หลวงปู่เส็ง เป็นพระปฏิบัติท่านมักจะออกธุดงค์ไปปริวาสกรรมทุกปีมิได้ขาด มีปฏิปทาในทางสมถะหมั่นบริกรรมภาวนาเจริญพระคาถาวิชาต่างๆ เล่ากันว่าเวลาว่างจากงานที่ต้องกระทำ ท่านจะนั่งนับลูกประคำที่คล้องคออยู่ บริกรรมพระคาถาตลอดเวลา หลวงปู่เป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยพูดว่ากล่าวผู้ใด หลวงปู่เส็งเป็นสมภารปกครองวัดเรื่อยมาจนกระทั่งอายุ 65 ปี ท่านจึงเริ่มทำวัตถุมงคลการทำวัตถุมงคล ครั้งแรกนั้นท่านสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของวัดบางนา ในปี พ.ศ.2510 หลังจากสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้นออก มาแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหาแล้ว ในปีนั้นเองหลวงปู่ก็ทำเหรียญรูปอาร์มหรือใบเสมาคว่ำเป็นรุ่นแรกออกมาอีก และนับแต่ปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมาหลวงปู่เส็งก็สร้างวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆ ออกมามากมายแทบจะนับรุ่นกันไม่ได้เลยทีเดียว หลวงปู่สร้างวัตถุมงคลทุกปีๆ หนึ่งสร้าง 2-3 แบบ จนกระทั่งท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2530 รวมระยะเวลาการทำวัตถุของหลวงปู่เส็ง 20 ปี และวัตถุมงคลของหลวงปู่ทุกรุ่นทุกแบบก็มีผู้เลื่อมใสหามาพกติดตัว และบูชากันมากมาย วัตถุมงคลของหลวงปู่เส็งนั้น ออกไปในทางแคล้วคลาด เมตตามหานิยมและการค้าขายดีเยี่ยม วัตถุมงคลของหลวงปู่เส็ง รุ่นนิยมเท่าที่พอลำดับความได้มีดังนี้ พระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกจัดสร้างปี 2510 ผงที่นำมาสร้างเป็นผงอิทธิเจ ซึ่งจะโน้มไปในทางเมตตามหานิยมและค้าขาย พระผงสมเด็จ 3 ชั้นรุ่นแรกด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปพระประธานนั่งสมาธิ มีซุ้มครอบแก้ว ด้านหลังเป็นลายมือเขียนว่า “พระครูเส็ง” บางองค์เขียนว่า “เส็ง” และบางองค์ ก็เขียนว่า “พระครูเส็ง จันทฺรังสี” แล้วแต่ว่าหลวงปู่จะเขียนอะไรคำไหน แต่ส่วนใหญ่จะทำเป็นแบบพิมพ์เป็นบล็อค ใช้กดลงไปบนหลังพระเวลากดพิมพ์ เนื้อพระมีทั้งเนื้อน้ำมัน ลักษณะพระจะออกแกร่งมัน กับสูตรผสมเนื้อกล้วยพิมพ์ออกมามีทั้งหมด 5 สี คือ สีดำ เหลือง เขียว แดง และ ขาว พอทำเสร็จหลวงปู่ก็ปลุกเสกเดี่ยวแล้วออกแจกจ่ายแก่ญาติโยมที่ไปหาท่าน บางรายนำพระพกติดตัวไปประสบอุบัติเหตุเกิดแคล้วคลาดอย่างเหลือเชื่อ กิตติศัพท์พกพระหลวงปู่เส็งแล้วแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุมีบ่อยครั้งมากจนกระทั่งเลื่องลือไปทั่ว พุทธคุณพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของหลวงปู่เส็ง เรื่องแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเป็นเลิศ หลังทำพระผงรุ่นแรกทิ้งช่วงปลายปี ท่านก็ทำเหรียญรุ่นแรกออกมาเป็นเหรียญใบเสมาคว่ำมีทั้งเนื้อกะไหล่ทอง เงินและทองแดง ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปหลวงปู่ครึ่งองค์มีอักษรเขียนว่า “อาจารย์เส็ง” ด้านหลังเป็นยันต์ ใต้ยันต์มีอักษรระบุชื่อวัดบางนา พ.ศ.2510 ปีที่จัดสร้าง และพระผงที่ทำออกมานั้นส่วนใหญ่จะบรรจุตะกรุดสาริกาดอกเล็กๆ ไว้ที่ฐานด้วย เพื่อเสริมพุทธคุณ การทำพระเครื่องของหลวงปู่เส็ง จนถึงปี 2512 หลวงปู่จะเอาพระเครื่อง ที่ทำออกมาไปปลุกเสกเดี่ยวในอุโบสถ ถ้าเป็นเหรียญ ท่านจะทำพิธีพุทธาภิเษกนิมนต์พระระดับเจ้าอาวาสละแวกวัดบางนามาเจริญพุทธมนต์ด้วย หลังจากปี 2512 การทำวัตถุมงคลหลวงปู่จะจัดพิธีพุทธาภิเษกในอุโบสถตลอด พระผงรุ่นที่โด่งดังมากก็คือ รุ่นขี่หมู ซึ่งรุ่นนี้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นคนจัดสร้างขึ้นมานำไปให้หลวงปู่ทำพิธีพุทธภิเษก แล้วก็มอบพระให้หลวงปู่ไว้จำนวนหนึ่ง บรรดานักเล่น พระนิยมกันมาก สำหรับวัตถุมงคลรูปแบบต่างๆ นั้น ครั้งแรกหลวงปู่จัดสร้างหมูทองแดงในปี 2522 สาเหตุ การจัดทำหมูทองแดงของหลวงปู่เส็งนั้นสืบเนื่องมาจากในตำนานกล่าวกันว่า หมูทองแดงตามป่าเขาที่เป็นหมูเขี้ยวตันนั้นปืนยิงไม่เข้า หลวงปู่ก็เลยคิดทำวัตถุมงคลเป็นหมูทองแดงเขี้ยวตันขึ้นมา เล่ากันว่าระหว่างที่หลวงปู่ปลุกเสกหมูทองแดงร่วมกับพระที่นิมนต์มาเจริญพุทธมนต์อยู่ในโบสถ์นั้น มีชาวบ้านเห็นหมูวิ่งเข้าไปในโบสถ์ขณะที่พระสงฆ์กำลังปลุกเสกวัตถุมงคลอยู่ทั้งๆ ที่รอบโบสถ์ด้านนอกปิดกั้นอย่างดีไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนสมาธิ ขณะที่พระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทธมนต์และบริกรรมปลุกเสกวัตถุมงคล หลังเสร็จพิธีคนที่พบเห็นเข้าไปบอกหลวงปู่ ท่านก็เฉยๆ แถมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ท่านไม่ได้พูดอะไรแต่รับฟังเอาไว้ ครั้นเมื่อทำหมูทองแดงออกมาแจกกันเป็นที่ฮือฮาพอสมควร หมูทองแดงที่สร้างนั้นเป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ มีหมูทองแดงตัวใหญ่และเล็ก ข้างลำตัวซ้ายมีอักษรเขียนว่า “วัดบางนา ปทุมธานี 2522” ข้างลำตัวด้านขวาเป็นอักขระขอมมียันต์ที่โคนขาทั้ง 4 ลักษณะเป็นหมูป่าเขี้ยวตัน และในปี 2524 หลวงปู่เส็งได้จัดสร้าง ทำหมู 7 หัวขึ้นมา เป็นลักษณะหมูป่าเขี้ยวตัน คู้ขาหมอบที่เรียกว่า 7หัวนั้น หมายถึงหัวของปลัดขิกที่ทำไว้ตามลำตัวมี 7 แห่ง คือที่หัว หาง ที่เพศ และที่ปลายเท้าทั้งสี่ข้าง เป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ ข้างลำตัวด้านซ้ายระบุปี พ.ศ.ที่จัดสร้างคือปี 2524 นอกจากนี้หลวงปู่เส็งได้ทำหมูจัมโบ้ ขนาดใหญ่ออกมาอีก 1 รุ่น หมูทองแดงรุ่นแรกทำออกมาแค่ 2,500 ตัวเท่านั้น พุทธคุณไปในทางแคล้วคลาดและค้าขาย หลังจากทำหมูทองแดงออกมาหลวงปู่ก็จัดทำครุฑทองแดง ซึ่งครุฑเป็นสัตว์ที่มีอำนาจจัดทำพิธีพุทธาภิเษกในโบสถ์มีพระอาจารย์มาร่วมบริกรรมพุทธคุณอีก 10 รูป ครุฑทองแดงด้านหลังเขียนว่า “หลวงปู่เส็ง วัดบางนา ปทุมธานี 2522” สลับกับอักขระขอม ประสบการณ์มีผู้นำติดตัวไปแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุทางรถและทางเรือ อีกทั้งยังป้องกันภัย จากงูเงี้ยวเขี้ยวขอดีนัก ต่อมาหลวงปู่จัดสร้างรูปเหมือนหนุมาน เหตุผลที่จัดทำนั้นท่านถือว่าหนุมานเป็นลิงประจำปีวอกและด้วยหนุมานเองก็เป็นศิษย์ของพระนารายณ์ มีอานุภาพฤทธิ์เดชมากมาย ที่จัดทำไว้มีเนื้อกะไหล่เงินและทองแดง ไม่ระบุปีจัดสร้าง จาก หมู ครุฑ หนุมาน ต่อมาท่านก็สร้างพญาเต่าเลือนเนื้อทองแดงผสมโลหะ แล้วจัดสร้างหงส์ทอง หงส์เงิน อีก 1 ชุด เนื้อกะไหล่ทองและกะไหล่เงิน ทำเพื่อเป็นที่ระลึกว่าวัดบางนานั้นเป็นวัดที่ชาวรามัญสร้างขึ้นมา
หลวงพ่อสุพจน์ วัดสุทัศน์ ท่านเป็นพระลูกวัดของวัดสุทัศน์ในยุคพระสังฆราชแพ และพระครูลมูล อีกทั้งท่านยังสนิทสนมกันมากกับหลวงปู่นาควัดระฆัง ได้รับชิ้นส่วนแตกหักของสมเด็จวัดระฆังโดยตรงจากหลวงปู่นาคอีกด้วย ท่านเก็บสะสมพระแตกหักต่างๆที่คนเอามาทิ้งไว้ที่วัด นำมาบดละเอียดเป็นมวลสารในการสร้างพระขึ้นมาสืบต่อศาสนา โดยแจกให้กับลูกศิษย์ลูกหาของท่าน บางส่วนได้หลงเหลืออยู่ที่วัดสุทัศน์(ในสมัยโน้น)หลวงพ่อสุพจน์ท่านเป็น พระเกจิที่สันโดษมาก ทำให้คนรู้จักจักกันน้อย ++++หนังสือบางเล่มลงว่าพระผงของหลวงพ่อสุพจน์เป็นเนื้อสมเด็จวัดระฆังล้วน โปรดใช้วิจารณญาณ สมัยก่อนพระชำรุดแตกหัก คนจะนำไปถวายไว้ที่วัด หลักการเดี่ยวกันกับวิธีการสร้างพระของพระครูลมูล สันนิษฐานว่าหลวงพ่อสุพจน์เองคงมีวิชาไม่น้อยเพราะได้อยู่ที่วัดสุทัศน์ ได้ร่วมพิธีการสร้างพระกริ่งต่างๆมากมาย พระของท่านน่าจะได้เข้าร่วมในพิธีปลุกเสกพระกริ่งรุ่นต่างๆของทางสายวัด สุทัศน์ด้วย พระสมเด็จชุดนี้จัดสร้างโดยลพ.สุพจน์ นามเต็มของท่านคือ "พระครูพุทธมนต์วราจารย์" ท่านเป็นพระแบบว่าเก่งเงียบ ท่านมีวิชาลบผงสร้างผงจากตำราโบราณของวัดสุทัศน์ (ตำราโบราณของพระครูลมูล วัดสุทัศน์) เป็นสหายธรรมกับหลวงปู่นาคและหลวงปู่หินวัดระฆัง จึงได้รับมอบผงสมเด็จวัดระฆังที่แตกหักเป็นจำนวนมาก ท่านเป็นหนึ่งในเกจิที่ร่วมปลุกเสกพระยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ และงานพุทธาภิเษกใหญ่ ๆ เช่นพิธีวัดประสาทฯ ปี 06 พิธีปลุกเสกพระประจำจังหวัดชลบุรี ปี 09 ที่วัดป่าชลบุรี ก็มีชื่อของท่านในทำเนียบพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับการนิมนต์มาร่วมพิธีปลุก เสกด้วย สมเด็จพิมพ์นี้สร้างที่วัดสุทัศน์ฯ เมื่อปี 84 (พิธีอินโดจีน) โดยลูกศิษย์ของท่านนำพระสมเด็จวัดระฆังที่แตกหักจำนวนมากและไม่ได้ใครสนใจมา ถวายท่าน ท่านจึงนำพระเหล่านั้นมาบดเป็นผงละเอียดและได้แกะพิมพ์ขึ้นมาใหม่ เช่น พระสมเด็จพิมพ์วัดระฆัง พระสมเด็จพิมพ์วัดบางขุนพรหม พระสมเด็จพิมพ์วัดเกษไชโย วัดเงินคลองเตย วัดพลับ วัดสามปลื้ม วัดโพธิ์ ขุนแผนบ้านกร่าง หลวงพ่อโตบางกระทิง พระลีลา เปิดโลก และพิมพ์ต่างอีกมากด้านมีทั้งปั๊มยันต์พุฒซ้อน และยันต์ตรี พร้อมได้กราบเรียนสมเด็จพระสังฆราชแพเพื่อขออนุญาตนำพระเข้าปลุกเสกในพิธี นั้นพร้อม ๆ กับวัตถุมงคลต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงได้มอบให้แก่ลูกศิษย์ตลอดจนทหาร ตำรวจ และข้าราชการต่าง ๆ ที่ต้องไปราชการสงครามในสมัยนั้นเพื่อไปเป็นมงคล ปรากฎว่า "ประสบการณ์ดีเยี่ยม" พอข่าวนี้แพร่ออกไปปรากฎว่ามีประชาชนต่างมาทยอยขอพระสมเด็จจากท่านจำนวนมาก ซึ่งท่านก็มอบให้ด้วยความเต็มใจจนหมด จึงเรียกได้ว่าพระชุดนี้ "ดีนอก ดีใน" จริง ๆ สมัยก่อนพระแตกหักคนโบราณเขาไม่เอาเข้าบ้านกันถ้ามีพระแตก หักเขาจะนำไปไว้ที่วัด เพราะฉะนั้นเมื่อปี2480กว่าๆนั้นชิ้นส่วนสมเด็จวัดระฆัง นั้นยังไม่มีราคา หลวงพ่อจึงได้รวบรวมจากตามวัดและลูกศิษย์นำมาถวายนำมาบดและกดพิมพ์เป็นพระ พิมพ์ต่างๆ และยังได้นำเอาเข้าพิธีปลุกเสกใหญ่ๆเช่นพิธีอินโดจีน วัดสุทัศน์ปี84-85 พิธีวัดประสาทปี06 จึงได้แจกให้แก่ลูกศิษย์นำไปบูชากัน แต่พระพิมพ์นี้เป็นพิมพ์พระยืนอุ้มบาตร เหมือนพระยืนที่วัดอินทร์ครับมีจำนวนที่สร้างน้อยและหาชมได้ยากอีกพิมพ์หนึ่งครับ เข้าพิธีปลุกเสกใหญ่ๆเช่นพิธีอินโดจีน วัดสุทัศน์ปี84-85 พิธีวัดประสาทปี 06 จึงได้แจกให้แก่ลูกศิษย์นำไปบูชากัน พิธีปลุกเสก พระพุทธชินราช รุ่นอินโดจีน ปี 84-85 ซึ่งพระครูสุพจน์ วัดสุทัศน์ ได้นำเอาประสมเด็จพิมพ์ต่างๆของท่านเข้าร่วมพิธีด้วย 1.สมเด็จพระสังฆราช แพ วัดสุทัศน์ 2.2.ท่านเจ้าคุณศรี สนธิ์ 3. หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา 4.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก 5.หลวงปู่นาค วัดระฆัง 6.หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู 7.หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว 8. หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง 9.หลวงพ่อแช่ม วัดตากล้อง 10.หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว 11.หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด 12.หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ 13.หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง 14.หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ 15.หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา 16.หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ 17. หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก 18.พระพุทธโฆษาจารย์เจริญ วัดเทพศิรินทร์ 19.หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ 20.หลวงพ่อติสโสอ้วน วัดบรมนิวาส 21.สมเด็จพระสังฆราชชื่น วัดบวรนิเวศ 22.พระพุฒาจารย์นวม วัดอนงค์ 23.หลวงพ่อเส็ง วัดกัลยา 24.หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ 25.หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ 26.หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค 27.หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ 28.หลวงพ่อช่วง วัดบางแพรกใต้ 29.หลวงพ่ออาจ วัดดอนไก่ดี 30.หลวงพ่อกลิ่น วัดสพานสูง 31.สมเด็จพระสังฆราชอยู่ วัดสระเกศ 32.หลวงพ่อเชย วัดเจษฎาราม 33.หลวงพ่อปาน วัดเทพธิดาราม 34.หลวงพ่อเซ็ก วัดทองธรรมชาติ 35.หลวงพ่อเจีย วัดพระเชตุพน 36. หลวงพ่อเผื่อน วัดพระเชตุพน 37.หลวงพ่อหลิม วัดทุ่งบางมด 38. หลวงพ่อแพ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก 39.หลวงพ่อสอน วัดพลับ 40.หลวงพ่อเฟื่อง วัดสัมพันธวงศ์ 41.หลวงพ่อบัว วัดอรุณ 42. หลวงพ่อนาค วัดอรุณ 43.หลวงพ่อปลั่ง วัดคูยาง 44.หลวงพ่อชุ่ม วัดพระประโทน 45.หลวงพ่อสนิท วัดราษฎร์บูรณะ 46.หลวงพ่อเจิม วัดราษฎร์บูรณะ 47.หลวงพ่อสุข วัดราษฎร์บูรณะ 48.หลวงพ่ออาคม สุนทรมา วัดราษฎร์บูรณะ 49.หลวงพ่อดี วัดเทวสังฆาราม 50.หลวงพ่อประหยัด วัดสุทัศน์ 51.หลวงพ่อปลอด วัดหลวงสุวรรณ 52. หลวงพ่ออิ่ม วัดชัยพฤกษ์มาลา 53.หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก 54. หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน 55.หลวงพ่อครุฑ วัดท่อฬ่อ 56.หลวงพ่อกลีบ วัดตลิ่งชัน 57.หลวงพ่อทรัพย์ วัดสังฆราชาวาส 58.หลวงพ่อแม้น วัดเสาธงทอง 59.หลวงปู่รอด วัดวังน้ำว 60.หลวงพ่อสาย วัดพยัคฆาราม 61.หลวงพ่อเส็ง วัดประจันตาคาม 62.หลวงพ่อพิศ วัดฆะมัง 63.หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก 64.หลวงพ่อหมา วัดน้ำคือ 65. หลวงปู่จันทร์ วัดบ้านยาง 66.หลวงปู่เหมือน วัดโรงหีบ 67.หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว 68.หลวงพ่อฉาย วัดพนัญเชิง 69.หลวงพ่อปลื้ม วัดปากคลองมะขามเฒ่า 70.หลวงพ่อแนบ วัดระฆัง 71.หลวงพ่อเลียบ วัดเลา 72.หลวงพ่อพักตร์ วัดบึงทองหลาง 73.หลวงพ่อสอน วัดลาดหญ้า 74.หลวงปู่เผือก วัดโมรี 75.หลวงพ่อผิน วัดบวรนิเวศ 76. หลวงพ่อเจียง วัดเจริญธรรมาราม 77.หลวงพ่อทองอยู่ วัดประชาโฆษิตาราม 78.หลวงพ่อไวย์ วัดดาวดึงส์ 79.หลวงพ่อกลึง วัดสวนแก้ว 80. หลวงพ่ออ่ำ วัดวงฆ้อง 81.หลวงปู่จันทร์ วัดคลองระนง 82.หลวงพ่ออ๋อย วัดไทร 83.หลวงพ่อศรี วัดพลับ 84.พระอาจารย์เชื้อ วัดพลับ 85. หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก 86.หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ 87.หลวงพ่อพริ้ง วัดราชนัดดา 88.หลวงพ่อขำ วัดตรีทศเทพ 89.หลวงพ่อหนู วัดปทุมวนาราม 90.หลวงพ่อทองคำ วัดปทุมคงคา 91.หลวงพ่อเจียง วัดเจริญสุธาราม 92.หลวงพ่อกรอง วัดสว่างอารมณ์ 93.หลวงพ่อเนียม วัดเสาธงทอง 94.หลวงพ่อบุญ วัดอินทราราม 95.หลวงพ่อเปลี่ยน วัดบึง 96. หลวงพ่อฉ่ำ วัดท้องคุ้ง 97.หลวงพ่อพรหมสรรอด วัดบ้านไพร 98. หลวงปู่จันทร์ วัดโสมนัสวิหาร 99.หลวงพ่อโสม วัดราษฎร์บูรณะ 100. หลวงพ่อบุตร วัดบางปลากด 101.หลวงพ่อโต วัดบ้านกล้วย 102. หลวงพ่อทองอยู่ วัดบางหัวเสือ 103.หลวงพ่อวงศ์ วัดสระเกศ 104. พระอาจารย์พงษ์ วัดกำแพง 105.พระอธิการชัย วัดเปรมประชา 106. หลวงปู่รอด วัดเกริ่น 107.หลวงพ่อเที่ยง วัดบางหัวเสือ 108.หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ (ตัวท่านไม่ได้มาร่วมปลุกเสก แต่จารแผ่นทองเหลือง ทองแดงมาร่วมพิธี
กดที่ตัวยังมีอีกหลายรายการยังมีอีกหลายรายการ โอนแล้วกรุณาแจ้งรายละเอียดการโอนให้ชัดเจน ในกล่องข้อความ 1.โอนเงินจำนวน......บาท 2. จำนวน......รายการ 3. รายการอะไรบ้าง....(ถ้าบอกได้จะดีมากครับ) เพื่อการจัดส่งที่รวดเร็ว...และถูกต้อง รวมยอดโอนทีเดียวได้ครับถ้ายอดน้อย เกิน 25 วันไม่โอน โดนคำติ
กดที่ตัวยังมีอีกหลายรายการยังมีอีกหลายรายการ โอนแล้วกรุณาแจ้งรายละเอียดการโอนให้ชัดเจน ในกล่องข้อความ 1.โอนเงินจำนวน......บาท 2. จำนวน......รายการ 3. รายการอะไรบ้าง....(ถ้าบอกได้จะดีมากครับ) เพื่อการจัดส่งที่รวดเร็ว...และถูกต้อง
พระดีพิธีสุดยอด...สมเด็จเผ่าวัดอินทรวิหาร ปี2495 สร้างโดยพระครูสังฆรักษ์ วัดอินทรวิหาร ในปี2495 ในตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์ต่อมาจากลป.ภู วัดอินทร์ มวลสารที่นำมาสร้างเป็นมวลสารที่เหลือจากการสร้างพระในปี2485 พระชุดปี85นี้ นักเล่นพระส่วนใหญ่ รู้จักกันในนามสมเด็จพระครูสังฆ์ วัดอินทร์ ตัวท่านเองประวัติของท่านแปลกมากตรงที่ เป็นพระที่มาที่วัดแล้วมาหาลป.ภูและ บอกหลวงปู่ภูว่า สมเด็จโตให้ฉันมาสร้างพระ ซึ่งลป.ภูท่านก็เห็นชอบด้วย จึงให้ดำเนินการสร้างพระชุดแรกขึ้นมาโดยเอาแม่พิมพ์เก่าของลป.ภูมาสร้าง ส่วนรุ่นนี้ใช้เชื้อพระเก่ามวลสารดีๆมากมาย พิธีใหญ่ระดับประเทศ มวลสาร ผงวิเศษดั้งเดิมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่ท่านนำมาจากเศษพระพิมพ์สมเด็จที่ชำรุด ผงตะไบพระกริ่งวัดสุทัศน์ ครั้งหล่อพระกริ่ง เมื่อพุทธศักราช 2485 ผงสมเด็จที่มอบให้แก่หลวงปุ่ภูวัดอินทรวิหารรักษาไว้ ผงของหลวงพ่อเดิม จังหวัดนครสวรรค์ ผงวิเศษจากสำนักของพระอาจารย์ต่างๆ ที่ได้รับนิมนต์เข้าร่วมบริกรรมปลุกเศก เป็นต้น รายนามพระเกจิ ที่ร่วมพิธีปลุกเศก ชนวนมวลสาร ใน วันที่ 22 ตุลาคม 2495 พระเทพเวที วัดสามพระยา พระภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำ พระราชโมฬี วัดระฆัง พระภาวนาวิกรม วัดระฆัง พระศรีสมโภช วัดสุทัศน์ฯ พระอาจารย์ แฉ่ง วัดบางพัง พระครุวินัยธร วัดสัมพันธวงศ์ พระครูสรภัญญประกาศ วัดโปรดเกศ หลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน ราชบุรี พระอาจารย์พลี วัดสวนพลู พระครูอาคมสุนทร วัดสุทัศน์ฯ พระปลัดเปล่ง วัดกัลยานิมิตร พระอาจารยืใบฎีกาบัญญัติ วัดสุทัสน์ฯ พระครุอินทรสมจารย์ วัดอินทรวิหาร พระครุมงคลวิจิตร วัดอนงคาราม (มาแทน สมเด็จพระพุฒาจารย์ นวม) รายนามพระเกจิที่ร่วมพิธี พุทธาภิเศก หลังจาก พิมพ์ผงมวลสารให้เป็นองค์พระสมเด็จแล้ว ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2495 มี พลวงพ่อสด วัดปากน้ำ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว กาณจนบุรี หลวงพ่อช่วง วัดบางแพรกใต้ นนทบุรี หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ หลวงพ่อฮะ วัดดอนไก่ดี สมุทรสาคร พระปลัด ตังกวย วัดประดู่ฉิมพลี กทม หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวง่อนอ วัดกลางท่าเรือ หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม นครปฐม หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง หลวงปู่นาค วัดระฆัง ประวัติ สมเด็จนายพลเผ่า ( สมเด็จวัดอินทร์ ปี 2495 ) โดย ท่านอาจารย์ ฉันทิชัย กระแสร์สินธุ์ วันนั้นเป็น วันที่ 22 ตุลาคม พุทธศักราช 2495 เวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์ จากนายพันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ว่าให้เตรียมกระดาษดินสอ ไปที่พระอุโบสถวัดอินทรวิหาร เวลา 16.00 น. ครั้นข้าพเจ้าย้อนถามไปว่า เกี่ยวด้วยเรื่องอะไร พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ก็บอกปัดว่าไปทราบเอาที่โบสถ์วัดอินทร ก็แล้วกัน และโดยมิทันที่ข้าพเจ้าซักไซ้อย่างไรต่อไปอีก พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา ได้วางโทรศัพท์เสียเป็นการตัดบท ข้าพเจ้าเคยรับทราบจากนายพลตำรวจจัตวา เนื่อง อาขุบุตร ว่าจะมีการสร้างพระพิมพ์สมเด็จพระพุทฒาจารย์ (โต ) ขึ้น แต่ยังไม่กำหนดวันแน่นอน จึงเดาเอาว่าเห็นจะไม่ผิดไปจากเรื่องที่เคยทราบนั้น พอถึงเวลา 16.00 น. ข้าพเจ้าก็ถึงวัดอินทร์ ตามที่ พันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพา โทรศัพท์แจ้งไปโดยอาศัยรถยนต์ของหม่อมเจ้าปรีชา กัลยาณวงศ์ เป็นยานพาหนะ ที่หน้าโบสถ์ ข้าพเจ้าได้พบนายพันตำรวจตรีเลื่อน บุณยจิตติ สหายรักผู้ร่วมงานกันมาอย่างใกล้ชิด พร้อมกับคุณชิต วิภาษธวัช ผู้สะพายกล้องอย่างดีสำหรับเก็บภาพในงานมงคลพิธี ครั้งเข้าไปในพระอุโบสถ ข้าพเจ้าถึงกับตลึงงันด้วยความปิติ เพราะเบื้องหน้าพระประธาน เต็มไปด้วยสรรพวัตถุวิเศษ ที่นำมาเข้าในพิธีมณฑล และภายในพระอุโบสถนั้น ท่านายพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ นั่งเป็นประธานอยู่เบื้องขวา ท่านนายพลจัตวา เนื่อง อาขุบุตร ก็อยู่ในพระอุโบสถด้วย… เมื่อได้กราบพระประธานแล้ว ข้าพเจ้าได้เข้าไปทำความเคารพ ท่านนายพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งท่านได้กรุณาบัญชาว่า “ จดเหตุการณ์ในเรื่องนี้อย่างละเอียด สำหรับลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ตำรวจ” ขณะนั้นเป็นเวลา 16.00 นาฬิกา ท่านนายพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ กับบรรดาผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในงานมหามงคลพิธี มาพร้อมกันในพระอุโบสถ อาทิ ข้าราชการตำรวจที่เป็นกรรมการร่วมงาน และคหบดีผู้ที่ได้รับเชิญมาเป็นกรรมการด้วย ตลอดจนพระมหาราชครูพราหมณ์มุนีศรีวิสุทธิคุณ กับพระครูพราหมณ์ศิวาจารย์ พราหมณ์พิธีผู้อ่านโองการเชิญชุมนุมเทพยดา และร่ายวิษณุเวศย์ ศิวะเวศย์ ตลอดจนเทพมนต์ ร่วมในพิธีสร้างพระพิมพ์เพื่อความสมบรุณ์ โดยศิวศาสตร์ ตามแบบอย่างมหายัญพิธีแต่เบื้องบรรพ์ร่วมอยู่ด้วย ข้าพเจ้านั่งอยู่ข้างนายพลจัตวาเนื่องอาขุบุตร และนายพันตำรวจตรี เลื่อน บุณยจิตติ ได้กระซิบถาม นายพลจัตวาเนื่องอาขุบุตร ถึงเร่องต่างๆที่ประสงค์ทราบให้ชัดเจน จึงได้ทราบว่า บรรดาข้าวของวิเศษต่างๆที่นำมาเป็นพิธีกรรมทั้งหมดนี้ นายพลจัตวาเนื่องอาขุบุตร กับนายพันตำรวจตรี สังข์ เผ่าพิมพาเป็นผู้จัดมาโดยบัญชาของท่านนายพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ครบต้องตามตำราแห่งปุราณคัมภีร์ ทุกประการ ด้านขวาพระอุโบสถ พระสงฆ์ราชาคณะและพระครูตลอดจนพระอาจารย์สำนักต่างๆ ที่ได้รับนิมนต์ให้มาเข้าร่วมในการสร้างพระพิมพ์ รวม 14 รูป มี พระเทพเวที วัดสามพระยา พระศรีสมโพธิ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม พระภาวนาวิกรม วัดระฆัง พระภาวนาโกศลเถระ วัดปากน้ำ พระอาจารย์ แฉ่ง วัดบางพัง พระครูสรภัญญประกาศ วัดโปรดเกษ ฯลฯ รวม 14 รูป และโดยที่ในงานนี้ได้ ได้นิมนต์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม มาเป็นประธานด้วย แต่บังเอิญท่านอาพาธโดยกระทันหันมาไม่ได้ จึงให้พระภิกษุผู้ทรงวิทยาคุณมาแทน พระภิกษุทุกองค์บรรดาที่ได้รับนิมนต์มาในมหามงคลพิธี ล้วนแต่ทรงไว้ซึ่ง ศีลาจารวัตรอันงดงาม นุ่งห่มเป็นปริมณฑลได้สมณสารูป สมเป็นสมณะผู้ศิษย์พระตถาคต นั่งรอกาลเวลาอันงามอยู่อย่างสงบ เบื้องหน้าพระประธาน แบบพระมารวิชัยภายใต้เศวตรฉัตร 9 ชั้นนั้น ภายในวงสายสิญจน์ มีสรรพวัตถุวิเศษ ที่จะประมวลเข้าในพิธีกรรมสร้างพระพิมพ์หลายหลาก มี ผงเกษรดอกไม้ ผงเกษรบุนนาค ผงเกษรบัวหลวง ผงเกษรสาภี ผงเกษตรพิกุล ผลซิงอ๊อกไซด์ ปูนขาว กระดาษฟาง น้ำมันมะพร้าว ดินสอพอง น้ำมันก๊าส น้ำอ้อย เครื่องตำมี ครก สากหิน แผ่นกระเบื้อเคลือบสำหรับกดแม่พิมพ์ มีดทองเหลือสำหรับตัดพระพิมพ์ 84000 องค์ และถาดสำหรับรองพระพิมพ์เพื่อผึ่งในร่ม (ไม่ใช่ผึ่งแดด )ให้แห้ง บนพานแว่นฟ้า มีผงวิเศษดั้งเดิมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่ท่านนำมาจากเศษพระพิมพ์สมเด็จที่ชำรุดบดให้เป็นผงผสมให้เข้ากันแล้วใส่ ผอบ รออยู่ และมีผลตะไบพระกริ่งวัดสุทัศน์ ครั้งหล่อพระกริ่ง เมื่อพุทธศักราช 2485 ผงสมเด็จที่มอบให้แก่หลวงปุ่ภูวัดอินทรวิหารรักษาไว้ ก็ได้นำมาใส่ ผอบ เป็นพิเศษเพื่อคุลีการเข้าด้วยกัน และยังมีผงของหลวงพ่อเดิม จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งนายพลจัตวาเนื่อง อาขุบุตร นำมารวมเข้าไว้อีกด้วย นอกนั้นบรรดาพระอาจารย์ต่างๆ ที่ได้รับนิมนต์เข้าร่วมบริกรรมปลุกเศกด้วยพระกฤตยาคม ยังได้ให้ผงวิเศษจากสำนักของท่าน เพื่อรวมเข้ากับการสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้อีกเล่า จึงนับว่าการสร้างพระพิมพ์สมเด็จครั้งนี้ พรั่งพร้อม ด้วยผงวิเศษและสมบรูณ์ตามศาสตร์ครบถ้วนตามหลักการสร้างเช่นปางบรรพ์ทุกประการ เครื่องบุชาพระพุทธรูปและเครื่องบวงสรวงสังเวยนั้นทางคณะกรรมการจัดงานได้จัดเครื่องทองน้อย ตั้งเทียนชัยแปดทิศ ใส่กะบะมุกมาตั้งดูอร่ามและศักดิ์สิทธ์หนักหนา เบื้องซ้ายตั้งบายศรีเจ็ดชั้นข้างละคู่ มีรูปถ่ายสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ขนาดใหญ่ตั้งไว้ด้วย และมีธรรมาสน์มุกตั้งเป็นสำคัญในการอัญเชิญให้พระวิญญานสมเด็จฯมาเป็นประธาน พอได้ศุภฤกษ์มงคล 16 นาฬิกา 20 นาที พระมหาราชครูพราหมณ์มุนีศรีวิสุทธิคุณ แต่งกายด้วยเครื่องขาวสวมครุยทอง เข้ากราบพระพุทะรูป และกราบพระภิกษุผู้เป็นประธานแล้ว กล่าวคำบวงสรวงสังเวยปรารภเหตุในการจัดสร้างพระพิมพ์ครั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ ในการสืบต่อเกียรติคุณ แห่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี ) และเพื่อเฉลิมศรัทธาปสาทะของประชาชนที่เป็นพทธมามกะ จะได้น้อมนำเอาไปเคารพบูชา ตลอดเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เสร็จการบวงสรวงสังเวยแล้ว ก็อ่านโอมนะโมแปดบท (นะโมการอัฎฐกะ ) แล้วเชิญชุมนุมเทวดา ด้วยบท สัคเคกาเมจรูเป จบบทสัคเคฯ พราหมณ์เป่าสังข์ไกวบัญเฑาะ สิ้นเสียงสังข์ พระครูศิวาจารย์อ่านโองการ พระมหาราชครู อาราธนาพระปริตรสุตรต่างๆ เป็นการบรรจุพระพุทธวจนะ และหัวใจพระสุตรทั้งหลายให้แทรกซึมเข้าไปในสรรพสิ่งพัสดุอันวิเศษที่ตั้งอยู่ภายในสายสิญจน์ พระศรีสมโภชแห่งวัดสุทัศฯ เป็นผู้ขัดตำนาน จบขัดตำนานก็เริ่มสวดพระมงคลสูตร อันเป้นพระชัยมงคลคาถาตามประเพณี ในการสร้างพระพิมพ์ ท่ามกลางมหามงคลสันนิบาตครั้งนี้ นายสิงห์ อินทเวช ผู้มีวัตรปฎิบัติเช่นชีปะขาว อายุ 80 ปีเศษ ได้อุตสาหะพยุงสังขารอันชราเข้ามาร่วม บริกรรมสร้างพระพิมพ์อยู่ด้วย โดยห่างจากหัตถบาตแห่งพิธีกรรมของพระภิกษุ แล้วนั่งสมาธิบริกรรมคาถา และร่ายเวทย์วิษณุมนต์ เพื่อยังความสำเร็จและความ ศักด์สิทธิ์ให้เกิดขึ้น และภายหลังการบริกรรมพระเวทย์แล้วได้สวดทำนองรัตนมาลาเพื่อยัญพิธีครั้งนี้อีกด้วย ได้ทราบว่าเป็นคำสวดพิเศษที่ถ่ายทอดศึกษาสืบเนื่องมาแต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครั้งอัญเชิญพระศรีศากยมุนี จาก กรุงสุโขทัยมายังวัดสุทัศน์ฯ ในบาตรดินอันศักดิ์สิทธิ์ มีพระพิมพ์และพระกริ่งใส่อยู่รวมสี่องค์ ท่านายพลตำรวจจัตวา เนื่อง อาขุบุตรได้แจ้งแก่ข้าพเจ้าว่า เป้นพระกริ่งวัดสุทัศน์ รุ่น พ.ศ. 2425 องค์หนึ่ง พระปทุมใหญ่ (พระกริ่งโบราณ ) องค์หนึ่ง พระกริ่งชัยวรมันที่สอง องค์หนึ่ง และพระพิมพ์สี่ทิศสร้างในสมัยสมเด็จพระนาราย์มหาราช องค์หนึ่ง ครั้นได้ฤกษ์ เวลา 17.30 นาฬิกา นายพลจัตวา เนื่องอาขุบุตร ก็นิมนต์พระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษลงมาจากอาสนสงฆ์ เพื่อนั่งบริกรรมปลุกเศกพัสดุ อันเป็นองคลยิ่งที่อยู่ในวงสายสิญจน์ พระคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางวิปัสสนาและพระอภิธรรม ต่างนั่งบริกรรม เป็นวงล้อมเครื่องมงคลพิธี เว้นแต่พระเทพเวที กับ พระศรีสมโภช มิได้เข้าร่วมบริกรรม เนื่องจากท่านชำนาญโดยเฉพาะ ทางคันถธุระ จึงนั่งห่างจากหัตถบาศที่กระทำพิธีนั้น และสำรวมจิตเพ่งดูการนั่งปรกของพระคณาจารย์ ทั้งนั้นโดยดุษณียภาพ การนั่งบริกรรมปลุกเศก เป็นคณะปรก ในพิธีกรรมครั้งนี้ มีกำหนด 40 นาที ขณะที่นั่งบริกรรมอยู่นั้น พระคณาจารย์ทุกองค์อยู่ในลักษณะอันสงบเงียบหลับตานั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น ส่งกระแสจิตมุ่งไปยังสรรพพัสดุ อันวิเศษที่นำเข้ามาในมณฑลพิธีโดยพร้องเพรียงกัน และได้ห้ามปรามกันไว้เสร็จสรรพว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่อยู่ในมณฑลพิธีจะกระทำให้บังเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมิได้ และกำหนดกังสดาลดังขึ้นเป็นสำคัญ เมื่อไรได้ยินเสียงกังสดาล เมื่อนั้นเป็นสัญญานว่าครบกำหนดฤกษ์บรรจุมโนมัยอิทธิเข้าสู่สรรพพัสดุวิเศษที่นำมาในมณฑล พิธีกรรมนั้นแล้ว ในโอกาสนั้นชีปะขาวสิงห์ อินทเวช ก็ได้นั่งบริกรรม สวดรัตนมาลาคาถาอยู่ห่างจากหัตถบาศ เบื้องหน้ามีกระดานชนวนเขียนมหายัญพิธี นั่งในท่าทรมานกาย โดยคู่เข่าทับกันแล้วนั่งแพนงเชิงมือซ้ายท้าวพื้นเบื้องหน้าเข่าที่คู้เข้ามา มือขวายกขึ้นจี้ที่นลาฏ บริกรรมรัตนมงคลคาถาอยู่เป็นเอกเทศส่วนหนึ่ง ภายในมณฑลพิธีเงียบกริบ ได้ยินแม้นกระทั่งเสียงสูดลมหายใจ ร่ายเวทย์เป็นคาบๆ ของชีปะขาวสิงห์ พระมหาราชครูพราหมณ์มุนีวิสุทธิคุณ กับพระครู ศิวาจารย์ นั่งสมาธิบริกรรมพระวิษณุเวทย์ พระสิวะเวทย์ และพระเทพมนต์ตามมหายัญพิธีอยู่อย่างเคร่งเครียด ได้ยินเสียงสายลมรังใบโพธิ์ข้างโบสถ์อยู่หวิวๆ วันนั้นเป็นวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ( วันที่ 22 ตุลาคม 2495 ) ครั้งภายหลัง เมื่อพิมพ์พระสมเด็จเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นำเข้าพิธีปลุกเศกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2495 มีพระอาจารย์ร่วมปลุกเศก ณ พระอุโบสถวัดอินทร์ ดังนี้ หลวงพ่อ สด วัดปากน้ำ หลวงปู่ เผือก วัดกิ่งแก้ว หลวงปู่ เหรียญ วัดหนองบัว กาณจนบุรี หลวงพ่อ ช่วง วัดบางแพรกใต้ นนทบุรี หลวงพ่อ รุ่ง วัดท่ากระบือ หลวงพ่อฮะ วัดดอนไก่ดี สมุทรสาคร พระปลัด ตังกวย วัดประดู่ฉิมพลี กทม หลวงพ่อ จง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อ นอ วัดกลางท่าเรือ หลวงพ่อ สำเนียง วัดเวฬุวนาราม นครปฐม หลวงพ่อ แฉ่ง วัดบางพัง หลวงปู่ นาค วัดระฆัง
รับประกันตามกฏ
พระปิดตาวัดบวรนิเวศวิหาร มีการสร้างด้วยกันหลายครั้ง โดยมีทั้งที่วัดบวรนิเวศวิหารจัดสร้างเอง และวัดอื่นๆจัดสร้างแล้วนำมาให้สมเด็จญาณฯท่านเมตตาอธิษฐานจิต การสร้างพระปิดตาครั้งแรก ของ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ ได้มีการจัดสร้างพระเพื่อเป็นที่ระลึกครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษาของสมเด็จญาณฯ โดยมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเหรียญรูปไข่รุ่นแรก (รมมันปู) , พระสังกัจจายน์จีน (มีเฉพาะเนื้อขาว) พิมพ์ใหญ่ และ พิมพ์หยดน้ำ และพระปิดตา พิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก (มีทั้งเนื้อดำ และ เนื้อขาว)โดยลักษณะพิมพ์ทรงของพระปิดตานั้น ถือเป็นเอกลักษณ์ของสมเด็จญาณฯเอง การสร้างพระปิดตาครั้งที่ ๒ ของ วัดบวรนิเวศวิหาร ครั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ โดยพระปิดตาที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๓๘ นี้ มีลักษณะพิมพ์ทรงละม้ายคล้ายคลึงกับพระปิดตา รุ่นจัมโบ้ ๒ ของ หลวงปู่โต๊ะ โดยมี ๔ เนื้อคือ เนื้อผงเกสร เนื้อผงใบลาน เนื้อหินครก และเนื้อผงธูป ซึ่งมีทั้งแบบ แช่น้ำมนต์ ไม่แช่น้ำมนต์ และมีทั้งตะกรุดทองคำ และตะกรุดเงิน การสร้างพระปิดตาครั้งที่ ๓ ของ วัดบวรนิเวศวิหาร ในวาระครบ ๗ รอบ ๘๔ พรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหารได้มีการจัดสร้างพระปิดตาขึ้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ได้กำหนดให้มีการสร้างพระปิดตาที่มีลักษณะพิมพ์ทรงคล้ายกับพระเครื่องของหลวงปู่โต๊ะอีกเช่นเดิม (นัยยะเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์นั่นเอง) โดยให้มีลักษณะเหมือน พิมพ์จัมโบ้๑ และ พิมพ์ปลดหนี้ อันโด่งดังของหลวงปู่โต๊ะ มี ๒ เนื้อคือ เนื้อผงเกสร และเนื้อผงใบลาน ซึ่งมีทั้งแบบ แช่น้ำมนต์ ไม่แช่น้ำมนต์ และมีทั้งตะกรุดทองคำ และตะกรุดเงิน โดยมีชื่อรุ่นว่า พระปิดตา ญสส. รุ่นเทิดพระเกียรติ ๘๔ พรรษา
หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (บางตำราว่าวันที่ ๔ ตุลาคม) ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน เป็นบุตรชายคนหัวปี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ ๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส ๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า... เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขออำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย "ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง" การศึกษา เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย อุปสมบท หลวงพ่อคูณอุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หนังสือบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อคูณตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า... " เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด... หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้กับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน น้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า... "อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเราและของเขา” และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้ พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้ พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้ พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้ พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว" ส่วนพระกัมฏฐานนั้น หลวงพ่อคงได้สอนให้ใช้หมวดอนุสติ โดยดึงเอาวิธีกำหนด “ความตาย” เป็นอารมณ์ เรียกว่า “มรณัสสติ” เพื่อให้ เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงในในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ประมาทในความโลภ ความโกรธ และความหลง กำหนดลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เกิด สัมมาสมาธิ เรียกว่า “อานาปานสติ” เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง สู่มาตุภูมิ หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศเขมรสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทาง พระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ โดยชาวบ้านได้ช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้น ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จแล้ว ต้องเผชิญกับการขนย้ายที่ยากลำบาก โดยอาศัยโคเทียมเกวียนบ้าง ใช้แรงงานคนลากจูง บนทางที่แสนทุรกันดาร เนื่องจากถนนทางเกวียนนั้นเป็นดินทรายเสียส่วนใหญ่ เมื่อต้องรับน้ำหนักมากก็มักทำให้ล้อเกวียนจมลงในทราย การชักจูงไม้แต่ละเที่ยวจึงต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน แต่กระนั้นหลวงพ่อก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน) นอกจากสร้างพระอุโบสถแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ยังความสะดวกสบาย และความเจริญในบ้านไร่ยิ่งนัก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว เนื่องจากหลวงพ่อได้เปลี่ยนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวทั้งหมด มาเป็นปูนเป็นอิฐให้สวยงามและทนทานยิ่งขึ้น นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น หลวงพ่อยังได้สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ สร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อคูณสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว ๗ พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคล ซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.๒๔๙๓ “ใครขอ กูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน” เป็นคำกล่าวของท่าน เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ เมื่อมีผู้ถามว่า หลวงพ่อแจกให้กับคนไม่ดีเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนี้หลวงพ่อไม่บาปหรือ “กูจะไปรู้หรือว่ามันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจร เมื่อมันได้รับประโยชน์จากของที่กูแจก มันคงคิดได้ว่า เป็นเพราะพระศาสนา มันจะได้เข้ามาสนใจปฏิบัติธรรม….” “ถ้ามีใจอยู่กับ 'พุทโธ' ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง… ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก” การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณจะใช้คาถาไม่กีบท หัวใจพระคาถามีว่า มะ อะ อุ นะ มะ พะ ธะ นะ โม พุท ธา ยะ พุทโธ และยานะ แต่ในการปลุกเสก หลวงพ่อคูณจะใช้วิธี อนุโลมปฏิโลม (การต่อตามและย้อนลำดับ) เรียกว่า คาบพระคาถา เมื่อนำหัวใจธาตุ ๔ คือ นะมะพะธะ มาใช้ หลวงพ่อคูณจะภาวนาด้วยจิตอันเป็นหนึ่ง (สมาธิ) ให้อักขระทั้ง ๔ นี้ เป็น ๑๖ อักขระ ดังนี้ นะ มะ พะ ธะ มะ พะ ธะ นะ พะ ธะ นะ มะ ธะ นะ มะ พะ ระยะเวลาการปลุกเสกของท่านใช้เวลาไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับอารมณ์จิต ท่านเคยปรารภว่าเมื่อจะปลุกเสกวัตถุใด ใจต้องเป็นสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิ ปลุกเสกสิ่งใดก็ขลัง ระยะเวลาหนึ่งนาทีก็ดีแล้ว แต่หากใจไม่เกิดสมาธิ ปลุกเสกทั้งคืนทั้งวันก็ไม่มีผล อย่างนี้สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า ท่านั่งยอง หลวงพ่อให้เหตุผลว่า เป็นท่าที่สบายที่สุด อีกทั้งเป็นลักษณะของคนเตรียมพร้อมที่ลุกเดินไปไหนมาไหนได้ทันที จะหยิบจับอะไรก็ง่ายและสะดวกในการทำงาน การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ หลวงพ่อคูณได้จัดสร้างโรงพยาบาลถึง 3 หลัง ตลอดจนโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้บริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ ทุกๆวัน แต่ละเดือนเป็นจำนวนหลายแสนบาท "หลวงพ่อเป็นคนยากจนมาโดยกำเนิด จึงอยากคิดช่วยเหลือคนอื่น การนำเงินออกไปช่วยคนอื่น ก็จะมีคนบริจาคเรื่อยๆ ถ้าเก็บไว้จะทำให้ตนตาบอด ใจก็บอดอีกด้วย จึงอยากช่วยคนอื่นอยู่เรื่อยไป วันใดไม่มีคนมาขอเงิน ก็ไม่ค่อยสบายใจ” ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ หลวงพ่อคูณสั่งว่า เมื่อมีพระเครื่องของหลวงพ่อคูณติดตัว ให้ภาวนา "พุทโธ" ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอ ค่าพ่อแม่ตน และพ่อแม่บุคคลอื่น และอย่าผิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ให้สวยมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และหวงพ่อคูณย้ำว่า "ถ้ามีใจอยู่กับ พุทโธ ให้เป็นกลาง ๆ ไม่สอดส่ายไปที่ไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง...ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใด ๆ ในโลก" คาถาที่หลวงพ่อคูณใช้บริกรรมเวลานั่งสมาธิ เวลาหายใจเข้า ให้บริกรรมว่า ตาย เวลาหายใจออก ให้บริกรรมว่า แน่ เป็น ตายแน่... ตายแน่... ตายแน่ ไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกสบาย จิตสงบ
พระปิดตาวัดบวรนิเวศวิหาร มีการสร้างด้วยกันหลายครั้ง โดยมีทั้งที่วัดบวรนิเวศวิหารจัดสร้างเอง และวัดอื่นๆจัดสร้างแล้วนำมาให้สมเด็จญาณฯท่านเมตตาอธิษฐานจิต การสร้างพระปิดตาครั้งแรก ของ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ ได้มีการจัดสร้างพระเพื่อเป็นที่ระลึกครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษาของสมเด็จญาณฯ โดยมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเหรียญรูปไข่รุ่นแรก (รมมันปู) , พระสังกัจจายน์จีน (มีเฉพาะเนื้อขาว) พิมพ์ใหญ่ และ พิมพ์หยดน้ำ และพระปิดตา พิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก (มีทั้งเนื้อดำ และ เนื้อขาว)โดยลักษณะพิมพ์ทรงของพระปิดตานั้น ถือเป็นเอกลักษณ์ของสมเด็จญาณฯเอง การสร้างพระปิดตาครั้งที่ ๒ ของ วัดบวรนิเวศวิหาร ครั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ โดยพระปิดตาที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๓๘ นี้ มีลักษณะพิมพ์ทรงละม้ายคล้ายคลึงกับพระปิดตา รุ่นจัมโบ้ ๒ ของ หลวงปู่โต๊ะ โดยมี ๔ เนื้อคือ เนื้อผงเกสร เนื้อผงใบลาน เนื้อหินครก และเนื้อผงธูป ซึ่งมีทั้งแบบ แช่น้ำมนต์ ไม่แช่น้ำมนต์ และมีทั้งตะกรุดทองคำ และตะกรุดเงิน การสร้างพระปิดตาครั้งที่ ๓ ของ วัดบวรนิเวศวิหาร ในวาระครบ ๗ รอบ ๘๔ พรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหารได้มีการจัดสร้างพระปิดตาขึ้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ได้กำหนดให้มีการสร้างพระปิดตาที่มีลักษณะพิมพ์ทรงคล้ายกับพระเครื่องของหลวงปู่โต๊ะอีกเช่นเดิม (นัยยะเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์นั่นเอง) โดยให้มีลักษณะเหมือน พิมพ์จัมโบ้๑ และ พิมพ์ปลดหนี้ อันโด่งดังของหลวงปู่โต๊ะ มี ๒ เนื้อคือ เนื้อผงเกสร และเนื้อผงใบลาน ซึ่งมีทั้งแบบ แช่น้ำมนต์ ไม่แช่น้ำมนต์ และมีทั้งตะกรุดทองคำ และตะกรุดเงิน โดยมีชื่อรุ่นว่า พระปิดตา ญสส. รุ่นเทิดพระเกียรติ ๘๔ พรรษา
หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (บางตำราว่าวันที่ ๔ ตุลาคม) ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน เป็นบุตรชายคนหัวปี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ ๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส ๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า... เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขออำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย "ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง" การศึกษา เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย อุปสมบท หลวงพ่อคูณอุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หนังสือบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงพ่อคูณตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า... " เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด... หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้กับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน น้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า... "อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเราและของเขา” และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้ พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้ พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้ พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้ พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว" ส่วนพระกัมฏฐานนั้น หลวงพ่อคงได้สอนให้ใช้หมวดอนุสติ โดยดึงเอาวิธีกำหนด “ความตาย” เป็นอารมณ์ เรียกว่า “มรณัสสติ” เพื่อให้ เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงในในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ประมาทในความโลภ ความโกรธ และความหลง กำหนดลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เกิด สัมมาสมาธิ เรียกว่า “อานาปานสติ” เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง สู่มาตุภูมิ หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศเขมรสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทาง พระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ โดยชาวบ้านได้ช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้น ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จแล้ว ต้องเผชิญกับการขนย้ายที่ยากลำบาก โดยอาศัยโคเทียมเกวียนบ้าง ใช้แรงงานคนลากจูง บนทางที่แสนทุรกันดาร เนื่องจากถนนทางเกวียนนั้นเป็นดินทรายเสียส่วนใหญ่ เมื่อต้องรับน้ำหนักมากก็มักทำให้ล้อเกวียนจมลงในทราย การชักจูงไม้แต่ละเที่ยวจึงต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน แต่กระนั้นหลวงพ่อก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน) นอกจากสร้างพระอุโบสถแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ยังความสะดวกสบาย และความเจริญในบ้านไร่ยิ่งนัก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว เนื่องจากหลวงพ่อได้เปลี่ยนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวทั้งหมด มาเป็นปูนเป็นอิฐให้สวยงามและทนทานยิ่งขึ้น นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น หลวงพ่อยังได้สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ สร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อคูณสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว ๗ พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคล ซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.๒๔๙๓ “ใครขอ กูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน” เป็นคำกล่าวของท่าน เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ เมื่อมีผู้ถามว่า หลวงพ่อแจกให้กับคนไม่ดีเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนี้หลวงพ่อไม่บาปหรือ “กูจะไปรู้หรือว่ามันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจร เมื่อมันได้รับประโยชน์จากของที่กูแจก มันคงคิดได้ว่า เป็นเพราะพระศาสนา มันจะได้เข้ามาสนใจปฏิบัติธรรม….” “ถ้ามีใจอยู่กับ 'พุทโธ' ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง… ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก” การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณจะใช้คาถาไม่กีบท หัวใจพระคาถามีว่า มะ อะ อุ นะ มะ พะ ธะ นะ โม พุท ธา ยะ พุทโธ และยานะ แต่ในการปลุกเสก หลวงพ่อคูณจะใช้วิธี อนุโลมปฏิโลม (การต่อตามและย้อนลำดับ) เรียกว่า คาบพระคาถา เมื่อนำหัวใจธาตุ ๔ คือ นะมะพะธะ มาใช้ หลวงพ่อคูณจะภาวนาด้วยจิตอันเป็นหนึ่ง (สมาธิ) ให้อักขระทั้ง ๔ นี้ เป็น ๑๖ อักขระ ดังนี้ นะ มะ พะ ธะ มะ พะ ธะ นะ พะ ธะ นะ มะ ธะ นะ มะ พะ ระยะเวลาการปลุกเสกของท่านใช้เวลาไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับอารมณ์จิต ท่านเคยปรารภว่าเมื่อจะปลุกเสกวัตถุใด ใจต้องเป็นสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิ ปลุกเสกสิ่งใดก็ขลัง ระยะเวลาหนึ่งนาทีก็ดีแล้ว แต่หากใจไม่เกิดสมาธิ ปลุกเสกทั้งคืนทั้งวันก็ไม่มีผล อย่างนี้สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า ท่านั่งยอง หลวงพ่อให้เหตุผลว่า เป็นท่าที่สบายที่สุด อีกทั้งเป็นลักษณะของคนเตรียมพร้อมที่ลุกเดินไปไหนมาไหนได้ทันที จะหยิบจับอะไรก็ง่ายและสะดวกในการทำงาน การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ หลวงพ่อคูณได้จัดสร้างโรงพยาบาลถึง 3 หลัง ตลอดจนโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้บริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ ทุกๆวัน แต่ละเดือนเป็นจำนวนหลายแสนบาท "หลวงพ่อเป็นคนยากจนมาโดยกำเนิด จึงอยากคิดช่วยเหลือคนอื่น การนำเงินออกไปช่วยคนอื่น ก็จะมีคนบริจาคเรื่อยๆ ถ้าเก็บไว้จะทำให้ตนตาบอด ใจก็บอดอีกด้วย จึงอยากช่วยคนอื่นอยู่เรื่อยไป วันใดไม่มีคนมาขอเงิน ก็ไม่ค่อยสบายใจ” ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ หลวงพ่อคูณสั่งว่า เมื่อมีพระเครื่องของหลวงพ่อคูณติดตัว ให้ภาวนา "พุทโธ" ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอ ค่าพ่อแม่ตน และพ่อแม่บุคคลอื่น และอย่าผิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ให้สวยมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และหวงพ่อคูณย้ำว่า "ถ้ามีใจอยู่กับ พุทโธ ให้เป็นกลาง ๆ ไม่สอดส่ายไปที่ไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง...ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใด ๆ ในโลก" คาถาที่หลวงพ่อคูณใช้บริกรรมเวลานั่งสมาธิ เวลาหายใจเข้า ให้บริกรรมว่า ตาย เวลาหายใจออก ให้บริกรรมว่า แน่ เป็น ตายแน่... ตายแน่... ตายแน่ ไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกสบาย จิตสงบ