ขุนแผนบ่วงสื่อเฮงขุนพันธรักษ์ราชเดช เจ้าพิธีปี๒๕๔๑ ขุนแผนบ่วงสื่อเฮงขุนพันธรักษ์ราชเดช เจ้าพิธีปี๒๕๔๑ : พระองค์ครู เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย เป็นคนสุดท้ายของประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานทินนาม ซึ่งพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ในวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2549 เมื่อครั้งที่ยังเป็นตำรวจท่านมีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่างๆ ของไทย ในภาคกลางเช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร ที่พัทลุง ปราบ เสือสังหรือเสือพุ่ม ที่นราธิวาส ปราบผู้ร้ายทางการเมือง ในปี พ.ศ.2481 หัวหน้าโจรชื่อ “อะเวสะดอตาเละ” จนท่านได้ฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า “รายอกะจิ” ซึ่งแปลว่า อัศวินพริกขี้หนู นอจจากนี้แล้วจากผลงานที่ท่านสามารถปราบโจร เสือร้ายต่างๆ ได้มากมาย จึงได้รับฉายา ดังต่อไปนี้ นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง (เชื่อกันว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจากพระยาพิชัยดาบหัก ฝักดาบมีถุงผ้าสีแดงห่อหุ้ม ตัวดาบมีความคมกล้า) รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ฯลฯ และจอมขมังเวท ในยุคจตุคามรามเทพฟีเวอร์ ขุนพันธรักษ์ราชเดชมีส่วนร่วมในการจัดสร้างจตุคามรามเทพอีกหลายรุ่นด้วยกัน อาทิ รุ่นพุทธาคมขุนพันธ์เขาอ้อ พ.ศ.๒๕๔๔ รุ่นพุทธาคมเขาอ้อ พ.ศ.๒๕๔๕ รุ่นบูรณะเจดีย์ราย พ.ศ.๒๕๔๕ พระปิดตาพังพกาฬ วัดมะม่วงขาว พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๑ ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ประพิธีบวงสรวงวัตถุมงคล รุ่น “บ่วงซื่อเฮง” เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว มีความหมายว่า “เฮงหมื่นครั้ง หรือเฮงตลอดไป” ในการสร้างครั้งนั้นคุณเล็ก สุพรรณ ผู้เป็นศิษย์คนสนิทของท่านขุนพันธ์และเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างได้กราบขออนุญาตท่านขุนพันธ์ให้ทำพิธีเทวาภิเษกขึ้นที่บ้านของท่านขุนพันธ์ พิธีจัดขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืนครบถ้วนตามฤกษ์แห่งสุริยันจันทรา นอกจากนั้นยังได้นำวัตถุมงคลชุดนี้เข้าพิธีอีกครั้งที่ศาลหลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ในปี ๒๕๔๔ เมื่อพิธีเสร็จสิ้นวัตถุมงคลส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังประเทศมาเลเซียแจกจ่ายให้ผู้เคารพศรัทธาในองค์จตุคาม เหลือบางส่วนเก็บรักษาอยู่ในไทย และได้มีการแจกจ่ายออกไปบ้างแต่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จนกระทั่งงานพระราชทานเพลิงศพท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชจึงได้มีการนำออกเผยแพร่เกิดเป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น วัตถุมงคล รุ่น “บ่วงซื่อเฮง” ประกอบด้วย จตุคามรามเทพ เหรียญยี่กอฮอง และขุนแผน สร้างจากมวลสารศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก โดยท่านขุนพันธ์ได้มอบมวลสารที่ใช้ในการสร้างรุ่นปี ๒๕๓๐ เป็นส่วนผสมด้วย ด้านหลัง มีภาษาจีน อ่านว่า บ่วงซื่อเฮง (เฮงหมื่นเรื่อง) และอักษรไทย คำว่า ก - ข เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ นักพนัน และนักเสี่ยงโชค ทั้งชาวไทย จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ต่างนิยมชื่นชอบกันอย่างมาก ด้วยเหตุที่ชื่อรุ่นบ่วงซื่อเฮง เป็นมหามงคล แปลว่า เฮงหมื่นเรื่อง นายมนัส พันธุ์กลาง หรือเจ้าของฉายา "ฉี หมื่นเฮง" เจ้าของร้านหมื่นเฮง ร่วมกับ "ลี หมื่นเฮง" ทั้งนี้เขาจะเหมาตัดพระแท้พระใหม่หรือเก่า โดยเฉพาะเหรียญเทพเจ้าต่างๆ ถ้าเข้าตาและชอบก็จะเช่าตัดเก็บไว้บูชา ได้เช่าเก็บไว้จำนวนมากขนิดที่เรียกว่า "ล้นตู้" โดยไม่คิดว่า เหรียญยี่กอฮอง และขุนแผน รุ่น “บ่วงซื่อเฮง” จะได้รับความนิยม
ขุนแผนบ่วงสื่อเฮงขุนพันธรักษ์ราชเดช เจ้าพิธีปี๒๕๔๑ ขุนแผนบ่วงสื่อเฮงขุนพันธรักษ์ราชเดช เจ้าพิธีปี๒๕๔๑ : พระองค์ครู เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย เป็นคนสุดท้ายของประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานทินนาม ซึ่งพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ในวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2549 เมื่อครั้งที่ยังเป็นตำรวจท่านมีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่างๆ ของไทย ในภาคกลางเช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร ที่พัทลุง ปราบ เสือสังหรือเสือพุ่ม ที่นราธิวาส ปราบผู้ร้ายทางการเมือง ในปี พ.ศ.2481 หัวหน้าโจรชื่อ “อะเวสะดอตาเละ” จนท่านได้ฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า “รายอกะจิ” ซึ่งแปลว่า อัศวินพริกขี้หนู นอจจากนี้แล้วจากผลงานที่ท่านสามารถปราบโจร เสือร้ายต่างๆ ได้มากมาย จึงได้รับฉายา ดังต่อไปนี้ นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง (เชื่อกันว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจากพระยาพิชัยดาบหัก ฝักดาบมีถุงผ้าสีแดงห่อหุ้ม ตัวดาบมีความคมกล้า) รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ฯลฯ และจอมขมังเวท ในยุคจตุคามรามเทพฟีเวอร์ ขุนพันธรักษ์ราชเดชมีส่วนร่วมในการจัดสร้างจตุคามรามเทพอีกหลายรุ่นด้วยกัน อาทิ รุ่นพุทธาคมขุนพันธ์เขาอ้อ พ.ศ.๒๕๔๔ รุ่นพุทธาคมเขาอ้อ พ.ศ.๒๕๔๕ รุ่นบูรณะเจดีย์ราย พ.ศ.๒๕๔๕ พระปิดตาพังพกาฬ วัดมะม่วงขาว พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๑ ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ประพิธีบวงสรวงวัตถุมงคล รุ่น “บ่วงซื่อเฮง” เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว มีความหมายว่า “เฮงหมื่นครั้ง หรือเฮงตลอดไป” ในการสร้างครั้งนั้นคุณเล็ก สุพรรณ ผู้เป็นศิษย์คนสนิทของท่านขุนพันธ์และเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างได้กราบขออนุญาตท่านขุนพันธ์ให้ทำพิธีเทวาภิเษกขึ้นที่บ้านของท่านขุนพันธ์ พิธีจัดขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืนครบถ้วนตามฤกษ์แห่งสุริยันจันทรา นอกจากนั้นยังได้นำวัตถุมงคลชุดนี้เข้าพิธีอีกครั้งที่ศาลหลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ในปี ๒๕๔๔ เมื่อพิธีเสร็จสิ้นวัตถุมงคลส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังประเทศมาเลเซียแจกจ่ายให้ผู้เคารพศรัทธาในองค์จตุคาม เหลือบางส่วนเก็บรักษาอยู่ในไทย และได้มีการแจกจ่ายออกไปบ้างแต่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จนกระทั่งงานพระราชทานเพลิงศพท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชจึงได้มีการนำออกเผยแพร่เกิดเป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น วัตถุมงคล รุ่น “บ่วงซื่อเฮง” ประกอบด้วย จตุคามรามเทพ เหรียญยี่กอฮอง และขุนแผน สร้างจากมวลสารศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก โดยท่านขุนพันธ์ได้มอบมวลสารที่ใช้ในการสร้างรุ่นปี ๒๕๓๐ เป็นส่วนผสมด้วย ด้านหลัง มีภาษาจีน อ่านว่า บ่วงซื่อเฮง (เฮงหมื่นเรื่อง) และอักษรไทย คำว่า ก - ข เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ นักพนัน และนักเสี่ยงโชค ทั้งชาวไทย จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ต่างนิยมชื่นชอบกันอย่างมาก ด้วยเหตุที่ชื่อรุ่นบ่วงซื่อเฮง เป็นมหามงคล แปลว่า เฮงหมื่นเรื่อง นายมนัส พันธุ์กลาง หรือเจ้าของฉายา "ฉี หมื่นเฮง" เจ้าของร้านหมื่นเฮง ร่วมกับ "ลี หมื่นเฮง" ทั้งนี้เขาจะเหมาตัดพระแท้พระใหม่หรือเก่า โดยเฉพาะเหรียญเทพเจ้าต่างๆ ถ้าเข้าตาและชอบก็จะเช่าตัดเก็บไว้บูชา ได้เช่าเก็บไว้จำนวนมากขนิดที่เรียกว่า "ล้นตู้" โดยไม่คิดว่า เหรียญยี่กอฮอง และขุนแผน รุ่น “บ่วงซื่อเฮง” จะได้รับความนิยม
ชีวประวัติ หลวงพ่อแพ กำเนิดใน วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2448 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือนยี่ ปี มะเส็ง ณ ต.สวนกล้วย อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี บิดาของหลวงพ่อชื่อ นายเทียน มารดาชื่อ นางหน่าย ใจมั่นคง มีพี่น้อง ร่วมสายโลหิต 4 คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้อง แต่เมื่อท่านได้อายุ 8 เดือน มารดาก็เสียชีวิต หลังจากที่มารดา ท่านจากไปแล้ว นายบุญ ขำวิบูลย์ ผู้เป็นอา และ นางเพียร ภรรยา จึงได้ได้ขอหลวงพ่อมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม การศึกษา เมื่อท่านอายุได้ 11 ปี พ่อแม่บุญธรรม ได้นำท่านไปฝาก กับ สมภารพันธ์ เจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ท่านได้ศึกษาจนพอรู้หนังสือบ้าง ประมาณ 3 เดือน สมภารจึง ให้พระอาจารย์ ป้อม จันทสุวัณโณ ซึ่งเป้นพระลูกวัดใ ที่มีความรู้ทางภาษาไทยและ ขอมอย่างแตกฉาน ทำให้หลวงพ่อมีความเชี่ยวชาญ รอบรู้ ทางด้าน ภาษา คัมภีร์พระธรรม พระสูตร พระมาลัย และเขียนจารึกอักษรขอมได้อย่างงดงาม ปี พ.ศ.2461 เพื่อนของบิดาบุญธรรมของท่าน มีความประสงค์ ให้ส่งหลวงพ่อมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เพื่อ มาศึกษา ต่อ และ มาอยู่เป็นเพื่อนกับลูกชายของตนที่วัดชนะสงคราม บิดามารดาของหลวงพ่อจึงได้บอกกล่าวความให้ท่านทราบ ท่านจึงรับปากว่าจะไปเรียนต่อตามความประสงค์ เมื่อมาอยู่วัดชนะสงคราม หลวงพ่อจึงได้เรียน สูตรสนธิ (อัตโถ อักขระสัญญโต ฯ) กับพระอาจารย์สม อยู่ 1 ปี ต่อมาท่านเห็นว่าบาลีไวยากรณ์ง่ายกว่า จึงได้เปลี่ยนไปเรียน บาลีฯ ที่วัดมหาธาตุฯ ต่อมาปี พ.ศ. 2463 ท่านมีอายุได้ 16 ปี ได้เดินทางกลับ จ.สิงห์บุรี เพื่อเยี่ยม บิดาผู้ให้กำเนิดและบิดามารดาบุญธรรม ๆของท่านเห็นว่าท่านโตแล้ว จึงได้ร่วมบรรพชาเป็นสามเณร ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2463 โดยมี พระอธิการพันธ์ เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้น ท่านก็เดินทางกลับมายังวัดชนะสงคราม อยู่กับ พระอาจารย์เทศ คณะ10 ต่อมาไม่นานทางบ้านก็ส่งข่าวมาบอกว่า โยมเทียน บิดาผู้ให้กำเนิดถึงแก่กรรม จึงเดินทางกลับไปสิงห์บุรี เพื่อ จัดการศพบิดา แล้วกลับมา อยู่ที่คณะ 10 เช่นเดิม ปี พ.ศ.2466 หลวงพ่อสอบนักธรรมตรีได้ (ในสมัยนั้นผู้เข้าสอบ ต้องอายุ 19 ปีจึงจะมีสิทธิ์ เข้าสอบได้) ปี พ.ศ.2468 สามารถสอบเปรียญธรรม 3 ประโยค ได้ตั้งแต่เป็นสามเณร นับว่าได้นำเกียรติมาสู่วัดชนะสงคราม เป็นอย่างมาก จากนั้นหลวงพ่อได้ไปเล่าเรียนที่ วัดมหาธาตุฯ โดยเป็นศิษย์ ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ปี พ.ศ. 2469 ท่านอายุ ได้ 21 ปี จึงอุปสมบท อย่างสมเกียรติสามเณรเปรียญ ซึ่งในสมันนั้น หาได้ไม่มากนัก เมื่อวันที่ 21 เมษายน ณ พระอุโบสถวัดพิกุลทอง โดยมี พระมงคลทิพย์มุนี วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ซึ่งภายหลังอุปสมบทแล้วหลวงพ่อได้กลับมาอยู่วัดชนะสงครามตามเดิม และในปีเดียวกันหลวงพ่อนักธรรมชั้นโทได้ ปี พ.ศ. 2470 หลวงพ่อสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยคได้ แต่หลังจากนี้ไม่นานหลวงพ่อ ก็จำเป็น ต้องหยุดศึกษา เนื่องด้วยปัญหาทางด้านสายตาเนื่องจาก จะเห็นได้ว่า ท่านได้มีวิริยะ อุตสาหะในการศึกษาตั้งแต่เด็ก โดยถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญต่อปฏิบัติธรรมให้ได้ถูกต้อง ทำให้หลวงพ่อคร่ำเคร่ง ในการอ่านหนังสือ ในที่แสงสว่างไม่เพียงพอ เพราะในสมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มีใช้ จำเป็นต้องใช้แสงสว่างจากเทียน หรือตะเกียง นัยน์ตา ซึ่งได้ตรากตรำจากการดูหนังสือมากเกินไป เกิดอาการตาอักเสบแดง ปวดแสบ นายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ จึงแนะนำให้ท่านหยุด ใช้สายตา มิฉะนั้นนัยน์ตาอาจจะพิการ จึงเป็นที่เสียดายเป็นอย่างยิ่งของท่านเพราะหลวงพ่อ ตั้งใจไวมุ่งมั่นในการศึกษามาก ระหว่าง ปี พ.ศ.2471-2472 ได้รับหน้าที่เป็นครูสอนบาลี โดยสอนตามคณะต่างๆ ของวัดชนะสงคราม รับเป็นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ปี พ.ศ. 2474 เจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ได้ลาสิกขาบท ทำตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง ชาวบ้านพิกุลทองและจำปาทองได้ร่วมกันปรึกษา ที่จะขอให้ท่านมารับเป็นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ขณะนั้นหลวงพ่อได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบิดาและญาติพี่น้อง ซึ่งท่านได้พักที่วัดพิกุลทอง ท่านจึงเห็นว่า เป็นวัดพิกุลทองบ้านเกิดเมืองนอน ตอนนี้ เสนาสนะชำรุดทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะพระอุโบสถซึ่งสร้างมา ตั้งแต่ พ.ศ.2440 และขณะนั้นท่านได้หยุดพักรักษานัยน์ตา ประสงค์จะพักผ่อนหาความสงบ คิดว่าเมื่อตาหายดีแล้ว ก็จะศึกษาบาลีลันักธรรมต่อตามความตั้งใจเดิม จึงรับปากว่าจะมาอยู่วัดพิกุลทอง ในระหว่างที่ยังว่างเจ้าอาวาสอยู่ปี พ.ศ. 2482 คณะสงฆ์แต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลถอนสมอ และในปีเดียวกันหลวงพ่อพิจารณาเห็นว่าพระอุโบสถชำรุดทรุดโทรมมาก พระสงฆ์ประกอบพิธีสังฆกรรมแต่ล่ะครั้ง ต่างกลัวไม้หลังคากระเบื้องหล่นถูกศีรษะ ไม่มีจิตเป็นสมาธิ จึงเริ่มคิดที่จะปฏิสังขรพระอุโบสถ เริ่มเรียนจิตศาสตร์ เมื่อท่านอายุประมาณ 24-25ปี สมัยยังศึกษาอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านได้เริ่มสนใจในทางปฏิบัติ เพื่อหา ความสงบทางใจ จึงเข้าอบรมและปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานในสำนัก พระครูภาวนาฯ วัดพระเชตุพนฯ(วัดโพธิ์ท่าเตียน) ได้ความรู้ในแถวทางปฏิบัติมาพอสมควร และยังได้ศึกษาจากท่านอาจารย์พระครูใบฎีกา เกลี้ยง วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งเป็นพระฐานานุกรม และศิษย์ ผู้ใกล้ชิด สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ฯ (ซึ่งทางเชี่ยวชาญ ทางด้าน สร้าง-ลบผง พุทธคุณ พระครูใบฎีกา เกลี้ยงท่านได้เมตตาสั่งสอนอบรมและมอบตำราเกี่ยวกับจิตศาสตร์วิทยาคมให้ ต่อมาทราบว่าในท้องที่ อำเภอบางระจันมีพระอาจารย์เรืองวิทยาคมอยู่รูปหนึ่ง มีคนนับถือและเกรงกลัวมาก เพราะวาจาศักดิ์สิทธิ์ ชื่อหลวงพ่อศรี เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ หลวงพ่อจึงได้เดินทาง ไปฝากตัวเป็นศิษย์จนมี ความสามารถและเป็นที่โปรดปรานของหลวงพ่อศรี เป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อเล่าว่า หลวงพ่อศรี เมตตาสอนวิทยาคมให้อย่างไม่ ปิดบังอำพราง และในขณะที่ก่อสร้างพระอุโบสถ หลวงพ่อศรีท่านก็แนะนำให้ หลวงพ่อแพ สร้างแหวน และทุกครั้งที่พลวงพ่อแพท่านได้สร้างเสร็จ ท่าจะนำไปถวายหลวงพ่อศรีปลุกเสก (หลวงพ่อแพ ท่านถามหลวงพ่อศรีว่าสร้างแล้วคนนิยมกันไหม หลวงพ่อศรี ท่าน บอกว่านิยมมาก ให้สร้างมากๆ ท่านจะสนับสนุน) ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อศรีนี้เอง ทำให้หลวงพ่อได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ได้สำเร็จ ในเวลา 2 ปีเศษ หล่อสมเด็จทองเหลือง เมื่อหลวงพ่อมีบารมีมากขึ้นตามลำดับ วัดหลายวัดต่างนิมนต์ ท่านเป็นประธานในการก่อสร้างวัด วิหาร ถาวรวัตถุต่างๆมากมายหลายวัด และ เมื่อ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 ทางวัด แถบ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ก้อได้นิมนต์ท่านร่วมงาน หลวงพ่อเล่าว่า ท่านเพลียมากจึงชวนศิษย์ไปจำวัด ที่หอสวดมนต์ โดยมีคนหลายนอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนนอนท่านเอาผ้าอาบน้ำฝนใส่ไว้ในย่าม จึงรู้สึกว่าย่ามใหญ่ คิดว่าคนที่นอนอยู่คงเข้าใจว่าเป็นเงิน ด้วยความอ่อนเพลียท่านจึงหลับไป พอท่านตื่นจากจำวัดเวลาเช้ามืด พบว่าย่ามหายไปแล้ว จึงแจ้งทางวัดทราบ สำหรับสิ่งของในย่าม มีเพียงของเล็กๆน้อยๆ แต่ของที่สำคัญก็คือ พระสมเด็จวัดระฆังฯ ซึ่งได้รับจากสมบัติของโยมวัดชนะสงคราม จึงเป็นของที่แท้ และทรงคุณค่าทางด้านจิตใจของหลวงพ่อมาก ท่านจึงเสียดายเป็นอย่างมาก ญาติโยมช่วยกันติดตาม ปรากฏว่าได้รับของอื่นคืนครบทุกชิ้น ยกเว้นพระสมเด็จ สอบถามผู้ขโมยได้ความว่าได้นำไปขายให้บุคคลไม่ทราบชื่อ ไม่สามารถติดตามคืนได้หลวงพ่อเล่าว่าท่านเสียดายมาก ระหว่างนั้นต้องไปขอยืมสมเด็จวัดระฆังจาก อาจารย์หยด ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาส มาติดตัวไปก่อนด้วยความเคารพในบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เป็นอย่างยิ่ง ทำให้หลวงพ่อ อธิษฐานขอบารมี ณ วัดไชโยวรวิหาร ขอสร้างพระโลหะพิมพ์สมเด็จ ขึ้นใช้เอง และแจกจ่ายให้กับผู้เคารพศรัทธา ในปี 2494 ประมาณเดือน 6 โดยนำช่างมาเททองหล่อ ที่ด้านใต้ โบสถ์หลังเก่า ได้รับโลหะจากผู้ที่มาร่วมพิธี นำมาหล่อเช่น เครื่องเงิน ขันลงหิน โต๊กทาน เชียนหมาก ตะบันหมาก สตางค์แดง สตางค์ข้าว สตางค์สิบ ทองเหลือง เป็นจำนวนมาก ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2484 หลวงพ่อได้รับ สมณศักดิ์ พระครูสัญญาบัตรตำแหน่ง พระครูผู้จัดการทางประปริยัติธรรมและพระธรรมวินัย ที่ พระครูศรีพรหมโสภิต ในปี พ.ศ. 2486 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง ในปี พ.ศ. 2506 ได้รับตำแหน่ง ให้รักษาการเจ้าคณะอำเภอท่าช้าง และ ปี พ.ศ.2509 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอท่าช้าง ไปประเทศอินเดีย ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่คับคั่ง ไปด้วยศิษยานุศิษย์ เกือบจะเต็มศาลา การเปรียญ วันนั้นหลวงพ่อได้กล่าวออกมาด้วยความปิติต่อชุมชนว่า การเดินทางไปอินเดียครั้งนี้ เสมือนกับ บุตรไปเยี่ยมภูมิประเทศบิดา เพื่อเป็นการถวายสักการะ เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ ในเมื่อมีโอกาสก็ควรจะกระทำ การเดินทางในครั้งนี้จะประกอบกิจเป็นกรณีพิเศษ 2อย่างคือ ประการที่หนึ่ง เพื่อตั้งใจนมัสการสังเวชนียสถาน ทั้ง 4 ตำบลอันได้แก่ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่ปฐมเทศนา และ สถานที่ปรินิพพาน ซึ่งนับว่าเป็นมหากุศลพิเศษ ประการที่สอง เพื่อเดินทางไปสร้าง พระสมเด็จรุ่นพิเศษ พิมพ์ปรกโพธิ์ เนื้อมวลสารประกอบด้วยผงวิทยาคม ที่(ได้ลบผง)สะสมไว้แล้ว จะผสมดินที่พระพุทธเจ้าของเรา ประสูติ ตรัสรู้ และปฐมเทศนาด้วย เวลา 14.00น. หลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถ นมัสการพระประธานแล้ว ไปนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ณ วิหารสมเด็จของวัด แล้วเดินทางเข้ากรุงเทพ พักที่วัดชนะสงคราม คณะ 10 หนึ่งคืน วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ถึง ประเทศอินเดีย จากนั้นเที่ยวชมสถานที่ต่างๆของอินเดีย และเดินทางสู่ พุทธคยาในตอนค่ำ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ได้เดินทางไป นมัสการต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่ ตรัสรู้ พหลวงพ่อและคณะได้นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงแล้ว ได้เริ่มผสมผงเพิ่อพิมพ์ สมเด็จปรกโพธิ์เป็นปฐมฤกษ์ หลวงพ่อท่านได้นั่งสมาธิจิตรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย เสกพิมพ์พระปรกโพธิ์ แล้วจึงกดพิมพ์ ด้วยจิตที่มุ่งส่งกระแสจิตเพื่อบรรจุในองค์พระ ณ ควงไม้โพธิ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ว่าพิมพ์ปรกโพธิ์ที่สร้างขึ้น มีมงคลฤกษ์ ณ สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ก่อให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้นำไปบูชา เวลา 11.00 เดินทางกลับมาที่วัดไทยพุทธคยา เพื่อฉันภัตตาหารเพล พักผ่อนพอสมควรแล้ว ตอนบ่าย หลวงพ่อได้เดินทางไปที่ ณ ควงต้นศรีมหาโพธิ์อีกครั้งหนึ่งเพื่อนมัสการ เป็นคำรบสองและปลุกเสกพิมพ์พระ และผงที่ผสมในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์โดยประสงค์เพื่อจะนำกลับมาเพื่อเป็นชนวนผสม สร้างพระให้พอเพียงแก่ผู้มีจิตศรัทธาในตัวหลวงพ่อ จะได้นำไปบูชาสักการะและติดตัว เพื่อคุ้มครองทุกหนทุกแห่ง และหลังจากนั้นหลวงพ่อได้เดินทางไปยัง สถานที่ปฐมเทศนา ปรินิพพาน และประสูติ ตามลำดับ และยังได้เดินทางไปตามสถานที่สำคัญต่างๆอีกมากมาย ท่านได้เดินทางกลับประเทศไทย ในวันที่ 9 มี.ค. 2514 ใช้เวลาเดินทางรวม 13 วัน บูรณะค่ายบางระจัน ค่ายบางระจันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประจักษ์ แก่ประชาชนท้องถิ่นและผู้ไปเที่ยวชมมากต่อมาก โดยเฉพาะก้อนอิฐ ซึ่งแต่ละก้อนจะประทับดอกจันทร์ไว้ ชาวบ้านเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่งและต้นไม้แดง ซึ่งมีมากบริเวณค่าย ไม่มีใครสามารถตัดได้ แม้แต่กิ่งแห้งเหี่ยวหักตกลงมา ชาวบ้านหรือแม้กระทั่งพระในวัด นำไปเป็นฟืนหุงต้มยังวิบัติ และสิ่งสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่างหนึ่งก็คือสระน้ำหน้าวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ สมัยก่อนมีปลาชุมคลักอยู่ก้นบ่อ ผู้ใดจับไปกินจะเกิดอาเพศต่างๆ แม้น้ำในบ่อเคยมีคนนำไปเติมหม้อน้ำรถ หม้อน้ำก็ยังระเบิด ชาวบ้านบางระจันจึงพร้อมใจยอมรับกันว่า มีแต่หลวงพ่อเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำในการบูรณะครั้งนี้ โดยแต่เดิมท่านก็ได้ดูแลมาตั้งแต่ พ.ส.2488 จนในปีพ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรีมีมติ แต่งตั้งให้ท่านเป็นกรรมการฟื้นฟูและบูรณะค่ายบางระจัน และปลูกต้นโพธิ์ อีก 8 ต้น รวมกับ ต้นเก่าที่มีอยู่แล้ว อันเป็นสัญลักษณ์ของวักโพธิ์เก้าต้น ไปศรีลังกา วันที่ 21 พฤษภาคม 2515 หลวงพ่อท่านได้เดินทางไปกับคณะพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เพื่อไปร่วมประชุมและสังเกตการณ์ โดยมีพุทธศาสนิกชนจากหลายประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ประเทศศรีลังกา ซึ่งการเดินทางครั้งนี้หลวงพ่อแพท่านได้ประทับพิมพ์พระสมเด็จฐานสิงห์เป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2515 ณ วัดศรีมหาโพธิ์ สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ หลวงพ่อแพ ท่านได้ตัดสินใจสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ในวันเพ็ญเดือน 3 ตรงกับวันมาฆบูชา เพื่อให้ เพียงพอสำหรับ พระภิกษุและสามเณรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และในวันสำคัญในศาสนา ประชาชน จะได้มีโอกาสเข้าร่วม บำเพ็ญกุศลในพระอุโบสถได้มากขึ้นด้วย แต่อุปสรรคสำคัญก็คือ การหาเงินปัจจัยในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ซึ่งท่านต้องใช้งบจำนวนมาก ซึ่งท่านได้เตรียมพระสมเด็จปรกโพธิ์ซึ่งท่านได้ตั้งใจสร้างล่วงหน้าไว้ ณ ประเทศอินเดีย เพื่อมอบให้แก่ผู้ร่วมบริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถ จึงได้วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2515 ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 1 ปีเศษ เป็นพระอุโบสถที่หลังใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดที่มีอยู่ในภูมิภาค เป็นปูชนียสถานที่มีการแกะสลัก ลวดลายประตูหน้าต่าง อย่างวิจิตรงดงามตระการตา เป็นที่กล่าวขวัญและชื่นชมของผู้พบเห็น อีกทั้งยังสร้างพระใหญ่ปางประทานพรใหญ่ที่สุดในประเทศ หน้าตักกว้าง 11 วา 2 ศอก 7 นิ้ว สูง 21 วา 1 คืบ 3 นิ้ว ใช้ งบประมาณก่อสร้างประมาณ 20 ล้านบาท ด้านการศึกษาท่านได้ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทำการเปิดสอนแผนกธรรมและภาษาบาลีขึ้นในวัดพิกุลทองตั้งแต่ ปี2475 อีกทั้งหลวงพ่อยังได้พัฒนาและการก่อสร้างศาสนสถาน วัดอื่นๆอย่างมากมาย รวมทั้งเป็นองค์อุปถัมภ์หาทุนก่อสร้างอาคารต่างๆ ให้กับโรงพยาบาลสิงห์บุรี เช่นล่าสุดท่านได้หาทุนก่อสร้างอาคาร “หลวงพ่อแพ เขมังกโร 94 ปี สูง 9 ชั้น งบก่อสร้าง 120 ล้านบาท เป็นพระราชาคณะ ในปี พ.ศ.2521 ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระสุนทรธรรมภาณี ในปี พ.ศ. 2525 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ในปี พ.ศ. 2530 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา วันที่ 5 ธันวาคม ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระราชสิงหคณาจารย์” ในปี พ.ศ. 2535 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระเทพสิงหบุราจารย์” ในปี พ.ศ. 2539 ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชครบ 50 ปี (พระราชพิธีกาจญนาภิเษก) ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระสมณศักดิ์ พระสงฆ์ 59 รูป หลวงพ่อแพก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น “พระธรรมมุนี” ในระยะหลัง หลวงพ่อได้งดรับกิจนิมนต์ โดยคำแนะนำจากผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสิงห์บุรี เนื่องจากไม่สามารถพยุงตัวเองได้ รวมทั้งมีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน และโรคชรา จนเมื่อ วันที่24 ส.ค. 41 ทางคณะแพทย์ไดเห็นสมควรนำหลวงพ่อเข้าพักรักษาพยาบาล ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี เนื่องจากตรวจพบว่าหลวงพ่อ เป็นโรคปอดอักเสบ ทางคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนอาการดีขึ้น ต่อมาในวันที่ 7 ก.ย.41 ท่านอาการทรุดลง จนกระทั่งเวลา 01.30 น. ของวันที่ 8 ก.ย. 41 ท่านได้มีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ไม่รู้สึกตัว และหัวใจหยุดเต้น ทางคณะแพทย์ได้ทำการช่วยจนหลวงพ่อฟื้นคืนชีพได้สำเร็จ และทางได้ถวายดูแลรักษาจนอาการดีขึ้น จนกระทั่งวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 เวลา 12.36 น. หลวงพ่อท่านก็ได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ห้อง 901 ชั้น 9 อาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร โรงพยาบาลสิงห์บุรี สิริอายุ 94 ปี 73 พรรษา
เวปประมูลก็ต้องเคาะประมูล ชิมิๆ เคาะกันวันละนิดจิตแจ่มใส พี่ๆแต่ละท่านก็มี ((( สไตล์ ))) ที่แตกต่างกัน อย่าว่างั้นงี้เลย ปอดกับหัวใจนู๋ไม่ค่อยแข็งแรง " พี่ๆคงไม่ปล่อยให้นู๋เร้าใจอยู่คนเดียวนะคร๊าบบบ " พี่ๆแวะชมดูแล้วล็อคอินกันรึยังจ๊ะ วันนี้เปิด พรุ่งนี้ปิด ??? ลับแป้นรอกันเร้ยยย..ไม่เก็บวันนี้วันหน้าจะไม่มีให้เก็บนะจ๊ะ พระสมเด็จ หลวงปู่นาค วัดระฆังฯ จ.กรุงเทพฯ พิมพ์สามเหลี่ยม ((( สูง 1.80 ซ.ม. ))) เก่าตามสภาพ ...คลาสสิคสุดๆ ควรค่าแก่การบูชา น่าสะสมจังเลย คร๊าบ... (เพื่อความอุ่นใจ..พี่ๆลองเช็คราคานอกเวปดูก่อนเข้าร่วมประมูลนะคร๊าบบบ ^_^) หมายเหตุ ทุกข้อสงสัยล้วนมีคำตอบ สงสัยเรื่องใดเมล์ถามข้อมูลได้เลยคร๊าบบบ พี่ๆ ชาวดี ดี..... *** จัดส่งพระตามรูป รับประกันตามกฎเวป *** ผู้ชนะการประมูลโอนเงินแล้วรบกวนฝากข้อความในกล่องข้อความหรือโทร.แจ้งก็ได้นะครับ เพื่อความรวดเร็วในการจัดส่ง จัดส่งไปรษณีย์ลงทะเบียน ปลอดภัย ไร้กังวล คร๊าบ... ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเยี่ยมชมหรือเข้าร่วมการประมูลขอบพระคุณคร๊าบบบ ^_^
เหรียญหลวงตามหาบัว กะหลั่ยเงินหน้าเงิน จ.อุดรธานี หมายเลข 0 + โค๊ต เคาะแรกเคาะเดียว ที่มองเห็นดำ ๆ เหลือง ๆ เป็นเงาสะท้อนครับ +++++มีรายการวัดใจอีกหลายรายการ คลิกที่รูป ข้างชื่อพระใหญ่นะครับ+++++ +++++มีรายการวัดใจอีกหลายรายการ คลิกที่รูป ข้างชื่อพระใหญ่นะครับ+++++ ผู้ประมูลได้ ช่วยกรุณา แจ้งการโอนเงิน ทาง MAIL BOX ด้วยนะครับเพราะสะดวกและรวดเร็วในการจัดส่ง ขอบคุณมากครับ หากมีการเปลี่ยนที่อยู่ (กรุณาแจ้งทุกครั้ง) ทาง MAIL BOX นะครับเนื่องจากเป็นรายการวัดใจจึงมีข้อความเข้า เยอะมาก
พระเนื้อดินเผาหลวงพ่อพ่วง วัดกก ปี2473 อมตะพระพุทธ เนื้อดินเผาผสมผงมงคล หลวงพ่อพ่วง วัดกก บางขุนเทียน กทม. ปี 2473 เมื่อพูดถึงพระเครื่องของดีราคาเบาๆ ซึ่งเป็นของหลวงพ่อพ่วง วัดกก บางท่านก็รู้จัก และหลายๆ ท่านอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อ ซึ่งความจริงแล้วหลวงพ่อพ่วงท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เก่งมากและ ท่านก็เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อมิ่ง แต่พระของท่านค่อนข้างหายากจึงทำให้ไม่ค่อย ได้พบเห็นกันบ่อยนัก พระเครื่องเนื้อดินเผาของท่านจะผสมผงวิเศษ 5 ประการที่ท่านทำขึ้นผสมลงไป ด้วย พระเครื่องเนื้อดินเผาของท่านสร้างประมาณปีพ.ศ.2473 มี ด้วยกันหลายพิมพ์ หลวงพ่อพ่วงท่านจะนั่งบริกรรมคาถาไปด้วยในระหว่างที่เผาพระเครื่อง และเมื่อเผาเสร็จท่านก็จะนำพระเครื่องทั้งหมดเข้าไปในพระอุโบสถและปลุกเสก อีกหลายพรรษา จึงจะนำมาแจกให้ชาวบ้านต่อไป พระเครื่องเนื้อดินของหลวงพ่อพ่วงนี้สนนราคายังไม่สูง แต่ก็หายากพอควรและไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก พุทธคุณ พระเครื่องของหลวงพ่อพ่วงนี้เด่นทางด้านมหาอุด อยู่ยงคงกระพัน ทางด้านเมตตามหานิยมก็ไม่น้อยหน้าใครครับ วันนี้ก็นำพระเครื่องเนื้อดินเผาผสมผง พิมพ์ต่างๆมาให้ได้เช่าบูชากัน พระ เครื่องเนื้อดินเผาผสมผงมวลสาร(ผงพุทธคุณวิเศษ) สร้างในปี พ.ศ.2473 ซึ่งมีทั้งหมด 24 พิมพ์ทรง นี้แหละครับที่สร้างชื่อเสียงยิ่งขจรขจายไปไกล เนื่องด้วย มีผู้รับพระเนื้อดินที่ท่านแจกเป็นลองยิง แล้วปรากฎว่ายิงไม่ออก จึง เป็นเหตุให้ผู้อยากรู้อยากลองกระทำกันเป็นวงกว้าง หลวงพ่อพ่วงท่านทราบข่าว เห็นไม่เป็นการอันควร จึงให้เก็บพระเนื้อดินที่ยังไม่แจกทั้งหมด ขึ้นเป็นเพดานโบถส์ จึงเป็นเหตุอันสุดแสนจะปาฏิหารย์ สุดอัศจรรย์ ควรค่าแก่การบูชาไว้เป็นสิริมงคลยิ่ง และในปี พ.ศ.2478 ท่าน ได้สร้างพระเหรียญหล่อเนื้อเมฆพัด เป็นรูปท่านนั่ง มีทั้งแบบรูปไข่และทรงกลม ปัจจุบันหาได้ยากมาก สนนราคาสูงมากเช่นกัน พิมพ์นี้เป็นพิมพ์โมคลาพระสาริบุตรครับ เป็นอีกพิมพ์ที่ยังไม่แพงครับ ราคาเกินพุทธคุณครับ เกจิยุคเก่าที่น่าบูชามากครับ ประวัติ หลวงพ่อพ่วง วัดกก ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๐ วัตถุ มงคลหลวงพ่อพ่วง ท่านมีหลายอย่าง พระเครื่องหลวงพ่อพ่วง เป็นที่กล่าวขานกันมากในสมัยนั้นถึงเรื่องมหาอุดคงกระพันพระเครื่องเนื้อดิน เผาของหลวงพ่อพ่วง วัดกก บางขุนเทียน ในหนังสือพระเครื่องล้ำค่า ซึ่งเป็นพระที่มีพุทธคุณสูง อีกทั้งสนนราคาก็ยังไม่สูง หาได้ยังไม่ยากนัก เนื่องจากบางท่านอาจจะไม่รู้จัก ว่าเป็นของหลวงพ่อพ่วง และไม่ทราบประวัติของท่าน วันนี้ก็เลยขออนุญาตนำเรื่องราวของหลวงพ่อพ่วง วัดกก และพระเครื่องเนื้อดินเผาของท่านมาเล่าสู่กันฟังครับ หลวงพ่อพ่วง วัดกก นี้ประวัติของท่านไม่ค่อยมีบันทึกไว้เท่าไรนัก รู้แต่เพียงท่านเป็นชาวบางขุนเทียน เกิดประมาณปี พ.ศ. 2400 ที่ ตำบลแสมดำ เมื่อท่านมีอายุครบบวชท่านก็ได้อุปสมบทที่วัดกก ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ บ้านของท่าน เมื่อท่านบวชแล้วก็ได้ศึกษาเล่าเรียน และได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อคง เจ้าอาวาส วัดกกนั่นเอง หลวงพ่อคงนี้ท่านเป็นพระที่เก่งกล้าในทางวิทยาคมสูงมากในแถบย่านบางขุนเทียน ในสมัยนั้น และท่านก็ได้ถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ ให้แก่หลวงพ่อพ่วงจนหมดสิ้นนอก จากนี้ หลวงพ่อพ่วงท่านยังได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และยังได้ศึกษาสรรพวิชาต่างๆ จากพระอาจารย์อีกหลายองค์ เนื่องจากไม่ได้บันทึกไว้จึงทำให้ไม่ทราบแน่ชัดว่าท่านได้เดินทางไปศึกษากับ พระอาจารย์ท่านใดบ้าง หลวงพ่อพ่วงท่านออกธุดงค์แต่ละครั้งไปใน สถานที่ไกลๆ เป็นเวลานานๆ จนท่านได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อคงท่านมรณภาพลง จึงได้กลับมาอยู่ที่วัดกก ซึ่งในตอนนั้นหลวงพ่อดิษ เป็นเจ้าอาวาสปกครองอยู่ ต่อมาอีกไม่นานนักหลวงพ่อดิษท่านก็ลาสิกขาบทออกไป ชาวบ้านและกรรมการวัด เห็นพ้องต้องกันว่าหลวงพ่อพ่วงท่านเป็นพระที่ชาวบ้านเคารพเลื่อมใส และศรัทธาในตัวท่านมาก จึงได้พร้อมใจกันอาราธนาท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกกสืบแทน หลังจากท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแล้วท่านก็ได้พัฒนาวัดกกให้มีความเจริญ รุ่งเรืองสืบมาจนทุกวันนี้ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในวัตถุมงคลของ หลวง พ่อพ่วงนั้น เป็นที่กล่าวขานกันมากในสมัยนั้นถึงเรื่องมหาอุดคงกระพัน และโดยเฉพาะทางด้านเมตตามหานิยม หลวงพ่อพ่วงวัดกกท่านนี้ยังเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง และหลวงพ่อไปล่ยังได้ไปเรียนวิชาจากหลวงพ่อพ่วงอีกด้วย ขนาดหลวงปู่เอี่ยม วัดหนังยังยกย่องว่า "พระอุปัชฌาย์พ่วง วัดกก องค์นี้แหละท่านเก่งจริงๆ" วัตถุมงคลที่หลวงพ่อพ่วงท่านได้สร้างไว้มีหลายอย่าง เช่น ในสมัยแรกๆ ท่านได้สร้างตะกรุด ลูกอม ผ้ายันต์แจกให้แก่ศิษย์ไว้คุ้มครองตัว ต่อมาในปี พ.ศ.2470 ท่านได้สร้างพระเนื้อผงใบลานเป็นพระพิมพ์สมาธินั่งบัว ปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็น ประวัติหลวงพ่อพ่วง วัดกก นี้ ประวัติของท่านไม่ค่อยมีบันทึกไว้เท่าไรนัก รู้แต่เพียงท่านเป็นชาวบางขุนเทียน เกิดประมาณปี พ.ศ. 2400 ที่ ตำบลแสมดำ เมื่อท่านมีอายุครบบวชท่านก็ได้อุปสมบทที่วัดกก ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ บ้านของท่าน เมื่อท่านบวชแล้วก็ได้ศึกษาเล่าเรียน และได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อคง เจ้าอาวาส วัดกกนั่นเอง หลวงพ่อคงนี้ท่านเป็นพระที่เก่งกล้าในทางวิทยาคมสูงมากในแถบย่านบางขุนเทียน ในสมัยนั้น และท่านก็ได้ถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ ให้แก่หลวงพ่อพ่วงจนหมดสิ้น นอกจากนี้ หลวงพ่อพ่วงท่านยังได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และยังได้ศึกษาสรรพวิชาต่างๆ จากพระอาจารย์อีกหลายองค์ เนื่องจากไม่ได้บันทึกไว้จึงทำให้ไม่ทราบแน่ชัดว่าท่านได้เดินทางไปศึกษากับ พระอาจารย์ท่านใดบ้าง หลวง พ่อพ่วงท่านออกธุดงค์แต่ละครั้งไปใน สถานที่ไกลๆ เป็นเวลานานๆ จนท่านได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อคงท่านมรณภาพลง จึงได้กลับมาอยู่ที่วัดกก ซึ่งในตอนนั้นหลวงพ่อดิษ เป็นเจ้าอาวาสปกครองอยู่ ต่อมาอีกไม่นานนักหลวงพ่อดิษท่านก็ลาสิกขาบทออกไป ชาวบ้านและกรรมการวัด เห็นพ้องต้องกันว่าหลวงพ่อพ่วงท่านเป็นพระที่ชาวบ้านเคารพเลื่อมใส และศรัทธาในตัวท่านมาก จึงได้พร้อมใจกันอาราธนาท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกกสืบแทน หลังจากท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแล้วท่านก็ได้พัฒนาวัดกกให้มีความเจริญ รุ่งเรืองสืบมาจนทุกวันนี้ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในวัตถุมงคลของ หลวงปู่พ่วง นั้นเป็นที่กล่าวขานกัน มากในสมัยนั้นถึงเรื่องมหาอุดคงกระพัน และโดยเฉพาะทางด้านเมตตามหานิยม หลวงพ่อพ่วงวัดกกท่านนี้ยังเป็นพระกรรมวาจา จารย์ของหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง และหลวงพ่อไปล่ยังได้ไปเรียนวิชาจากหลวงพ่อพ่วงอีกด้วย ขนาดหลวงปู่เอี่ยม วัดหนังยังยกย่องว่า "พระอุปัชฌาย์พ่วง วัดกก องค์นี้แหละท่านเก่งจริงๆ" วัตถุมงคลหลวงพ่อพ่วง วัดกก ท่าน ได้สร้างไว้มีหลายอย่าง เช่นในสมัยแรกๆ ท่านได้สร้างตะกรุด ลูกอม ผ้ายันต์แจกให้แก่ศิษย์ไว้คุ้มครองตัว ต่อมาในปี พ.ศ.2470 ท่านได้สร้างพระเนื้อผงใบลานเป็นพระพิมพ์สมาธินั่งบัว ปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็น พระเครื่องเนื้อดินเผาผสมผงมวลสาร สร้างในปี พ.ศ.2473 ซึ่งมีทั้งหมด 24 พิมพ์ทรง และในปี พ.ศ.2478 ท่านได้สร้างพระเหรียญหล่อเนื้อเมฆพัด เป็นรูปท่านนั่ง มีทั้งแบบรูปไข่และทรงกลม ปัจจุบันหาได้ยากมาก สนนราคาสูงมากเช่นกัน
...โอนแล้วรบกวนแจ้งยืนยัน ที่กล่องข้อความด้วยนะครับ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ในการจัดส่ง ไม่แจ้ง ยังไม่ส่งนะครับ ป้องกันความผิดพลาด... @@@ เนื่องจากที่ผ่านมา มีผู้ทิ้งการประมูลหลายๆครั้ง ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวผมเอง และผู้ตั้งประมูลรายอื่นๆ ดังนั้นต่อไปนี้ผมขอใช้กฏตามที่ทางเว็บได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตั้งสติก่อนจะเคาะ ....ครบ 7 วัน เตือน หลัง 10 วัน เจอคำติ ไม่มีข้อแก้ตัวนะครับ ขอบคุณที่เข้าใจคร้าบ @@@
พระแท้ตลอดกาล
หลวงพ่ออยู่ วัดเกยไชย จ.นครสวรรค์ เหรียญพระพุทธหลังเจดีย์สร้างเมื่อ พ.ศ.2468 ถือว่าเป็นเหรียญพระพุทธ หายากของเมืองไทยเหรียญหนึ่งครับ สำหรับประวัติหลวงพ่ออยู่ (ทองอยู่ ) พระครูนิรภัยวิเทต ท่านเป็นเจ้าอาวาส องค์ที่ ๓ ของวัดเกยชัย เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน ๖ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๓๗ ณ บ้านเกยไชย ต.เกยไชย อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ บิดาชื่อสุ่ม มารดาชื่อจั่น นามสกุล สุ่มอินทร์ เมื่อวัยเยาว์ได้ติดตามบิดามารดาไปอยู่ที่บ้านหนองขอน ตำบลท่าไม้ อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ได้ทำการอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดหนองขอน โดยมีพระครูสวรรค์วิจิตร (สถ) เจ้าคณะอำเภอชุมแสงเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วได้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านบึง ตำบลหนองกรด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ และได้กลับมาอยู่จำพรรษที่วัดหนองขอนได้ ๒ พรรษา หลังจากนั้นก็ได้ย้ายมาศึกษาต่อที่วัดเกยไชยเหนือซึ่งในขณะนั้นมีพระสมุห์ สอนเป็นเจ้าอาวาส อยู่วัดเกยไชยเหนือได้ ๓ พรรษา ในพรรษาที่ ๗ ท่านได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรมและความรู้ทางไสยศาสตร์เวทมนต์คาถากับพระ อาจารย์ปลัดนิ่ม วัดบางศาลา อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง หลังจากศึกษาสำเร็จแล้วจึงได้มาทำการศึกษาเล่าเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณกับพระ ครูฉ่ำ วัดบางตะเคียน ตำบลโตนด อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง จนชำนาญคล่องแคล่วแล้วก็ได้ลาพระอาจารย์กลับมาสู่วัดเกยไชยเหนือ ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระใบฎีกา และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลเกยไชย ในปีพ.ศ. ๒๔๘๖ และ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระครูสัญญาบัตร มีพระราชทินนามว่า“ พระครูนิรภัยวิเทต ” ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิมในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับพระพราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูเจ้าคณะตำบลชั้นเอกในราชทินนามเดิม พระครูนิรภัยวิเทต (หลวงพ่อทองอยู่ ) ได้มรณภาพ เมื่อ วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ขณะที่มีอายุได้ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา กล่าวกันว่าหลวงพ่ออยู่ วัดเกยไชย นั้นท่านเป็นสุดยอดพระเกจิร่วมสมัยพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ และ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน แต่ท่านพรรษาอ่อนกว่า พ่อเดิมและหลวงพ่อพวงอยู่หลายพรรษา แต่หลวงพ่อเดิมท่านมีความสนิทสนมกับหลวงพ่ออยู่มากและอาจจะมีการแลกเปลี่ยม วิชาคาถาอาคมกันแบบพระเกจิยุคเก่าเป็นแน่แท้แม้พ่อทองอยู่ หรือที่ชาวบ้านมักเรียกว่า พ่ออยู่นี้ ท่านเป็นสุดยอดพระเกจิที่สำเร็จกสิณธาตุทั้ง 4 โดยเฉพาะกสิณน้ำและไฟ ซึ่งน้อยหลวงพ่อที่จะโด่นเด่นทั้ง2กฐินนี้ไปพร้อมๆกัน ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลทุกอย่างล้วนเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก กล่วงกันว่าเวลาปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านจะดำน้ำลงปลุกเสกในแม่น้ำบริเวณหน้าวัด น้ำบริเวณนั้นถึงกับเดือดเป็นฟองเหมือนต้มน้ำร้อน แต่บริเวณผิวน้ำกลับเกิดไอเย็น ซึ่งน่าแปลกมาก สำหรับเหรียญพระพุทธ ปี ๒๔๖๘ นั้นกล่าวกันว่า หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน หลวงพ่อไกร วัดใหญ่ท่าฉนวน หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง ร่วมปลุกเสกด้วย แค่ รายนามพระเกจิที่ร่วมปลุกเสกก็สุดยอดแล้ว หายากขึ้นทุกวันครับ พระดียุคเก่าๆ ของเก๊เกลื่อนสนามครับ องค์นี้ตัวจริงเสียงจริงครับ มาพร้อมกับบัตรรับรองจากทางเว็บ สบายใจได้ครับ สายตรงไม่ควรพลาดครับ นานๆจะพบเจอตัวจริงสักองค์ครับ รับประกันตามกฎทุกประการครับ ปล.ผู้ชนะการประมูลเมื่อโอนแล้วรบกวนแจ้งใน mailbox ให้ทราบด้วยนะครับ เพื่อการจัดส่งที่รวดเร็ว ขอบพระคุณมากครับ
เหรียญสังฆาฏิใหญ่ท่านเจ้าคุณนรฯ (เหรียญนักกล้าม) บล็อค ต.หางยาว วัดเทพศิรินทร์ฯ เนื้อทองแดง ปี2513 จ.กรุงเทพฯ พร้อมบัตรรับรองเวปดีดี-พระ เหรียญสวย แท้ ดูง่าย อริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่มีวัตรปฏิบัติที่งดงามน่าเลื่อมใสมากครับ ส่งออกบัตรรับรองเรียบร้อยแล้วครับ รับประกันตามกฏครับ