตำนานโบราณ ด้วยพลังจิตรอันเข้มแข็ง ที่ท่านอัญเชิญพระพุทธบารมี ลงมาประดิษฐาน ใน พญาเต่าเรือนมีชาวบ้านในระแวกนั้น เคยพบปรากฏการปฎิหารเกี่ยวกับเต่ามาแล้ววันที่หลวงปู่ทำพิธี บริกรรมคาถาเสกวัตถุมงคลพญาเต่าเรือน มีคนเคยเห็นเต่าเดินขึ้นมาจากบึงนับร้อยตัวมาล้อมที่ศาลา กลางน้ำ ลูกศิทธิ์ที่ใกล่ชิดหลวงปู่เล่าให้ฟังว่าท่านเสกจนพญาเต่าหินขยับตัวได้เรื่องนี้ชาวบ้านแถวนั้น วิธีบูชาพญาเต่าเรือน ให้จัดหาอาสนะที่ขังน้ำได้ จัดหาแท่นวางแล้วใส่น้ำล้อมแท่น อย่าให้น่้ำท่วมแท่น ก่อนที่จะเอาเต่าขึ้นแท่น แล้วตั้งจิตรอธิฐานตามความปารถนา คาถาบูชาพญาเต่าเรือน ตั้งนะโม3จบ อุกาสะ อุกาสะ ข้าพระเจ้าขออาราธนาเอาอภิญญาปาฎิหารย์ลาภสักการะทุกสิ่งทุกอย่างของพญาเต่า เรือนจงมาบังเกิดแก่(....)แห่งข้าพเจ้า ขอเดชะคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า คุณพระอาริยะเจ้า ทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันต์ พระพุทธเจ้าอันพระองค์ได้ทรงสร้าง พระบารมี ได้เสวยพระชาติเป็นพญาเต่าเรือน พระองค์ทรงศักดาอานุภาพ ด้วยพระเมตตาธรรม ข้าพเจ้าจึงขอ น้อมนำ(....)สักการบูชา หวังเป็นเศรษฐีมั่งมีเงินตรา(ข้าเป็น.....)ขอให้ลาภผลอนันต์ ขอให้คุ้มครอง ป้องกันรักษาเภทภัยนานา ขออย่าพบพานศัตรูจงพินาศ ข้าทาสบริวารให้ซื่อตรง จงได้เมตตาด้วยเดชะ พระคาถาพญาเต่าเรือน นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ นะเลื่อนปื้น โมฟั่นเฟือน พุทธงวยงง ธาหลงใหล ยะสารพัด จังงังพรามณะ จิตติบุรุษ สะหญิงชายทั้งหลายเอ๋ย ทั้งแผ่นดินจงมานิ มานิจิตตังมะ มะ สัพเพชะนา พหูชะนา เพทิสา สะมาคะตา เอหิ เอหิ กาลโภชนา วิการโภชนา อาคัดฉายะ อาคะฉาหิ ปิยังมะมา สะมาคะตัง (กราบ1ครั้ง) นะโมพุทธายะ นิจจะนังราพัง นะชาลิติ โหมิทิพพระคาถังนิจถิตัง(กราบ1ครั้ง) มะอะอุ เมตตา จะมะหาราชา สัพพะเสน่หา จะปูชิตัง สุขังจะมะหาราพัง โกธังวินาศสันตุ สัพเพเสน่หา จะปูชิโต (กราบ1ครั้ง) คาถาย่อ นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ ( ภาวนา 3 คราบ 7 คราบ) ให้บูชาทุกวัน เช้า กลางคืนก่อนนอน