<<< พระลีลาทุ่งเศรษฐี หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จ.นครปฐม พิมพ์ใหญ่ เนื้อดิน สภาพสวยสมบูรณ์ครับ พร้อมบัตรจาก D.D.-PRA เคาะเดียวครับ >>> *** พระสภาพสวยมากครับ เสียหน่อยเดียวยันต์หลังปั้มติดไม่เต็มมาแต่เดิมครับ *** (รับประกันความแท้ตามกฏครับ) ***กราบเรียนถึงท่านที่ชนะการประมูลทุกท่าน เมื่อท่านได้ทำการโอนเงินมาแล้ว กรุณาเมล์ส่งข้อความหรือโทรมาแจ้งให้ทราบด้วยครับ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในการจัดส่ง กรุณาแจ้งก่อนการโอนเงินครับ แจ้งยืนยันการโอนเงินมาและยืนยันที่อยู่ในการจัดส่งเร็วผมก็จัดส่งให้รวดเร็วครับ ***ถ้าไม่แจ้งโอนเงินและยืนยันที่อยู่ในการจัดส่งมา ผมก็ไม่สามารถจัดส่งให้ได้นะครับ*** ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของท่านลูกค้าครับ *** *********** ข อ บ คุ ณ ค รั บ *********
หลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรี ท่านมีนามเดิมว่า "แพ ใจมั่นคง" เกิดเมื่อวันจันทร์ ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๘ ตรงกับ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง ณ บ้านสวนกล้วย เลขที่ ๙๓/๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี บิดาชื่อ นายเทียน ใจมั่นคง มารดาชื่อ นางหน่าย ใจมั่นคง เมื่ออายุได้ ๘ เดือน มารดาผู้ให้กำเนิดได้ถึงแก่กรรม ดังนั้น นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์ สามี ภรรยา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้ขอเด็กชายน้อยๆ ที่มีอายุเพียง ๘ เดือน จากนายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าโดยรับอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม เมื่ออายุได้ ๑๑ ปี บิดามารดาบุญธรรม ได้นำเด็กชายแพไปฝากอยู่วัด กับสำนักอาจารย์ป้อม เพื่อที่จะศึกษาเล่าเรียนตามแบบโบราณนิยม คือ การเรียนภาษาไทยภาษาขอม นอกจากนั้น ยังได้เรียนหนังสือ มูลบทบรรพกิจ ทางธรรมก็มีพระมาลัยสูตร และยังได้หัดอ่านพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี บิดามารดาบุญธรรมได้ส่งไปศึกษาต่อที่สำนักวัดอาจารย์ อาจารย์ สม ภิกษุชาวเขมร วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ การศึกษาในกรุงเทพฯขั้นแรกได้เริ่มเรียนหนังสือโบราณท่องสนธิ เรียนมูลกัจจายนสูตร เป็นเวลา ๑ ปี ต่อมา ก็ไปเป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ ครั้นหลวงพ่อแพศึกษาหาความรู้จนอายุได้ ๑๖ ปี ก็กลับบ้านเกิด เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๓ ณ วัดพิกุลทอง ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพระอธิการพันจันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ครั้นเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วก็ได้เดินทางกลับไปอยู่วัดชนะสงครามตามเดิม และได้ศึกษาบาลีไวยากรณ์ต่อไปอีก จนสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร ในปีพ.ศ.๒๔๖๘ นายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าก็ได้ถึงแก่กรรม โดยความมุมานะพยายาม โดยอาศัยแสงสว่างจากเทียนไขหรือตะเกียง โดยส่วนมากเพราะสาเหตุนี้ นัยน์ตา อันเป็นส่วนสำคัญของสังขาร ก็เกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ตรากตรำอ่านหนังสือมากเกินไปในที่สุด นายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้แนะนำ ไม่ให้อ่านหนังสืออีกต่อไป มิฉะนั้น นัยน์ตาอาจพิการได้ ดังนั้นภายหลังจากสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคแล้ว การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมก็ต้องยุติลง แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีใจใฝ่การศึกษา พระภิกษุแพ เขมังกะโร จึงได้ศึกษา และปฏิบัติสมถกัมมัฎฐาน วิปัสสนากัมมัฎฐานในสำนักของพระครูภาวนา วัดเชตุพน จนชำนาญ และดำเนินการสั่งสอนให้แก่ประชาชนทั่วไป สามเณรเปรียญแพ ขำวิบูลย์ได้ทำการอุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในวันขึ้น ๖ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันพุธที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๙ ณ พระอุโบสถวัดพิกุลทอง โดยมีพระมงคลทิพย์มุนี เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "เขมังกะโร" (แปลว่า ผู้ทำความเกษม) ภายหลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แพ เขมังกะโร หรือมหาแพ ก็ได้เดินทางกลับสู่วัดชนะสงคราม เพื่อตั้งใจศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรม ให้ได้ในระดับสูงที่สุด เพื่อที่จะได้นำความรู้ ความสามารถที่ได้ฝักใฝ่ศึกษาเล่าเรียนนั้น นำไปสร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่า และประโยชน์ต่อชุมชนและพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ พระภิกษุแพ เขมังกะโร พยายามที่จะศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ อ่านหนังสือตำราเรียนอยู่เสมอ ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ อาจารย์หยด พวงมสิต เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ได้ลาสิกขาบท ทำให้ตำแหน่งว่างลง ชาวบ้านพิกุลทอง และชาวบ้านจำปาทอง จึงนิมนต์ให้พระภิกษุแพมารับเป็นเจ้าอาวาสในเดือน เมษายน พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุเพียง ๒๖ ปี ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงค์ตำแหน่ง ตามหน้าที่การงานต่างๆ ดังนี้ พ.ศ.๒๔๘๒ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลถอนสมอ พ.ศ.๒๔๘๓ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น พระอุปัชฌายะ พ.ศ.๒๔๘๔ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอท่าช้าง พ.ศ.๒๕๒๕ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะจังหวัดสมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นพระครูสัญญาบัตร ผู้ทำกิจปริยัติธรรมวินัยที่พระคณุศรีพรหมโสภิต พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระสุนทรธรรมภาณี พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระสิงหคณาจารย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ในวาระครบ ๖๐ พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระราชาคณะ ชั้นเทพที่พระเทพสิงหบุราจารย์ พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙ ใน วโรกาสเสด็จครองราชย์ครบ ๕๐ ปี เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมมุนี นับตั้งแต่พระภิกษุแพ ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ได้บำเพ็ญประโยชน์ภายในวัด และสาธารณประโยชน์ทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้ ดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด ได้แก่ พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอประชุมกุฎิสงฆ์ หอไตร หอฉัน ศาลาวิปัสสนา โรงฟังธรรม ฌาปนสถาน ศาลาเอนกประสงค์ เขื่อนหน้าวัด ฯลฯ ดำเนินการก่อสร้างสาธารณะประโยชน์ เพื่อเป็นการอนุเคราะห์แก่ประชาชนทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้ 1. เป็นประธานในการก่อสร้างโรงพยาบาลอำเภอท่าช้าง 2. เป็นประธานในการก่อสร้างที่ว่าการอำเภอท่าช้าง 3. เป็นประธานในการก่อสร้างสถานีตำรวจอำเภอท่าช้าง 4. เป็นประธานในการก่อสร้างสถานีอนามัยตำบลพิกุลทอง 5. เป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลวัดพิกุลทอง 6. เป็นประธานในการหาทุนสมทบในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อำเภอ อินทร์บุรีและสะพานข้ามแม่น้ำน้อย อำเภอท่าช้าง ดำเนินการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ ให้กับโรงพยาบาลสิงห์บุรี พ.ศ. ๒๕๒๘ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ ๘๐ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง ๔ ชั้น มูลค่า ๑๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท (สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนบาทถ้วน) สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ ๘๙ เตียง พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้เป็นค่ายาและเวชภัณฑ์ สำหรับพระภิกษุสามเณรที่อาพาธในโรงพยาบาลสิงห์บุรี เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท (สองแสนบาทถ้วน) พ.ศ. ๒๕๓๒ ก่อสร้างอาคารเอ็กซเรย์ (อาคารหลวงพ่อแพ ๘๖ ปี) เป็นอาคารคอนกรีต เสริมเหล็ก สูง ๒ ชั้น มูลค่า ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) ก่อสร้างแล้วเสร็จ และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ.๒๕๓๔ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๖ ชั้น มูลค่า ๓๕,๐๙๕,๕๕๕ บาท (สามสิบห้าล้านเก้าหมื่นห้าพันห้าร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน) อาคารหลังนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔ เวลา ๐๙.๐๙ น. และเปิดให้บริการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๗ โดยชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๕ เป็นหอผู้ป่วยสามัญ ชั้นที่ ๖ เป็นหอผู้ป่วยพิเศษ จำนวน๑๕ ห้อง และทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ พ.ศ. ๒๕๓๘ พ.ศ. ๒๕๓๘ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๙ ชั้น มูลค่า ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาทถ้วน) ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ อาคารหลังนี้มีพื้นที่ใช้สอย ๑๑,๔๓๐ ตารางเมตร โดย ชั้นที่ ๑ - ๒ เป็นแผนกบริการผู้ป่วยนอก ชั้นที่ ๓ - ๔ เป็นฝ่ายอำนวยการ ชั้นที่ ๕ - ๙ เป็นห้องผู้ป่วย จำนวน ๖๐ ห้อง ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ พระธรรมมุนี ปัจจุบันมีอายุได้ 95 ปี พรรษา 74 ตลอดชีวิตของหลวงพ่อได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ และได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยากตลอดมาหลวงพ่อแพ เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนทั่วไปได้แผ่บารมีช่วยเหลือกิจการต่างๆ นอกจากด้านศาสนาแล้วยังช่วยเหลือด้านการศึกษาและสาธารณสุขด้วยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมายโดยเฉพาะ ในส่วนของโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้รับความอนุเคราะห์จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อแพดังจะเห็นได้จากการก่อสร้าง อาคารหลวงพ่อแพ 80 ปี ,อาคารหลวงพ่อแพ 86 ปี (อาคารเอ็กซเรย์) ,อาคารหลวงพ่อแพ 90 ปี ที่เด่นเป็นสง่า และดูสวยงามภายในโรงพยาบาสิงห์บุรี และปัจจุบันกับอาคารหลวงพ่อแพเขมังกโร ที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็ด้วยเพราะบุญบารมีของหลวงพ่อแพ ที่ท่านมอบต่อสาธุชนด้วยเมตตาธรรม พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นชั้นธรรม ที่ พระธรรมมุนี
หลวงปู่เส็ง เป็นพระปฏิบัติท่านมักจะออกธุดงค์ไปปริวาสกรรมทุกปีมิได้ขาด มีปฏิปทาในทางสมถะหมั่นบริกรรมภาวนาเจริญพระคาถาวิชาต่างๆ เล่ากันว่าเวลาว่างจากงานที่ต้องกระทำ ท่านจะนั่งนับลูกประคำที่คล้องคออยู่ บริกรรมพระคาถาตลอดเวลา หลวงปู่เป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยพูดว่ากล่าวผู้ใด หลวงปู่เส็งเป็นสมภารปกครองวัดเรื่อยมาจนกระทั่งอายุ 65 ปี ท่านจึงเริ่มทำวัตถุมงคลการทำวัตถุมงคล ครั้งแรกนั้นท่านสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของวัดบางนา ในปี พ.ศ.2510 หลังจากสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้นออก มาแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหาแล้ว ในปีนั้นเองหลวงปู่ก็ทำเหรียญรูปอาร์มหรือใบเสมาคว่ำเป็นรุ่นแรกออกมาอีก และนับแต่ปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมาหลวงปู่เส็งก็สร้างวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆ ออกมามากมายแทบจะนับรุ่นกันไม่ได้เลยทีเดียว หลวงปู่สร้างวัตถุมงคลทุกปีๆ หนึ่งสร้าง 2-3 แบบ จนกระทั่งท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2530 รวมระยะเวลาการทำวัตถุของหลวงปู่เส็ง 20 ปี และวัตถุมงคลของหลวงปู่ทุกรุ่นทุกแบบก็มีผู้เลื่อมใสหามาพกติดตัว และบูชากันมากมาย วัตถุมงคลของหลวงปู่เส็งนั้น ออกไปในทางแคล้วคลาด เมตตามหานิยมและการค้าขายดีเยี่ยม วัตถุมงคลของหลวงปู่เส็ง รุ่นนิยมเท่าที่พอลำดับความได้มีดังนี้ พระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกจัดสร้างปี 2510 ผงที่นำมาสร้างเป็นผงอิทธิเจ ซึ่งจะโน้มไปในทางเมตตามหานิยมและค้าขาย พระผงสมเด็จ 3 ชั้นรุ่นแรกด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปพระประธานนั่งสมาธิ มีซุ้มครอบแก้ว ด้านหลังเป็นลายมือเขียนว่า “พระครูเส็ง” บางองค์เขียนว่า “เส็ง” และบางองค์ ก็เขียนว่า “พระครูเส็ง จันทฺรังสี” แล้วแต่ว่าหลวงปู่จะเขียนอะไรคำไหน แต่ส่วนใหญ่จะทำเป็นแบบพิมพ์เป็นบล็อค ใช้กดลงไปบนหลังพระเวลากดพิมพ์ เนื้อพระมีทั้งเนื้อน้ำมัน ลักษณะพระจะออกแกร่งมัน กับสูตรผสมเนื้อกล้วยพิมพ์ออกมามีทั้งหมด 5 สี คือ สีดำ เหลือง เขียว แดง และ ขาว พอทำเสร็จหลวงปู่ก็ปลุกเสกเดี่ยวแล้วออกแจกจ่ายแก่ญาติโยมที่ไปหาท่าน บางรายนำพระพกติดตัวไปประสบอุบัติเหตุเกิดแคล้วคลาดอย่างเหลือเชื่อ กิตติศัพท์พกพระหลวงปู่เส็งแล้วแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุมีบ่อยครั้งมากจนกระทั่งเลื่องลือไปทั่ว พุทธคุณพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของหลวงปู่เส็ง เรื่องแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเป็นเลิศ หลังทำพระผงรุ่นแรกทิ้งช่วงปลายปี ท่านก็ทำเหรียญรุ่นแรกออกมาเป็นเหรียญใบเสมาคว่ำมีทั้งเนื้อกะไหล่ทอง เงินและทองแดง ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปหลวงปู่ครึ่งองค์มีอักษรเขียนว่า “อาจารย์เส็ง” ด้านหลังเป็นยันต์ ใต้ยันต์มีอักษรระบุชื่อวัดบางนา พ.ศ.2510 ปีที่จัดสร้าง และพระผงที่ทำออกมานั้นส่วนใหญ่จะบรรจุตะกรุดสาริกาดอกเล็กๆ ไว้ที่ฐานด้วย เพื่อเสริมพุทธคุณ การทำพระเครื่องของหลวงปู่เส็ง จนถึงปี 2512 หลวงปู่จะเอาพระเครื่อง ที่ทำออกมาไปปลุกเสกเดี่ยวในอุโบสถ ถ้าเป็นเหรียญ ท่านจะทำพิธีพุทธาภิเษกนิมนต์พระระดับเจ้าอาวาสละแวกวัดบางนามาเจริญพุทธมนต์ด้วย หลังจากปี 2512 การทำวัตถุมงคลหลวงปู่จะจัดพิธีพุทธาภิเษกในอุโบสถตลอด พระผงรุ่นที่โด่งดังมากก็คือ รุ่นขี่หมู ซึ่งรุ่นนี้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นคนจัดสร้างขึ้นมานำไปให้หลวงปู่ทำพิธีพุทธภิเษก แล้วก็มอบพระให้หลวงปู่ไว้จำนวนหนึ่ง บรรดานักเล่น พระนิยมกันมาก สำหรับวัตถุมงคลรูปแบบต่างๆ นั้น ครั้งแรกหลวงปู่จัดสร้างหมูทองแดงในปี 2522 สาเหตุ การจัดทำหมูทองแดงของหลวงปู่เส็งนั้นสืบเนื่องมาจากในตำนานกล่าวกันว่า หมูทองแดงตามป่าเขาที่เป็นหมูเขี้ยวตันนั้นปืนยิงไม่เข้า หลวงปู่ก็เลยคิดทำวัตถุมงคลเป็นหมูทองแดงเขี้ยวตันขึ้นมา เล่ากันว่าระหว่างที่หลวงปู่ปลุกเสกหมูทองแดงร่วมกับพระที่นิมนต์มาเจริญพุทธมนต์อยู่ในโบสถ์นั้น มีชาวบ้านเห็นหมูวิ่งเข้าไปในโบสถ์ขณะที่พระสงฆ์กำลังปลุกเสกวัตถุมงคลอยู่ทั้งๆ ที่รอบโบสถ์ด้านนอกปิดกั้นอย่างดีไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนสมาธิ ขณะที่พระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทธมนต์และบริกรรมปลุกเสกวัตถุมงคล หลังเสร็จพิธีคนที่พบเห็นเข้าไปบอกหลวงปู่ ท่านก็เฉยๆ แถมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ท่านไม่ได้พูดอะไรแต่รับฟังเอาไว้ ครั้นเมื่อทำหมูทองแดงออกมาแจกกันเป็นที่ฮือฮาพอสมควร หมูทองแดงที่สร้างนั้นเป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ มีหมูทองแดงตัวใหญ่และเล็ก ข้างลำตัวซ้ายมีอักษรเขียนว่า “วัดบางนา ปทุมธานี 2522” ข้างลำตัวด้านขวาเป็นอักขระขอมมียันต์ที่โคนขาทั้ง 4 ลักษณะเป็นหมูป่าเขี้ยวตัน และในปี 2524 หลวงปู่เส็งได้จัดสร้าง ทำหมู 7 หัวขึ้นมา เป็นลักษณะหมูป่าเขี้ยวตัน คู้ขาหมอบที่เรียกว่า 7หัวนั้น หมายถึงหัวของปลัดขิกที่ทำไว้ตามลำตัวมี 7 แห่ง คือที่หัว หาง ที่เพศ และที่ปลายเท้าทั้งสี่ข้าง เป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ ข้างลำตัวด้านซ้ายระบุปี พ.ศ.ที่จัดสร้างคือปี 2524 นอกจากนี้หลวงปู่เส็งได้ทำหมูจัมโบ้ ขนาดใหญ่ออกมาอีก 1 รุ่น หมูทองแดงรุ่นแรกทำออกมาแค่ 2,500 ตัวเท่านั้น พุทธคุณไปในทางแคล้วคลาดและค้าขาย หลังจากทำหมูทองแดงออกมาหลวงปู่ก็จัดทำครุฑทองแดง ซึ่งครุฑเป็นสัตว์ที่มีอำนาจจัดทำพิธีพุทธาภิเษกในโบสถ์มีพระอาจารย์มาร่วมบริกรรมพุทธคุณอีก 10 รูป ครุฑทองแดงด้านหลังเขียนว่า “หลวงปู่เส็ง วัดบางนา ปทุมธานี 2522” สลับกับอักขระขอม ประสบการณ์มีผู้นำติดตัวไปแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุทางรถและทางเรือ อีกทั้งยังป้องกันภัย จากงูเงี้ยวเขี้ยวขอดีนัก ต่อมาหลวงปู่จัดสร้างรูปเหมือนหนุมาน เหตุผลที่จัดทำนั้นท่านถือว่าหนุมานเป็นลิงประจำปีวอกและด้วยหนุมานเองก็เป็นศิษย์ของพระนารายณ์ มีอานุภาพฤทธิ์เดชมากมาย ที่จัดทำไว้มีเนื้อกะไหล่เงินและทองแดง ไม่ระบุปีจัดสร้าง จาก หมู ครุฑ หนุมาน ต่อมาท่านก็สร้างพญาเต่าเลือนเนื้อทองแดงผสมโลหะ แล้วจัดสร้างหงส์ทอง หงส์เงิน อีก 1 ชุด เนื้อกะไหล่ทองและกะไหล่เงิน ทำเพื่อเป็นที่ระลึกว่าวัดบางนานั้นเป็นวัดที่ชาวรามัญสร้างขึ้นมา
วัดใจ สมเด็จวัดประสาท เนื้อขาว พิมพ์พระครูมูล ปี2506 พร้อมบัตรรับรองดีดีพระ รับประกันตามกฎทุกประการครับ
สภาพน่าใช้ รับประกันตามกฎ จัดส่ง EMS ทุกรายการครับ
วัดเก๋งจีน ระยองเป็นวัดที่สร้างในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันได้กลายเป็นวัดร้างซึ่งก็คือบริเวณโรงพยาบาลประจำจังหวัดระยองในปัจจุบันนี้นั่นเอง ผู้สร้างคือพระอุปัฌชาย์ก๋งเจ้าอาวาสวัดเก๋งจีนในสมัยนั้น ท่านเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐานและยังเป็นอาจารย์ใหญ่ภาคตะวันออกสายเมืองระยอง มีความเชื่อกันว่าท่านน่าจะเป็นอาจารย์และเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับหลวงพ่อโตวัดเขาบ่อทอง หลวงพ่ออ่ำวัดหนองกระบอก หลวงพ่อทาบวัดกระบกขี้ผึ้ง หลวงพ่อวงศ์วัดบ้านค่าย และหลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ พระกรุวัดเก๋งจีนแตกกรุออกมาประมาณปี 2515 เป็นพระเนื้อชินปนตะกั่วเพียงเนื้อเดียว ด้านหลังจะเรียบ พระเกือกทั้งหมดจะลงรักปิดทอง มีพิมพ์ต่างๆมากมายนับไม่ถ้วนนับได้ร่วม 100 แม่พิมพ์ ดังนั้นพระที่แตกออกมาจากกรุวัดเก๋งจีนจึงมีจำนวนมาก แต่ส่วนมากพระจะชำรุดงอและไม่ค่อยสวย พิมพ์นิยมคือพิมพ์มารวิชัยฐานผ้าทิพย์ พิมพ์สมาธิฐานสองชั้น พิมพ์โมคคัลลาร์ และพิมพ์พิเศษที่หายากพิมพ์ต่าง ๆ เช่น พิมพ์พระสังกัจจายน์ พิมพ์พระประจำวัน พิมพ์นาคปรกและพิมพ์พระประธานฐานผ้าทิพย์ ฯ พระกรุเก๋งจีน เป็นพระเนื้อชินตะกั่วสนิมแดงลงรักปิดทอง เมื่อผลิกดูด้านหลังจะพบคราบปูนสีขาวอมเหลืองติดอยู่ทุกองค์ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้เนื่องจากพระวัดเก๋งมิได้ถูกบรรจุอยู่ในกรุ แต่ใช้น้ำอ้อยผสมกับปูนขาวนำไปทาด้านหลังพระทุกองค์ แล้วนำไปแปะติดประดับประดาตามผนังอุโบสถ องคนี้เป็น พระพิมพ์ปางมารวิชัย พระแท้ดูง่าย สมบูรณ์ครับ มาพร้อมบัตร G ครับผม
พระเครื่องฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ถือได้ว่า เป็นพระเครื่องที่มาพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่มากรุ่นหนึ่งในวงการพระเครื่อง มีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ 25 รูป พระคณาจารย์ปลุกเสกพุทธาคมครบ 108 รูป พระคณาจารย์ 108 รูป ซึ่งได้อาราธนามาจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย พระคณาจารย์แต่ละรูปล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น พระ 25 ศตวรรษ เมื่อเริ่มได้รับความนิยมจากประชาชนแล้วก็เริ่มมีการแบ่งแยก เนื้อพระ และ พิมพ์ทรง ให้เป็นเนื้อและพิมพ์นิยมมากขึ้นซึ่งเนื้อ "ทองคำ, นาก, เงิน" ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดตามลำดับ
ประวัติการสร้างพระภูธราวดี โดยพล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช จากบันทึกของท่านชื่อ “เรื่องอาจารย์นำ แก้วจันทร์” เขียนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ พล.ต.ท.ประชา บูรณธนิต กับ พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้สร้างพระพิมพ์ภูธราวดีด้วยผงว่าน และ ยาแก้-ยากันต่าง ๆ (และยังมี) ผงวิเศษ ผงพระ ดินเสื้อเมือง-หลักเมือง ตะไคร่จากพระธาตุเจดีย์ทั่วประเทศ ดินท้องถ้ำ ดินยอดเขาที่มีชื่อเป็นมงคล ดินสังเวชนียสถานจากอินเดียโดย พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทรงประทาน กับได้เททองหล่อพระประธานแบบทวาราวดีถวายวัดพระปฐมเจดีย์ สร้างศาลากตัญญูธรรมไว้ที่หน้าองค์พระปฐมเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระซึ่งหล่อขึ้นในครั้งนั้น กับสร้างพระกริ่งภูธราวดีด้วยเนื้อทองนวโลหะ พระเครื่องครั้งนั้นทำแจกตำรวจทั่วประเทศ ทหารและผู้อื่นก็แจกตามสมควรไม่มีการให้เช่า พระพิมพ์สร้างขึ้นจำนวน ๑๖๘,๐๐๐ องค์ พระพิมพ์ (เนื้อดินผสมผง) นั้นทำการประสมผงที่ศาลามีชัยแล้วนำมาทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช และได้กดพิมพ์เป็นองค์ที่นั่น พล.ต.ท.ประชา บูรณธนิต มาเป็นครั้งคราว อาจารย์นำ แก้วจันทร์ เป็นประธานในพิธีตลอด พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นผู้ช่วย กดพระพิมพ์ได้ร้อยองค์จะมีพระคะแนนเป็นพิมพ์พระนางตรา ๑ องค์ พิมพ์วัดประตูทอง ๑ องค์ พิมพ์ทวาราวดี ๑ องค์ขณะที่ประสมผงอยู่นั้น ยุงที่ศาลามีชัย และ ในเมืองไม่กัดคน เมื่อทำพิธีพุทธาภิเษกในพระวิหารหลวงนั้นเป็นเวลากลางคืนแมลงต่าง ๆ ไม่มีมาตอมแสงไฟเลย ทำกันอยู่หลายเดือน กินนอนกันอยู่ที่นั่น คนพิมพ์พระมีทั้งทหาร ตำรวจทั้งยศนายและพล พ่อค้า ข้าราชการ พลเรือนก็มี และต้องนุ่งขาวห่มขาวรับศีลทุกวัน ใครออกไปข้างนอกกลับเข้ามาต้องพรมน้ำมนต์ก่อน ห้ามยืนรับของต่อมือผู้หญิงและต้องถือพรหมจรรย์ ใครกลับบ้านแล้วกลับมาทำพระต้องรับศีลใหม่ ห้ามผู้หญิงและคนนอกเข้าในพิธีเมื่อพิมพ์พระเสร็จแล้วสุมด้วยไฟแกลบ ใช้ไม้ที่มีนามเป็นมงคลลงเลขยันต์ทำเชื้อเพลิง เมื่อเข้าที่สุมไฟมีพระสวดชัยมงคลคาถา ๙ รูป เมื่อเอาขึ้นจากที่สุมพรมด้วยน้ำมันจันทน์อย่างดี แล้วทำพิธีพุทธา-ภิเษก-ปลุกเสกอีกครั้ง ขณะพิมพ์พระอยู่นั้นเกิดมหาวาตภัย กระเบื้องมุงหลังคาพระวิหารหลวงมิได้หลุดปลิวเลยแม้แต่แผ่นเดียว แต่วิหารทั่วไปในวัดนั้นกระเบื้องหลังคาปลิวแตกหักเสียหายมาก พล.ต.ท.ประชา บูรณธนิต และ นายวรศักดิ์ อดิเทพวรพันธุ์ ได้มอบตัวเป็นศิษย์ในครั้งนั้น เมื่อทำพิธีพุทธาภิเษกในวัดพระมหาธาตุฯ นครศรีธรรมราช แล้ว ก็นำไปทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดพระปฐมเจดีย์ โดยบรรทุกเรือเมล์ปากพนังไป ตามปกติเรือนี้เดินเลียบฝั่งตะวันตกรับคนโดยสารและสินค้าตามเมืองท่าต่าง ๆ จนถึงกรุงเทพฯ แต่เรือเที่ยวนั้นหลงทาง เมื่อออกจากปากน้ำสุดแหลมตะลุมพุกแล้วเกิดแล่นตัดอ่าวไปถึงจันทบุรี ท้องทะเลก็เกิดพายุแต่หาได้ถูกเรือไม่ มีตำรวจไปกับพระหลายนาย หัวหน้าคือ ร.ต.ท.สมิง โชติพันธุ์ กับจ่าหนึ่ง นายสิบพลเรือไปถึงท่าราชวงศ์เวลา ๑๑.๐๐ น. วันนี้จำไม่ได้ ได้นิมนต์พระ ๙ รูป ไปสวดชัยมงคลคาถารับพระพิมพ์และฉันเพลที่นั่น ตอนขนลังพระขึ้นบรรทุกรถยนต์มีฝนปรอยให้ฤกษ์ทั้ง ๆ ที่เป็นฤดูร้อนเดือนเมษายนพิธีพุทธาภิเษก-ปลุกเสกที่พระปฐมเจดีย์ ทำพร้อมกับการสุมหุ่นหล่อพระประธาน เวลากลางคืนมีพระไทย พระญวน และพระจีน แต่แยกกันคนละแห่ง ตั้งพิธีสุมหุ่นใต้ต้นโพธิ์ใบดกหนาอยู่เหนือหุ่นราว ๑ วา เปลวไฟพุ่งขึ้นกระพือใบโพธิ์อยู่ตลอดคืน แต่ใบโพธิ์มิได้เหี่ยวแห้งแม้แต่ใบเดียว เสร็จพิธีแล้วคนรูดเอาไปบูชาจนโกร๋น คืนนั้นฝนตกในบริเวณพิธีพอประมาณ แต่แถวหลังพระและสถานีรถไฟบริเวณห่างออกไปไม่มีฝน พระบรมสารีริกธาตุปาฏิหาริย์ออกจากองค์พระเจดีย์เป็นดวงโตเท่าผลส้มโอ มีรัศมีสวยงาม มาวนอยู่ในอากาศเหนือต้นโพธิ์แล้วหายไปในพิธีได้นิมนต์พระอาจารย์ที่ขลังทุกจังหวัดมาร่วมปลุกเสก ผู้ใดจะเข้าในบริเวณพิธีมงคลต้องนุ่งขาวห่มขาว จนผ้าขาวในจังหวัดนครปฐมไม่มีขาย ผู้หญิงแม้แต่พราหมณีซึ่งไปในคณะพราหมณ์พิธีบวงสรวงก็ไม่ยอมให้เข้าในวงสายสิญจน์ ยุงในวงสายสิญจน์ไม่มีแบบเดียวกับเมืองนครศรีธรรมราช แต่พวกนอกสายสิญจน์ยุงกัดแทบแย่ จากประวัติการสร้างคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณครับ รับรองสุดยอดครับ รับประกันพระแท้ตลอดชีพ ยินดีออกบัตรให้ตามกฏเวปทุกประการครับ พระสวยเดิมๆไม่ผ่านการใช้ เนื้อน้ำตาล(ช็อคโกแล๊ตนิยม) โค๊ตเจดีย์เต็มใบ ครับ
เคาะเดียวแดงๆๆๆ สมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง ปี2495 พิมพ์เทวดาอกตันพร้อมบัตรรับรองดีดีพระ รับประกันตามกฎทุกประการครับ
รูปหล่อสมเด็จโต วัดระฆัง 122 ปี เนื้อนวะ พร้อมบัตร DD