หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นพระเถราจารย์ ที่ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เมื่อปี ๒๕๒๑ ที่ พระราชสังวราภิมณฑ์ (ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน) พระเครื่องที่ท่านได้ปลุกเสกเอาไว้มีพระพิมพ์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งเหรียญ พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ ที่โด่งดังมากๆ คือ พระปิดตา ติดกระแสนิยมมาโดยตลอด และยังมีอีกวัตถุมงคลอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเช่นกันคือประเภทเหรียญๆที่โดดเด่นรุ่นหนึ่งของท่านคือเหรียญหลังพัดยศซึ่ง เป็น รุ่นทำบุญฉลองอายุ ๘๙ ปี ในปีพ.ศ. ๒๕๑๘ มี ๒ แบบพิมพ์ คือ พิมพ์เสมา และ พิมพ์รูปไข่ สำหรับ เหรียญพิมพ์เสมา สร้างด้วยเนื้อเงิน ๒,๐๐๐ เหรียญ เนื้อนวโลหะ ๖,๐๐๐ เหรียญ เนื้อทองแดง ๒๓,๐๐๐ เหรียญ (ไม่มีเนื้อทองคำ ) เหรียญในภาพนี้เป็นเหรียญเสมาหลังพัดยศ เนื้อทองแดง บล็อกนิยม( ดาวหนุน ) เป็นเนื้อทองแดงที่มีสภาพสวยๆสมบูรณ์มาก สวยคมชัดทุกรายละเอียด พัดยศด้านหลังคมชัด ผิวเหรียญเดิมๆ เข้าชมพระเครื่องอื่นๆของร้านคลิกที่"หน้าร้าน"(รูปบ้าน)ด้านบนซ้าย
หลวงพ่อหม่น แห่งวัดพญาปลา(วัดคลอง12) จ.ปทุมธานี ท่านเป็นเจ้าอาวาสปกครอง วัดพระยาปลา ตั้งอยู่เลขที่ 15 ถนนประชาสำราญ หมู่ 3 แขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ประวัติ “หลวงพ่อหม่น” ท่านเป็นชาวอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ทางบ้านมีอาชีพทำนา โยมพ่อโยมแม่ไม่ทราบชื่อ ท่านมีพี่น้องหลายคนพี่สาวชื่อนางเกตุ นางคำ มีน้องชายชื่อนายเม่น โยมพ่อโยมแม่อพยพครอบครัว มาทำนาที่เขตหนองจอกเมื่อท่านยังเล็กๆ อยู่ โดยมาอยู่ที่บ้านนาหม่อนไม่ไกลจากวัดพระยาปลาเท่าไรนัก ประวัติชีวิตของ “หลวงพ่อหม่น” ไม่มีใครทราบแน่ชัดซึ่งท่านเองก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับครอบครัวของท่านให้ใครทราบเลย ทราบแต่เพียงคร่าวๆ ว่าท่านจบการศึกษาประถมปีที่ 4 แล้วก็ออกจากโรงเรียนอยู่ช่วยทางบ้านทำนา จนกระทั่งแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ภรรยาไม่ทราบชื่อมีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นผู้ชายชื่อเขียว และผู้หญิงชื่อชง “หลวงพ่อหม่น” ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์แบบไม่ได้ตั้งใจ กล่าวคือมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งอยู่ละแวกวัดพระยาปลาตั้งใจจะบวชเต็มที่ ไปขอฤกษ์กำหนดพิธีอุปสมบทเรียบร้อยแล้ว ทางบ้านก็จัดงานกันอย่างเอิกเกริก กลางคืนเตรียมทำขวัญนาค กะว่าพรุ่งนี้เช้าทำการอุปสมบทแล้วอยู่ๆ ผู้เป็นนาคก็เกิดเสียชีวิตกระทันหัน เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเช่นนั้น ทางบ้านนาคก็เกิดความสับสนอลหม่าน เสียงส่วนใหญ่ไม่อยากให้ล้มเลิกงานบวช ไหนๆก็จัดงานแล้วจึงตกลงกันหาคนบวชมาเป็นนาคแทนเสียเลย อีกประการหนึ่งก็จะเป็นการอุทิศให้กับผู้ตายด้วยเจ้าภาพงานบวชรู้จักกับหลวงพ่อหม่นอยู่แล้ว ทราบว่าท่านเองก็ยังไม่ได้บวช จึงมาขอร้องให้ท่านเป็นนาคบวชแทนผู้ตาย เพื่อไม่ให้พิธีการที่เตรียมไว้เสียไป ซึ่งหลวงพ่อหม่นเองก็ตกลงยอมโกนหัวเข้าสู่พิธีทำขวัญนาค และอุปสมบทในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ท่านบวชนั้นภรรยาของท่านเสียชีวิตไปไม่นาน ท่านได้ฝากลูกสองคนไว้กับพี่ๆ น้องๆ ให้ช่วยกันดูแลเลี้ยงแทนด้วย ซึ่งทางบ้านทุกคนก็เต็มใจด้วยดี ในครั้งนั้นไม่มีใครคาดคิดเลยว่า “นายหม่น” ผู้ที่ยอมโกนหัวบวชเป็นพระแทนนาคผู้เสียชีวิตกระทันหัน จะลาการใช้ชีวิตทางโลกตราบชั่วอายุขัยของท่านเลยเป็น การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อย่างถาวร เมื่อตอนท่านบวชอายุเท่าไหร่ แม้แต่พระอุปัชฌาย์ตลอดจนฉายาที่ท่านได้รับก็ไม่มีใครทราบ “หลวงพ่อหม่น” หลังจากที่บวชเป็นพระ ก็เกิดความร่มเย็นในบวรพุทธศาสนา จำพรรษาอยู่ตลอดไม่ย มสึก ครั้นพอออกพรรษาท่านก็ออกธุดงควัตรปลีกวิเวกแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต และความหลุดพ้นจากกามกิเลสทั้งหลายทั้งปวง พอเข้าพรรษาบางปีก็กลับมาจำพรรษาที่วัดพระยาปลา บางปีก็ธุดงค์จากถิ่นไปไกลๆ จำพรรษาที่อื่น ส่วนใหญ่เล่ากันว่าท่านจะธุดงค์ไปกับหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา บางครั้งก็จะธุดงค์องค์เดียว ในช่วงระหว่างที่ธุดงค์บำเพ็ญศีลภาวนา อย่างเคร่งครัดนั้น หากท่านพบพระอาจารย์ท่านใดก็จะขอร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆ ซึ่งพระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่จะไปได้วิชาอาคมจากการเดินธุดงค์นั่นเอง จะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างธุดงค์ก็ว่าได้ คือหากพบกันระหว่างทางจะแวะทักทายโอภาปราศัยแลกเปลี่ยนวิชาอาคมซึ่งกันและกัน แล้วก็นำมาปฏิบัติฝึกฝนสร้างสมบารมีให้แก่กล้าขึ้น “หลวงพ่อหม่น” ท่านเดินธุดงค์ไปทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน บางครั้งก็เข้าไปถึงประเทศเขมร พบพระอาจารย์ระหว่างทางที่ไหนก็ขอเรียนวิชานำติดตัวกลับมา สำหรับวิชาการทำ “พระหนัง” นั้น ทราบว่าพระอาจารย์ที่สอนท่านทำก็คือ “หลวงพ่อเนียม” ที่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระยาปลานี่เอง ซึ่งไม่ทราบว่า “หลวงพ่อเนียม” เป็นใครมาจากไหนอีกเช่นกัน ทราบแต่เพียงว่า “หลวงพ่อเนียม” องค์นี้เก่งในเรื่องการทำพระหนังยิ่งนัก และพระหนังของท่านก็เลื่องลือในเรื่องของความอยู่ยงคงกระพัน จัดเป็นปรมาจารย์พระหนังมีวิชาอาคมแก่กล้า ท่านมาเป็นสมภารอยู่วัดพระยาปลาได้ 2 ปี แล้วก็ลาจากวัดไป ไม่ทราบว่าท่าน หายไปไหน จนกระทั่ง “หลวงพ่อหม่น” ก้าวเข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองวัดแทนอัน “วัดพระยาปลา” นั้น ชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่เรียกกันติดปากว่า “วัดคลองสิบสอง” ชื่อจริงตามภาษาราชการคือ “วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2443 โดยมี “นางผึ้ง” หรือสมัยนั้นเรียกกันว่า “อำแดงผึ้ง” เศรษฐีนีย่านหนองจอกอุทิศที่ดินบริเวณคลอง 12 จำนวน 10 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวาให้เป็นที่สร้างวัดขึ้นมา อำแดงผึ้ง มีที่ดินย่านหนองจอกประมาณ 500 กว่าไร่ หลังอุทิศที่ดินบริเวณปากบึงใหญ่ให้สร้างเป็นวัด ต้องเกณฑ์คนขุดดินขึ้นมาถมที่ให้เป็นโคกเพื่อปลูกสร้างเสนาสนะต่างๆ กุฏิสงฆ์บางส่วนก็ยังอยู่ในน้ำ บางส่วนก็อยู่บนบก เมื่อสร้างวัดเสร็จก็ตั้งชื่อว่า “วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์” โอนที่ดินให้เป็นสมบัติของวัดอย่างถูกต้องเมื่อปี พ.ศ.2465 ปรากฏหลักฐานตามโฉนดที่ดินของวัด เล่ากันว่าแรกเริ่มตั้งวัดก็ใช้ชื่อเรียกขานวัดว่า “วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์” แต่ต่อๆ มาชื่อเรียกขานก็เปลี่ยนไปทั้งนี้สืบเนื่องมาจากบริเวณที่ตั้งวัดนั้นเป็นปากบึงมีปลาชุกชุมมาก ขณะที่ชาวบ้านมาช่วยกันขุดดินถมดินที่ให้เป็นโคกเพื่อสร้างวัดนั้นมีคนไปเจอปลาดุกเผือกตัวใหญ่มากผู้คนเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะปลาดุกเผือกตัวใหญ่ยักษ์หาไม่ง่ายนัก จึงถือเอาเหตุการณ์นั้นเรียกเป็นนามวัดแบบรู้ๆ กันว่า “วัดพระยาปลา” คือปลาดุกเผือกตัวใหญ่กับอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เป็นวัดมีพระสงฆ์จำพรรษาเรียบร้อยแล้ว ชื่อวัดกำหนดเรียกว่า “วัดนารีประดิษฐ์” ในปี พ.ศ.2450 สมัยที่ “หลวงพ่อหม่น” เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด ครั้งนั้น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็น “สมเด็จพระสังฆราช” ได้ทรงเสด็จไปรเวทไปตามลำน้ำต่างๆ ค่ำไหนพักที่นั่น บังเอิญไปพักที่วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์ พอวันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็จัดทำอาหารไปถวาย อาหารที่ถวายส่วนใหญ่มีปลาเป็นหลัก เช่น แกงปลา ปลาทอด ปลานั้นล้วนแต่ตัวใหญ่ๆ ทั้งสิ้น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส” ท่านดำรัสว่า “แหมวัดนี้มีปลาใหญ่ๆ น่าจะชื่อวัดพระยาปลา” ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงพากันเรียก “วัดพระยาปลา” มาตลอดจนติดปากจนพักหลังๆ แทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อ “วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์” กันเลย“วัดพระยาปลา” หรือวัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์นั้นสมัยก่อนเคยขึ้นไปอยู่กับจังหวัดฉะเชิงเทราราวปี พ.ศ.2470 ต่อมา พ.ศ.2472 ก็โอนกลับมาขึ้นอยู่กับกรุงเทพฯ ตามเดิม เมื่อตอนที่สร้างวัดเสร็จใหม่ๆ “อำแดงผึ้ง” พร้อมด้วยชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้ไปนิมนต์ “พระอาจารย์ทองสุข” แห่งวัดแสนเกษม คลอง 13 หนองจอก มาเป็นเจ้าอาวาสถือว่าเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัด “พระอาจารย์ทองสุข” อยู่ได้ไม่นานก็ออกจากวัดไปไม่ทราบว่าไปไหน “อำแดงผึ้ง” พร้อมกับชาวบ้านไปนิมนต์ “หลวง- พ่อเนียม” จากกรุงเทพฯ มาเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 2 แล้วหลวงพ่อเนียมก็หายจากวัดไปอีกรูปหนึ่ง ขณะที่หลวงพ่อเนียมมาเป็นสมภารอยู่ที่วัดพระยาปลานั้น หลวงพ่อหม่นท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระยาปลาแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชาการ ทำพระหนังจากหลวงพ่อเนียมด้วย ครั้นเมื่อหลวงพ่อเนียมจากไปชาวบ้านก็นิมนต์ยก หลวงพ่อหม่น ให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดพระยาปลา เป็นรูปที่ 3 “หลวงพ่อหม่น” ภายหลังได้เป็นสมภารปกครองวัด กิจธุดงค์ท่านก็ละเว้นลง เพราะมีภาระกิจทางคันถธุระมากขึ้น และท่านก็ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ในเวลาต่อมา หลวงพ่อหม่นปกครองวัดพระยาปลา เมื่อปี พ.ศ.2448-2473 เจ้าอาวาสปกครองวัดพระยาปลาต่อๆ มามีรูปที่4 พระใบฎีกาบุญเหลือ พ.ศ.2473-2479, รูปที่5 พระอธิการเชื้อ พ.ศ.2479-2481, รูปที่6 พระอธิการฉัตร พ.ศ.2481-2486, รูปที่7 พระอาจารย์วัน พ.ศ.2486, รูปที่ 8 พระอาจารย์แป้น พ.ศ.2486-2517, รูปที่9 พระครูประดิษฐ์วรธรรม (หลวงพ่อเหว่า กตฺปุญโญ), รูปที่ 10 พระอธิการทองอยู่ ทนฺตกาโย พ.ศ.2541-2543 หลังจากที่หลวงพ่อหม่นเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็อยู่ทำนุบำรุงวัดก่อสร้างบูรณะเสนาสนะต่างๆ ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น ในยุคของท่านชาวบ้านย่านคลอง 12 หนองจอก มีนบุรี และลำลูกกาให้ความเคารพศรัทธาท่านมาก ต่างยกย่องว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ายิ่งนัก ยุคของท่านย่านนั้นไม่มีใครมีชื่อเสียงโด่งดังเท่า “หลวงพ่อหม่น” เลย “หลวงพ่อหม่น” จัดสร้างพระหนังขึ้นมาเพื่อหารายได้สร้างวัด เล่ากันว่าครั้งแรกของการทำพระเป็นการลองวิชาที่ได้รับถ่ายทอดมาจาก “หลวงพ่อเนียม” พระอาจารย์ของท่าน ประกอบกับท่านเองก็มีวิชาอาคมแก่กล้าบำเพ็ญเพียรภาวนานั่งวิปัสสนากรรมฐานมาตลอด พระหนังที่ท่านทำครั้งแรก ท่านใช้หนัง หน้าผากกระบือเผือก หรือควายเผือกนั่นเอง นำมาทำเป็นพระและควายเผือกที่จะเอาหนังมาทำพระนั้น ถือเคล็ดลงไปอีกว่าจะต้องเป็นควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตายเท่านั้น ควายตายอย่าง อื่นใช้ไม่ได้ และเมื่อได้ควายเผือกถูกฟ้าผ่าตายมาแล้ว ก็จะต้องใช้หนังที่หน้าผากควาย หรือตรง “กบาลควาย” เท่านั้นเป็นข้อจำกัดในการทำพระหนังให้สุดยอด เปี่ยมด้วยพุทธคุณตรงตำรับตำราโดยแท้ เมื่อท่านทำพระหนังออกมา ก็นำมาแจกจ่ายให้กับชาวบ้านและลูกศิษย์ ใหม่ๆ ก็ไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก หลวงพ่อท่านจะแจกให้ลูกหลานเด็กๆ คล้องคอกัน ท่านบอกว่าเอาไว้ป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ซึ่งต่อมามีผู้เห็นพุทธคุณอิทธิปาฏิหาริย์ในพระหนังมากขึ้นก็ไปขอพระหนังจากท่าน พระหนังหมดท่านก็ทำออกมาใหม่ พระหนังหลวงพ่อหม่นแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ผู้คนประจักษ์มากขึ้นในเรื่องของคงกระพันชาตรี ป้องกันงูพิษขบกัดวิเศษยิ่ง เมื่อพระหนังมีชื่อเสียงได้รับความนิยมมาก แต่การทำมีข้อจำกัด นั่นก็คือต้องเอาหนังจากกบาลควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตายเท่านั้น ทำให้การทำพระออกแจกจ่ายไม่ทันกับความต้องการ ระยะหลังท่านจึงลดข้อจำกัดลง โดยใช้เพียงหนังควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตายทั้งตัวเอามาทำเป็นพระหนัง ทำให้มีพระหนัง ออกมาให้ผู้ศรัทธามากขึ้น สำหรับควายที่ถูกฟ้าผ่าตายนั้น สมัยก่อนหาไม่ยากยิ่งย่านทุ่งหนองจอกด้วยแล้ว พื้นที่ทั้งหมดเป็นท้องนามีต้นตาลสูงขึ้นทั่วๆ ไป เวลาหน้าฝนมักเกิดฟ้าผ่าควายตายเป็นประจำ ควายถูกฟ้าผ่าตายจึงมีมากแต่ควายเผือกถูกฟ้าผ่าตายนี่ซิมีน้อยมาก ถ้าที่ไหนควายเผือกถูกฟ้าผ่าตาย ชาวบ้านมักจะรีบมาบอกกล่าวหลวงพ่อหม่น ซึ่งท่านก็จะรับซื้อไว้ แล้วให้ชาวบ้านแล่เอาหนังควายไปให้ท่านเพื่อจัดสร้างพระ วิธีการทำพระหนังของหลวงพ่อหม่น เมื่อท่านได้หนังควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตายมาแล้ว ขั้นตอนแรกท่านก็เอาหนังมาแช่น้ำให้นิ่ม ต่อจากนั้นก็นำแบบพิมพ์ที่ทำเป็นบล็อครูปองค์พระ ขอบเป็นใบมีดโกน นำมากดทับแผ่นหนังใช้ไม้ไผ่ตอกปั๊มให้หนังเป็นร่องลึกตามแบบขอบ ใบมีดโกนจะตัดหนังเป็นสี่เหลี่ยมองค์พระตรงกลางจะได้รูปร่องลึกเป็นองค์พระประทับติดกับหนัง จากนั้นก็เอาองค์พระหนังไปตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเป็นอันขาด ถ้าโดนแดดหนังจะหดตัวแทบมองไม่เห็นร่องรอยองค์พระเลย ต้องผึ่งลมให้แห้งสนิทเป็นอันใช้ได้ ลักษณะของพระหนังรูปทรงเป็นพระสมเด็จนั่งสมาธิขัดเพชร มีอักขระขอมกำกับอยู่ด้านข้างองค์พระทั้งสองด้าน พระชานุ(เข่า) โต ด้านหลังเรียบ รุ่นแรกนั้นลงอักขระขอมด้านหน้าว่า “ตะ” ด้านหลังลงว่า “โจ” ส่วนรุ่นหลังๆ จะเรียบไม่มีอักขระ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบพิมพ์ที่ใช้กดซึ่งทำออกมาแต่ละชุดจะไม่เหมือนกัน บางองค์หลวงพ่อก็ลงจารอักขระขอม บางองค์ก็ไม่ได้ลงจาร พระหนังหลวงพ่อหม่นในปัจจุบันจะหาองค์สวยๆ ไม่ได้เลย เหตุเพราะว่ากาลเวลา ทำให้องค์พระหนังเกิดการหดตัว พระหนังบางองค์มององค์พระลบเลือนบางองค์แทบไม่เห็นองค์พระเลย ให้สังเกตจากความแห้งเก่าของหนังเท่านั้น หลังจากทำพระหนังเสร็จหลวงพ่อหม่นจะปลุกเสกเดี่ยว แล้วก็นำออกแจกจ่ายกันช่วงเข้าพรรษา เมื่อได้หนังมาท่านก็จะให้ลูกศิษย์ช่วยทำ พอออกพรรษาปีไหนไปธุดงค์ท่านก็จะนำพระติดตัวไปแจกจ่ายชาวบ้านไปทั่ว จนกระทั่งพระหนังหลวงพ่อหม่นมีผู้ได้รับประสบการณ์มากมายจนชื่อเสียงโด่งดังระบือลือลั่น พุทธคุณพระสมเด็จพระหนังควายเผือก หลวงพ่อหม่นนั้นมีชื่อเสียงมากในเรื่องของการ “ป้องกัน” และ “คงกระพันชาตรี” เรื่องการป้องกันนั้นไม่ว่าจะป้องกันจากสัตว์ร้ายขบกัดแล้วยังป้องกันคุณไสยต่างๆ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย หลวงพ่อหม่นมรณะภาพเมื่อปี พ.ศ. 2473 อายุประมาณ 80 กว่าปี
พญาเต่าเรือนพร้อมถาดหิน หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย จ.นครนายก ขนาดบูชา เต่า 4 นิ้วตัวโต ถาด 5 นิ้ว หายาก สวยสมบูรณ์มาก ผิวหิ้งเดิมๆ จารมือรอบ ไม่ต้องกลัวปลอม คาถาบูชาพญาเต่าเรือน ...นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ // พุทธคุณ : เด่นทางด้านโชคลาภ ป้องกันสิ่งไม่ดีไม่ให้เข้ามาถึงตัว เเละบริเวณบ้าน เสริมบารมี เพิ่มความร่มเย็นเป็นสุข บูชาเเล้ว ขอบ่อยๆ จะสมหวัง พญาเต่าเรือน หลวงพ่อ สนิท วัดลำบัวลอย จัดเป็นเครื่องรางที่นักสะสม เครื่อง ราง หรือ ผู้ที่บูชา ต่างเสาะหา และห่วงแหนกันมาก มาแต่ช้านาน และเป็นเครื่องรางที่ผมบูชาเชื่อแบบสนิทใจ พญาเต่าเรือน แท้จริงแล้ว คือ ชาติหนึ่งของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใน 500ชาติซึ่ง ในชาติ ที่เกิด เป็น พญาเต่าเรือน อันแท้จริงแล้ว เป็นปริศณาธรรม ทีีแฝงด้วยคำสอน ลึกซึ้ง นัยสำคัญ คือ การเสียสละ ความมีน้ำใจอันประเสริฐและเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ เข้าใจว่าเป็นที่มาของการทำเครื่องรางพญาเต่าเรือนตั้งแต่อดีตกาลจน ถึง ปัจจุบัน อนึ่งเพื่อเทิดทูนละระลึกในความดีงามขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และคงซึ่งความขลังแบบมีมนต์เสน่ห์ ไม่เสื่อมคลาย พญาเต่าเรือนหลวงพ่อ สนิท วัด ลำบัวลอย - เป็นการสร้างเครื่องรางที่มีความคลาสสิค เป็นแบบฉบับ ของท่านเองถ้า มองในมุมของศิลปะ เข้าขั้นระดับmasterpice เลยทีเดียว กรรมวิธีการสร้างมีทั้ง - หิน - ไม้ - หล่อโลหะ ขนาดของพญาเต่าเรือน - บูชา - เล็กเท่าเหรียญบาท - แบบ ห้อยคอ - แบบตลับ ในที่นี้จะขอเอากรรมวิธีการสร้างแบบ หิน เพราะ จะเป็นการสร้างในยุคแรกๆของท่าน พญาเต่าเรือน จะใช้ หินแกะ แต่ละศิลปของการแกะจะมีหลายแบบแต่แยกจำแนก ได้ 2 ลักษณะใหญ่ คือ - แบบ ยืน - แบบ หุบขา การแกะแต่ละตัวของพญาเต่าเรือน ศิลปของงานแกะจะได้อารมณ์ ของธรรมชาติของเต่า จะมีความคลาสสิค และมีเสน่ห์ ไม่เหมือนกันทุกองค์จนถึงสีของหินที่ทำการแกะ ทำให้อารมณ์และความรู้สึกในการดูแค่ละองค์จะแตกต่างกันไป ส่วนจะดูความเก่าของหิน อย่าไปยึดตึด เพราะกว่าจะเป็นชั้นหินหรือ หินแต่ละก้อน ก็กินเวลา หลายล้านปี ครับ ให้จดจำงานศิลปขออารมณ์ของงานแกะให้ดี หิน ที่ มาแกะเต่าของหลวงพ่อ สนิท วัด ลำบัวลอย จะ ทำมาจาก แร่ ดิกไคต์หรือภาษาชาวบ้าน จะเรียก ว่า หินสบู่ เพราะ วัดลำบัวลอย อยู่ในเขตจังหวันครนายก ซึ่งในเขตจังหวัดนี้ ได้มีการแปร รูปหิน เป็นงานฝีมือพื้นบ้านมาช้านาน และเป็นทรัยากรที่มีมากในจังหวัดลักษณะ ของ หิน มีหลายเฉด สี และหลายสีสัน การลงอักขระยันต์ ของพญาเต่าเรือน หลวงพ่อ สนิท วัด ลำบัวลอย มีหลายรูปแบบ แล้วแต่ท่านจะลงกลยันต์ ไว้แบบไหน แต่ที่ได้พบเจอและเห็นบ่อยดังนี้ - หัวใจพญาเต่าเรือน - หัวใจสิวลี - หัวใจพระเจ้า 16 - หัวใจนวหรคุณ การบูชา จะมีถาดวาง และมีช่องใส่น้ำ ให้วางลงบนแท่น แล้วหล่อน้ำไว้ ส่วนจะตั้งบูชาตรงไหน แล้วแต่ผู้บูชา เห็นสมควร วิธี บูชาเต่าเรือนแบบแรก พญาเต่าเรือนนี้ให้จัดบูชาแบบพระบัวเข็ม โดยมีอาสนะที่ขังน้ำได้ให้จัดวางลงเอา้ำใส่ให้ท่วมแท่น ก่อนที่จะเอาเต่าขึ้นแท่น จงตั้งจิตอธิฐานตามความปรารถนาที่ผู้บูชาจะปรารถนาเอา การบูชาพญาเต่าเรือนใช่ว่าจะได้รับผลเสียทุกคนนั้นหามิได้ ขึ้นอยู่กับที่ผู้บูชาจะปฏิบัติ ด้วยความศัมธา วัตภุมงคลทุกอย่าง ไม่ว่าจะะเป็นของเกจิ อาจารย์ใดๆ ก็ตาม ถ้าเราขาดการปฏิบัติบูชา วัตถุมงคลนั้นก็ไม่สามารถอำนวยผล ให้สำหรับพญาเต่าเรือนของวัดลำบัวลอยนี้ ถ้าผู้ใดปรารถนาเพื่อเป็นศิริมงคล เกิดมูลพูนผลลาภยศ และความคุ้มครองป้องกันให้บูชาพญาเต่าเรือน ทุกวัน เช้า-เย็น ก่อนที่จะภาวนาคาถาให้ตั้งจิตปรารถนา ให้แจ้งความประสงค์เสียก่อน แล้วให้ภาวนาด้วยพระคาถา นี้ปลุกนาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ3 คาบ หรือ 7 คาบ และถ้าใช้น้ำมันหอมประพรมเต่าทุกวันยิ่งดี สำหรับท่านที่ชอบความสะดวก ใช้แบบแรก พิธีบูชาตามตำราโดยตรงก่อนที่จะบูชาพญาเต่าเรือน ให้จัดธูปเทียนบูชาทำวัตรก่อน เมื่อทำวัตรพระเรียบร้อย ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วจึงกล่าว คำอาราธนาดังนี้ อุกาสะ อุกาสะ ข้าพระพุทธเจ้าจะขออาราธนา เอาอภิญญา ปาฏิหาริย์ ลาภ สักการะทุกสิ่งทุกอย่างของพญาเต่าเรือน ขอจงมาบังเกิดแก่ (.................) แห่งข้าพเจ้า ขอเดชะคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้าคุณ อริยาเจ้าทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ คุณพระพุทธเจ้าอันพระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมี ได้เสวยพระชาติเป็นพญาเต่าเรือน พระองค์ทรงศักดาอานุภาพด้วยพระเมตตาธรรม ข้าพเจ้าจึงขอน้อมนำ(..............) สักการะบูชาเพื่อหวังเป็นเศรษฐีมั่งมีเงินตรา (ข้าเป็น............................) ขอให้ลาภผลอนันต์ ขอให้คุ้มครองป้องกันรักษาเพทภัยนานา ขออย่าพบพาน ศัตรูจงพินาศ ข้าทาษบริวาณให้ซื่อตรง จงได้เมตตาด้วยเดชะ พระคาถา พญาเต่าเรือน นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ นะเลื่อนเปื้อน โมฟั่นเฟือน พุทธงวยงง ธาหลงใหลยะสารพัด จังงังพรามณะ จิตติบุรุษ สะหญิงชายทั้งหลายเอ๋ย ทั้งแผ่นดินจงมานิมานิจิตตัง มะมะสัพเพชะนา พะหูชนา สัพเพทิสาสะมาคะตา เอหิ เอหิ กาล โภชนา วิกาลโภชนาอาคัดฉัยยะ อาคะฉาหิ ปิยังมะมา สะมาคะตัง กราบหนหนึ่ง นะโมพุทธายะ นิจจะนังราพัง นะชาลิติ โหมิทิพพระคาุถังนิจถิตัง กราบหนหนึ่ง มะอะอุ เมตตาจะมะหาราชา สัพพะเสน่หาจะปูชิตัง สุขังจะชาหาราพัง โกธังวินาศสันตุ สัพเพเสน่หา จะปูชิโต กราบหนหนึ่ง ให้บูชาทุกวัน ถ้าบูชาได้ตามแบบดังกล่าว จะมีความสุขความเจริญ จะเกิดลาภมูลพูนผลยิ่งขึ้น จะทำมาค้าขายจะไม่มีความยากจนเลย ไม่มีอด ไม่มีอยากยิ่งตอนกลางคืน ก่อนนอน ให้ทำการอาราธราบูชาแล้วให้นั่งบริกรรมด้วยพระคาุถา ถ้ากิจการไม่ค่อยดี หรือมีเหตุการณ์ต่างๆ ถ้าจะแก้ไข ก็ให้นั่งบริกรรมคาถาพญาเต่าเรือน ทุก วัด จะมีความสุข ความเจริญยิ่ง อนึ่ง การใช้เครื่องราง ต้องมาพร้อมกับความเชื่อมั่นและ ความศรัทธา การปฏิบัติตัว ของผู้ชา คึดดี ได้ ดี คึด อกุลศล ของขลังก็ช่วยไม่ได้ ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไซร้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการกราบไหว้ก้อนหิน
เหรียญนักกล้าม หลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์ เนื้อทองแดง ปี2517 พร้อมบัตร
รูปเหมือนครูบาดวงดี วัดท่าจำปผีรุ่นแรกสวยมาก
พระผงรูปเหมือน หลวงปู่กาหลง วัดเขาแหลม จ.สระแก้ว
เต่าหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก
เต่าหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก
เต่าหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก
เต่าหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย นครนายก