สภาพน่าใช้ รับประกันตามกฎ จัดส่ง EMS ทุกรายการครับ
เจ้าสัว เนื้อผงพุทธคุณ วัดกลางบางแก้ว ปี 35 พิมพ์ใหญ่ + พิมพ์เล็ก ทีเดียวเลย 2 องค์ วัดใจครับ เท่าไร เท่านั้น รับประะกันความแท้ตลอดชีพ ตามมาตรฐานสากลครับ
พระกำแพงแก้ว วัดรัมภาราม (วัดบ้านกล้วย) อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ดำเนินการจัดสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2504 ได้เก็บรวบรวมมวลสารอันเป็นมงคลต่างๆ มาเป็นส่วนผสมดังนี้ 1.ดินกรุพระเครื่องมีชื่อ 7 กรุ 2.ไคลเสมาจากวัดที่มีชื่อลงท้ายว่า "แก้ว" 7 วัด 3.ดินสังเวชนียสถาน 7 ตำบล 4.ทรายจากกระถางธูปหน้าพระพุทธรูป ที่มีคนมาสักการะมาก 7 แห่ง 5.เกสรดอกไม้ในที่บูชาตามสถานที่สำคัญ 7 แห่ง 6.ใบโพธิ์ตรัสรู้จากประเทศอินเดีย 7 ต้น 7.พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ 8.ดินจอมปลวก 7 จอม 9.น้ำมนต์ 7 วัด เป็นเครื่องประสาน อาทิ น้ำมนต์ คาถาแสน วัดรัมภาราม ปี พ.ศ.2501, น้ำมนต์ 100 ปี วัดบวรนิเวศวิหารและวัดราชบพิธฯ, น้ำมนต์เสาร์ 5 วิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช พิษณุโลก, น้ำมนต์หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรฯ, น้ำมนต์หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร, น้ำมนต์จากวัดระฆังฯ นำส่วนผสมทั้งหมดคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน แล้วแผ่เป็นแผ่นผูกดวงชะตาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ดวงประสูติ ดวงตรัสรู้ ดวงปรินิพพาน นอกจากนี้ ยังได้รับผงเกสรดอกไม้และว่านต่างๆ จากอีกหลายพระคณาจารย์ เช่น หลวงปู่นาค วัดระฆังฯ มอบผงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผงเศษพระปิลันทน์กับผงที่ท่านทำเอง พระครูวิริยกิตติ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี มอบผงที่ท่านเก็บสะสมไว้ ซึ่งเหลือจากการสร้างพระรุ่นอินโดจีน หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก มอบผงมหาราช, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม มอบผงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มูลกัจจายน์ อิทธิเจ, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง มอบผงมหาราช ปถมัง ตรีนิสิงเห นะ 108 เกสร 108 และว่านต่างๆ, หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ มอบผงวิเศษมหานิยม แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี, พระครูรักขิตวันมุนี (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลย์ มอบเศษพระจากกรุวัดบ้านกร่าง และดินกลางใจเมือง 8 จังหวัด ดิน 534 วัด ดินสระ 7 สระ ดินโป่ง 5 แห่ง ดินจากสถานที่สำคัญอีก 24 แห่ง พระอาจารย์ถนอม เขมจาโร วัดนางพญา พิษณุโลก มอบเศษพระชำรุดเป็นจำนวนมากจากหลายกรุหลายจังหวัด คือ จากพิษณุโลก 115 กรุ รวมทั้งเศษพระนางพญา สุโขทัย 16 กรุ อุตรดิตถ์ 1 กรุ กำแพงเพชร 1 กรุ พิจิตร 1 กรุ ลพบุรี 1 กรุ ลำพูน 1 กรุ พระอาจารย์ประหยัด วัดสุทัศน์ มอบผงที่เหลือจากการสร้างพระเมื่อปี พ.ศ.2496 ซึ่งปลุกเสกโดยพระอาจารย์หลายสิบรูป เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน รวมทั้งผงเศษตะไบพระกริ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) พระครูปริยัติยานุกูล วัดพระงาม ลพบุรี มอบทรายทองในถ้ำสังกิจโจ และเม็ดพระศกหลวงพ่อพระงาม นอกจากนั้นยังมีผงศักดิ์สิทธิ์จากพระคณาจารย์อื่นๆ ที่มอบให้อีกเป็นจำนวนมาก มวลสารที่ได้มาในคราวหลังนี้ นำมาผสมรวมกับคราวแรกจัดพิมพ์เป็น พระเครื่องเนื้อผง ด้านหน้าเป็นรูป พระแก้วมรกต ประทับนั่งอยู่บนรัตนบัลลังก์ ล้อมด้วยซุ้มเส้นลวด เป็นกำแพง 7 ชั้น ใต้สุดมีตัวหนังสือว่า กำแพงแก้ว ด้านหลังเรียบปราศจากอักขระเลขยันต์ใดทั้งหมดอยู่ในกรอบพิมพ์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดความกว้างประมาณ 2.1 ซ.ม. ยาวประมาณ 3.4 ซ.ม. เนื้อหาเป็นเนื้อผงอมน้ำมัน สีน้ำตาลอมเขียว จำนวนไม่ทราบแน่ชัดแต่ประมาณว่าคงจะอยู่ในราว 3,000 องค์ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางวิทยาคม จำนวน 27 รูป มาร่วมพิธีปรกปลุกเสก พิธีการได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ.2504 ตั้งแต่วันขึ้น 9 ค่ำ ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 รวมเวลา 7 วัน 7 คืน รายนามพระคณาจารย์ ที่อาราธนามานั่งปรกปลุกเสก หมุนเวียนกันก็มี อาทิ พระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค) วัดระฆังฯ พระครูทักษิณานุกิจ (หลวงพ่อเงิน) วัดดอนยายหอม พระครูวิริยกิตติ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี พระครูประสาธน์วิทยาคม (นอ) วัดกลางท่าเรือ พระครูอาคมสุนทร (มา) วัดสุทัศน์ พระครูศรีพรหมโสภิต (แพ) วัดพิกุลทอง พระครูรักขิตวันมุนี (ถิร) วัดป่าเลไลย์ พระครูนิสิตคุณากร (กัน) วัดเขาแก้ว หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว หลวงพ่อชม วัดตลุก หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน หลวงพ่อฉาย วัดป่าธรรมโสภณ หลวงพ่อผัน วัดพยัคฆาราม หลวงพ่อดำ วัดเสาธงทอง หลวงพ่อสาย วัดไลย์ หลวงพ่อโสภิต วัดรัมภาราม และพระคณาจารย์ชื่อดังอีก 7 รูป เท่านี้ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดีแล้วว่า พระเครื่องที่สร้างขึ้นครั้งนี้ ย่อมจะบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชา หากไม่คิดเห็นเป็นอย่างอื่น ในเรื่องของพระหลักพระนิยมแล้ว พระสมเด็จกำแพงแก้ว หรือพระกำแพงแก้ว ของวัดรัมภาราม ท่าวุ้ง ลพบุรีนี้ จึงควรค่าแก่การสะสมสักการบูชาอย่างยิ่ง พระกำแพงแก้ว มีด้วยกันสองพิมพ์คือ พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก พุทธลักษณะเป็นพระแก้วมรกต ประทับนั่งอยู่ภายในเส้นซุ้มครอบแก้ว 7 ชั้น ใต้ฐานมีอักษรเขียนว่า "กำแพงแก้ว" พระพิมพ์ใหญ่เป็นรูปทรงขอบสี่เหลี่ยม ส่วนพระพิมพ์เล็ก เป็นพระที่ตัดขอบเข้ารูปตามซุ้มครอบแก้ว นอกนั้นจะคล้ายๆ กัน พระกำแพงแก้วนี้เป็นพระเนื้อผง พระกำแพงแก้ว พุทธคุณคุ้มครองดั่งกำแพงแก้ว 7 ชั้นที่ล้อมรอบองค์พระครับ เท่าที่ดูจากมวลสาร และพระเกจิอาจารย์ที่ร่วมปลุกเสกแล้ว ล้วนเป็นพระเกจิอาจารย์ดังๆ ทั้งสิ้น
เหรียญดีพิธีใหญ่พระร่วงยืนหลังรางปืน วัดพระธาตุดอยสุเทพปี15 จ.เชียงใหม่ ปลุกเสกโดยลพ.กวย ลป.โต๊ะ ลป.แหวน ลพ.เกษม ลพ.เงินอ.นำ และเกจิดังมากมายในยุคนั้นครับเป็นของดีราคาเบา พิมพ์เจดีย์ลอยแตกนิยมสวย เนื้อทองแดงรมดำ ปรอทขึ้นไม่ผ่านการใช้เก็บเก่ามาเป็นสิบๆปีแหล่ะ สวยจริงมาในภาพแชมป์กันเลย มาพร้อมกล่องวัดเดิมๆ พระร่วงยืนหลังรางปืน ปี 2515 ( พิมพ์นิยมเจดีย์ลอยบล็อคแตกครับ ) ผิวสวยดำกริ๊ปๆปรอทขึ้น ไม่ผ่านการใช้เก็บมาดี มาพร้อมกล่องเดิม ของวัดป้อมแก้ว ( นำไปปลุกเสกซ้ำที่วัดป้อมแก้วครับ แล้วออกให้ทำบุญในงานผูกพัทธสีมา ในปี๑๗ ) มาแบบสวยแชมป์กันเลย หนึ่งในพระร่วงหลังรางปืนที่จัดว่าเป็น "ของดีราคาเบา" ที่หลายคนมองข้ามไปก็คือ "พระร่วงหลังรางปืน วัดพระธาตุดอยสุเทพ" ซึ่งจัดสร้างและปลุกเสกร่วมกับพระกริ่งเชียงแสน, เหรียญพระพุทธสิหิงค์, เหรียญพระเจ้าเสตังคมณี วัดเชียงมั่น, เหรียญหลวงพ่อทันใจ, เหรียญครูบาศรีวิชัย, เหรียญเจ้าคุณพระราชสิทธาจารย์, เหรียญพระอภัยสารทะ วัดทุงยู เป็นต้น พระหลังร่วงรางปืนรุ่นนี้มี 2 พิมพ์คือ พิมพ์หลังเจดีย์นูน และพิมพ์หลังเจดีย์จม บ้างก็เรียกว่า พิมพ์พระธาตุลอย และพิมพ์พระธาตุ ลักษณะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง ในอิริยาบถยืนบนแท่นภายในซุ้มเรือนแก้ว พระหัตถ์ขวายกขึ้นระดับพระอุระ พระกรซ้ายทอดลงขนานกับลำพระองค์แบบหงายฝ่าพระ หัตถ์ออกด้านหน้าเป็นกิริยาประทานพรครองเครื่องจีวรห่มคลุมพลิ้วบางขนานกับพระองค์ตกลงมาเบื้องล่าง รายละเอียดของพระพักตร์ชัดเจน สีพระพักตร์ค่อนข้างเคร่งขรึม สวมศิราภรณ์ได้แก่ กะบังหน้า และมงกุฎรูปกรวยหรือเรียกกันว่า หมวกชีโบ นุ่งสบงคาดด้วยรัดประคดที่มีการตกแต่งลวดลายที่ปรากฏในศิลปะเขมร แบบบายนที่มีชื่อเรียกว่า "พระร่วงรางปืน" หรือ "พระร่วงหลังรางปืน" พิธีปลุกเสกที่วัดพระธาตุดอยสุเทพในพิธีมหาพุทธาภิเษกพระพุทธสิหิงค์จำลอง เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2515 โดยคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ทรงเป็นประธาน โดยนิมนต์สุดยอดพระเกจิคณาจารย์ 108 รูป ร่วมนั่งปรกปลุกเสก อาทิ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร, หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จังหวัดชัยนาท, หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่, หลวงพ่อเกษม เขมโก จังหวัดลำปาง, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม, ครูบาคำแสน อินทจักรโก วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่, ครูบาคำแสน คุณาลังกาโร วัดป่าดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่, ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุ่ย จังหวัดลำพูน, พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และอาจารย์ชุม ไชยคีรี เจ้าพิธีฝ่ายฆราวาส เป็นต้น นับเป็นพิธีปลุกเสกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดพิธีหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ แถมมีพระเกจิอาจารย์ดังทั้งภาคเหนือ, ภาคกลาง, ภาคใต้ รวมพลังปลุกเสกกันอย่างเข้มขลัง ดูพิธีและเกจิที่ร่วมปลุกเศกจะว่าว่ารุ่นนี้สุดยอดขนาดไหน
พระสมเด็จแพ 5 พัน หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี จัดสร้าง พ.ศ.2534 ( ยุคแรก ) "พระธรรมมุนี" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อแพ เขมังกโร" เป็นพระเกจิอาจารย์ อมตะเถระชื่อดังแห่งวัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี ท่านมีนามเดิมว่า แพ ใจมั่นคง เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ.2448 ณ บ้านสวนกล้วย ท่านได้เข้าพิธีบรรพชา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 2463 ณ วัดพิกุลทอง ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี โดยมีพระอธิการพัน จันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง (ในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่ออายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ในวันพุธที่ 21 เมษายน 2469 ณ พระอุโบสถ วัดพิกุลทอง โดยมีพระมงคลทิพย์มุนี เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลวงพ่อแพ เป็นพระเถราจารย์ ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างขึ้นทุกรุ่นนั้นปรากฏพุทธคุณเข้มขลังในทุกด้าน ล้วนได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีประสบการณ์มากมาย ตลอดชีวิตของหลวงพ่อแพ ท่านได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างอเนกอนันต์ และได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยากตลอดมา จนได้รับความเคารพยกย่องถึงกับมีการขนานนามท่านว่า "เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย" เมื่อวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 หลวงพ่อแพ ได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ห้อง 901 ชั้น 9 อาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร 94 ปี โรงพยาบาลสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี สิริอายุ 94 พรรษา 73 ปัจจุบัน วัดพิกุลทอง ยังคงประดิษฐานสรีระของหลวงพ่อแพเอาไว้ เพื่อให้ญาติโยมและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ได้สักการบูชาตลอดมา
พระเกจิ ชื่อดัง ยุคสงครามอินโดจีน ท่านมีชื่อเสียงในอยุธยาเป็นหนึ่งใน "สามเสือแห่งเมืองกรุงเก่า"หลวงพ่อปาน หลวงปู่ยิ้ม หลวพ่อจง และเป็นหนึ่งในสี่ยอดเกจิอาจารย์ยุคสงครามอินโดจีน "จาด จง คง อี๋" หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อจง พุทธสโร มีนามเดิมว่า "จง" เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ปีวอก พุทธศักราช 2415 ที่ตำบล หน้าไม้ อำเภอ บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บิดาชื่อ นายยอด มารดาชื่อนางขลิบ มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน คือ 1.หลวงพ่อจง พุทธสโร 2.หลวงพ่อนิล ธมมโชติ 3.นางปริด สุนสโมสร เมื่ออายุได้ 11 ขวบ ได้บวชเป็นสามเณร ที่วัดหน้าต่างใน จนอายุ 21 ปี ในปี 2435 จึงได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างใน โดยมีหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปชฌาย์ พระอาจารย์อินทร วัดหน้าต่างนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์โพธิ์ วัดหน้าต่างใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า พุทธสโร หลวงพ่อจงได้ศึกษาอักษรไทยและอักษรขอมกับพระอาจารย์โพธิ์ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ผู้เป็นพระอนุสวนาจารย์ของท่าน ท่านอาจารย์โพธิ์องค์นี้เชี่ยวชาญชำนาญในพระเวทย์วิทยาคมยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นสหธรรมมิกกับหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ต่อมาท่านยังฝากตัวเป็นศิษย์เรียนพระกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อปั้น วัดพิกุล และหลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ จนเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้ชำนาญในปี 2450 ท่านได้ถูกแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก เมื่อครั้งนั้น หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ หลวงพ่อปั้นวัดพิกุล และพระอาจารย์โพธิ์ วัดหน้าต่างใน ซึ่งเป็นพระอาจารย์หลวงพ่อจงกำลังมีชื่อเสียงมากในขณะนั้น ภายหลังพระอาจารย์ทั้ง 3 ได้มรณะภาพลง จึงทำให้หลวงพ่อจงเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชนชาวพุทธในอยุธยา ในปี 2493-2518 ซึ่งเป็นช่วงเกิดสงครามอินโดจีนครั้งที่2 มีทหารกล้าของไทยหลายนายได้เข้าร่วมรบในสงครามอินโดจีนนี้โดยได้นำ วัตถุมงคลหลวงพ่อจงติดตัวไปด้วย อาทิ เช่น ผ้ายันต์ ตะกรุด และเหรียญหลวงพ่อจง ซึ่งการนำวัตถุมงคลของหลวงพ่อจงติดตัวไปทำศึกสงครามที่เวียดนามในครั้งนั้น ได้เกิดประสบการณ์ปาฏิหาริย์มากมายที่ไม่อาจอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ เช่น ทหารไทย กองพลจงอางศึก และ กองพลเสือดำ ซึ่งไปรบที่เวียดนาม ผู้ที่มีวัตถุมงคลหลวงพ่อจงติดตัว เมื่อเข้าปะทะกับข้าศึกทหารเวียดกง ยิงยังไงก็ไม่ตาย สามารถวิ่งฝ่าดงกระสุนเล็ดลอดสังหารฝ่ายเวียดกงไปหลายนาย จนทหารไทยถูกขนานนามว่า "ทหารผี ฆ่าไม่ตาย" ทางฝ่ายเวียดกงจึงมักเปลี่ยนแผนการสู้รบไม่ค่อยอยากเผชิญหน้ากับทหารไทยเท่าไหร่นักถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ซึ่งวีรกรรมในสงครามอินโดจีนครั้งนี้ ทำให้ชื่อเสียงของ หลวงพ่อจงดังไปทั่วประเทศไทยเลยทีเดียว หลวงพ่อจง พุทธสโร ท่านเป็นพระเกจิชื่อดังของเมืองกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อครั้งท่านมีชีวิตท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและพุทธบริษัททั้งหลายโดยมิได้เลือกชนชั้นวรรณะ ใครขออะไรท่านปลดทุกข์คลายโศกให้ด้วยจิตที่มีเมตตาแม้ท่านจะมรณภาพไปนานแล้ว แต่เหล่าลูกศิษย์และผู้เคารพศรัทธายังคงรำลึกถึงท่านเสมอมา และท่านยังเป็นพระสหธรรมมิกกับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค และหลวงปู่ยิ้มวัดเจ้าเจ็ดใน ด้วย เช้าตรู่ของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี 2508 เวลา 01:55 น.หลวงพ่อจงได้ มรณภาพลงด้วยอาการสงบ ณ กุฏิของท่านนั้นเอง สิริอายุได้ 92 ปี 10 เดือน 17 วัน พรรษา 72